บทที่14 เรื่องของผัวเมีย
การมาเที่ยวทะเลในครั้งนี้ดูเหมือนว่าสองคนแม่ลูกจะมีความสุขมากที่สุด น้องปริมได้นั่งเล่นทราย ส่วนหญิงสาวได้ลงเล่นน้ำทะเลอย่างที่คิดไว้ในตอนเด็ก
จะมีก็แค่เพียงรามิลที่ดูไม่ค่อยโอเคกับการมาเที่ยวในครั้งนี้สักเท่าไหร่ ตั้งแต่ปรางบอกว่าจะหย่า เขาควรรู้สึกดีใจที่จากนี้จะไม่มีสองแม่ลูกคอยเป็นภาระ แต่…มันกลับตรงกันข้ามกัน ดันกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาซะงั้น คนที่ควรขอหย่าต้องเป็นเขาไม่ใช่เธอ!
ชายหนุ่มปลีกตัวออกมาดื่มเหล้าพร้อมอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงนั่งมองสองคนแม่ลูกที่กำลังนั่งเล่นก่อปราสาททรายอย่างมีความสุข
ในโลกของพวกเขาเหมือนจะมีกันอยู่แค่สองคน ส่วนคนเป็นพ่อเหมือนจะเป็นได้แค่ส่วนเกิน จู่ๆ รามิลรู้สึกแบบนั้น
“อันนี้ของน้องปริม ส่วนอันนี้ของแม่” ปรางยื่นสร้อยข้อมือที่ทำจากเปลือกหอยใส่ให้ลูกสาว ถึงแม้ว่าราคาของมันอาจจะแค่หลักสิบแต่ก็คือของที่ระลึกในการมาทะเลครั้งแรกของพวกเธอ
“แอ้~” เด็กน้อยยิ้มแป้นพลางคลานเข้าไปกอดขาผู้เป็นแม่ ปรางอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้แนบอกพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่ ถึงแม้ว่าน้องปริมจะเกิดจากความผิดพลาดและไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็รักลูกมากที่สุด
“ตรงนี้แดดแรง ทำไมไม่พาลูกเข้าบ้าน” ร่างบางแหงนหน้าขึ้นมองคนที่มาใหม่ ก่อนจะเห็นรามิลยื่นถือร่มบังแสงแดดให้เธอกับลูก
“ปรางว่าจะพาลูกนั่งเล่นทรายอีกหน่อยแล้วค่อยเข้าบ้าน”
“ก็แค่ทรายจะอะไรนักหนา”
“แต่ปรางกับลูกไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเที่ยวทะเลอีกตอนไหน”
พอได้ยินแบบนั้นถึงกลับนิ่งไป ตอนอยู่ด้วยกันเขาไม่เคยคิดแม้แต่จะพาเธอกับลูกออกไปเดินห้างเลยสักครั้ง ซึ่งปรางเองก็เจียมตัวและไม่เคยร้องขอ ต่างจากแพนที่ไม่ว่าอยากจะไปเที่ยวไหนเขากลับไม่เคยขัดใจและพาทุกที่
“ถ้าเธอกับลูกชอบที่นี่ เดี๋ยวฉันพามาบ่อยๆ สักอาทิตย์ละครั้งเลยเป็นไง”
คนตัวเล็กมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจมากนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังจะสื่อถึงอะไร แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว เธอคิดเอาไว้ว่าถ้าบ้านหลังใหม่ซ่อมแซมเสร็จเมื่อไหร่จะพาลูกย้ายออกไปทันที จะไม่ต้องอยู่ให้รกหูรกตาเขาเหมือนที่ผ่านมา คืนชีวิตให้แก่กันมันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“อร่อยไหมหนูปราง?” คุณนายอมราถามลูกสะใภ้อย่างนึกเอ็นดูในขณะที่กำลังนั่งทานข้าวเย็นกันอยู่สองคน
“อร่อยค่ะ” คนตัวเล็กหยิบกุ้งเผาตัวโตขึ้นมาแกะกินอย่างเอร็ดอร่อย อาหารทะเลราคาแพงพวกนี้เคยกินแทบจะนับครั้งได้
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ เลยนะ ไม่พอเดี๋ยวแม่สั่งเพิ่มให้”
“…..”
“แล้วตามิลไปไหน ทำไมถึงไม่มากินข้าวเย็นด้วยกัน” หญิงวัยกลางคนมองสอดส่องสายตามองหาลูกชายตัวดี แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว
“อ้อยเห็นคุณรามิลนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียวที่สวนหลังบ้านตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะคุณนาย” แม่บ้านคนสนิทรายงานผู้เป็นเจ้านาย
“งั้นอ้อยช่วยไปตามรามิลให้ฉันทีนะ บอกให้มากินข้าวด้วยกัน”
“คงไม่ต้องตามแล้วมั้งคะ คุณรามิลเดินมาทางนั้นแล้ว”
“มิลมาก็ดีแล้ว แม่กำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี”
“…..” รามิลทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับหญิงสาว ดวงตาคู่คมเอาแต่จ้องมองคนตัวเล็กจนเธอรู้สึกได้
“เอ่อ…” ปรางถึงกลับอึกอักเมื่อตกเป็นเป้าสายตา เธอเลือกที่จะเมินเฉยทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร
“แม่ทำแต่อาหารที่มิลชอบทั้งนั้นเลยนะ ลองกินดูสิ”
“…..”
ครืด~ สมาร์ตโฟนของหญิงสาวแผดเสียงร้องดังเรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี
“ปรางขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ”
“ใครโทรมา?”
ปรางไม่ได้ตอบคำถามของรามิล แต่เลือกที่จะกดรับสายแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น
สายตาเฉี่ยวคมมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่รีบเดินออกไป หรือที่จู่ๆ เธอมีความคิดที่อยากจะหย่ากับเขาเป็นเพราะว่ากำลังมีคนอื่น!
“สวัสดีค่ะพี่แดน” เสียงหวานพูดกับปลายสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทรหาคือผู้จัดการที่เคยทำงานด้วย
(ปรางเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า)
“สบายดีค่ะ แล้วพี่แดนสบายดีไหม?”
(ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่…เอ่อ…พี่ลืมบอกไป ตอนนี้พี่ย้ายสาขามาทำที่ภูเก็ตแล้วนะ)
“ทำไมจู่ๆ ถึงได้ย้ายล่ะคะ?”
(ไม่รู้เหมือนกัน คุณรามิลสั่งย้ายด่วน)
“…..”
(ลูกค้าต่างชาติเยอะมาก งานหนักเป็นบ้าเลย ไม่รู้จะทนได้อีกนานไหม)
“พี่แดนเก่งอยู่แล้ว ต้องทำได้แน่ๆ”
(พี่คิดถึงเรานะ งานยุ่งมากไม่ค่อยได้โทรหาเลย)
“…..” ปรางถึงกลับไปต่อไม่เป็น ที่ผ่านมาก็พอรู้ว่าแดนแอบชอบเธอ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะจีบเธอจริงจัง
(อาทิตย์หน้าพี่ได้วันลาพักร้อนพอดี เดี๋ยวเราไปเที่ยวกันนะ พี่ว่าจะชวนแจ๋วกับตั้งโอ๋ไปด้วย)
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะ”
กึก! ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจในขณะที่กำลังจะปิดประตูห้องแต่รามิลกลับใช้มือจับไว้ได้ทัน
“มะ…มิล มีธุระอะไรหรือเปล่า?” ปรางพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ เธอรู้กังวลกับเหตุการณ์ผิดปกติตรงหน้าแต่ต้องทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร
“เมื่อกี้เธอคุยกับใคร?”
“…..”
“ไม่ได้ยินที่ถามหรือ ทำไมไม่ตอบ!”
“ปรางจำเป็นต้องบอกมิลด้วยเหรอว่าคุยกับใคร?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงท่าทางยียวนใส่เขาแต่อย่างใด
“อย่ามาต่อปากต่อคำ!” ใบหน้าแสนหวานบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกชายหนุ่มบีบเข้าที่ต้นแขนอย่างแรง
“เจ็บนะมิล!”
“ถ้าเธอไม่มาปากดีใส่ฉันก่อน คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้”
สิ้นประโยคนั้นเขาจึงถือวิสาสะแทรกตัวเข้ามาภายในห้องนอนของเธอ ก่อนสายตาคู่คมจะมองสำรวจไปรอบห้องแล้วเห็นลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเปล
“ตอนนี้น้องปริมหลับแล้ว ถ้ามีธุระอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
“มาหาเมียต้องมีธุระด้วย?”
หัวใจดวงน้อยวูบไหวหลังจากที่ได้ยินสรรพนามที่เขาใช้เรียก แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเขาอาจจะเมามากเลยพูดอะไรออกมาโดยไม่คิด
“ปรางแค่ไม่อยากให้มิลเข้ามากวนลูก”
“ฉันไม่ได้มาหาลูก แต่ฉันอยากมาเห็นหน้าคนที่ขาดผู้ชายไม่ได้”
“…..”
“ที่มาขอหย่าฉันเป็นเพราะมันใช่ไหม?”
“มิลหมายถึงใคร ปรางไม่เข้าใจ”
“ไปอ่อยไว้หลายคนเลยสิ ถึงจำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง”
“ปรางไม่ได้ทำอะไรผิด มิลไม่ควรมาหาเรื่องกันแบบนี้”
“ฉันขอสั่งเอาไว้เลยนะ อย่ายุ่งกับมันอีก ไม่งั้นทั้งไอ้เวรนั่นแล้วก็เธอได้เจอดีแน่”
“ถ้ามิลหมายถึงพี่แดน ปรางไม่ได้คิดอะไรกับเขา เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน”
“จะคิดหรือไม่คิดฉันไม่สน! แต่เธอห้ามยุ่งกับมัน”
“แล้วถ้าปรางอยากมี…”
“เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้น้องปริมมีพ่อเลี้ยงเด็ดขาด!”
“แล้วมิลมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ปรางทำตามใจตัวเอง”
ดวงตากลมโตเบิกโพลงเมื่อถูกคนตัวกระชากเข้าไปประกบจูบแบบไม่ทันตั้งตัว
“อื้อออ” เสียงหวานร้องครางอื้ออึงในลำคอเมื่อริมฝีปากหนาบดขยี้จูบลงมาจนรู้สึกเจ็บ
มือหนาเลื่อนขึ้นมาบีบใบหน้าเพื่อให้เธอยอมเปิดริมฝีปากก่อนจะสอดเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็กอย่างอุกอาจ
“รู้หรือยังว่าฉันมีสิทธิ์อะไร”หญิงสาวเนื้อตัวสั่นเทิ้มพลางดันอกแกร่งให้ถอยห่างเมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอ
“เพราะฉันเป็นผัวเธอไง!”
“…..”
“ตราบใดที่ฉันยังไม่เซ็นใบหย่า อย่าหวังว่าจะได้มีผัวใหม่!”
สองขาเรียวก้าวถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณแต่กลับถูกรามิลเหวี่ยงบนลงที่นอนจนรู้สึกจุก
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะมิล ไม่งั้นปรางจะร้องให้คนช่วย”
“เรื่องของผัวเมีย ไม่มีใครเขาอยากยุ่งกันหรอก”
“…..”
