ตอนที่ 1 ชีวิตพลิกผัน
ตอนที่ 1 ชีวิตพลิกผัน
ณ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่งกลางใจเมืองกรุงเทพฯ
ธานินทร์ผู้บริหารสูงสุดวัยสามสิบต้นๆเขาเป็นลูกชายคนเดียว ได้รับมรดกมาจากผู้เป็นบิดา ซึ่งท่านได้ยกให้ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศด้วยอายุในวัยเกษียณกับผู้เป็นมารดา
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ของผู้บริหารสูงสุด ตอนนี้ธานินทร์กำลังนั่งทำงานอย่างเคร่งเครียด เขาเป็นคนค่อนข้างจริงจังกับทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องงาน
"บอสครับ มีสายจากทางตำรวจโทรเข้ามาหาครับ" ยุทธการหรือยุทธ ลูกน้องคนสนิทอยู่บ้านหลังเดียวกัน มีหน้าที่เป็นทั้งคนขับรถและเลขาในคนๆเดียวกัน ภรรยาของยุทธเป็นแม่บ้านชื่อชบา พักอยู่กับยุทธที่บ้านของคุณธานินทร์
"เรื่องอะไร" ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้า เอ่ยถามลูกน้องคนสนิทด้วยสีหน้าแปลกใจ
"ไม่ทราบครับบอส" เป็นสายที่โทรเข้ามาในเบอร์ภายในของบริษัท
"โอนสายมาสิ" ยุทธจัดการโอนสายให้กับผู้เป็นเจ้านาย เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของธานินทร์ดังขึ้น ฝ่ามือเรียวใหญ่เอื้อมไปจับหูโทรศัพท์แล้วยกขึ้นรับสายทันที
"สวัสดีครับ ผมธานินทร์ พูดอยู่ครับ" เสียงทุ้มกรอกลงไปในสายสนทนาอย่างไม่ได้คิดอะไร ทันใดนั้นเสียงอุทานตกใจก็ดังขึ้น จนยุทธการที่นั่งอยู่ด้วยรีบหันมามองผู้เป็นเจ้านายหนุ่มทันที
"ห๊ะ!! ครับๆผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับบอส"
"เอารถออกเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวไปเล่าบนรถ"
"ครับ" น้ำเสียงหนักแน่นของยุทธการขานรับทันที แล้วรีบวิ่งออกไปเอารถด้วยท่าทางรีบร้อน
ข้อความจากการสนทนากับคุณตำรวจเมื่อสักครู่ได้ใจความว่า พิรัชย์หุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท ตอนนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกลางถนนสี่แยกไฟแดงอาการสาหัส เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงเวลางาน พิรัชย์ออกไปพบลูกค้า ช่วงจังหวะหนึ่งกลางไฟแดงมีรถพ่วงคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วผ่าไฟแดงมาชนเข้ากับรถยนต์คันที่พิรัชย์ขับอยู่พอดี คนขับรถพ่วงคันนั้นไม่ได้หนีไปไหนยังคงอยู่ที่เกิดเหตุ
จากเที่ยงวันจนตะวันลับขอบฟ้าเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้คลี่คลายลง พิรัชย์เสียชีวิตคาที่ตอนนี้ร่างไร้วิญญาณอยู่ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
ส่วนคนขับรถพ่วงคันนั้นสาเหตุเกิดจากเบรคแตกเป็นอุบัติเหตุ ทางผู้กระทำความผิดยินดีชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมายทุกอย่าง แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้กลับคืนมาก็คือชีวิตของพ่อคนหนึ่งที่มีลูกสาววัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น
ตอนนี้น้ำหนึ่งลูกสาวเพียงคนเดียวของพิรัชย์กำลังร้องไห้โฮอย่างหนักกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นบิดาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมออกห่างไปไหน ธานินทร์และคนอื่นๆที่ได้พบเห็นต่างสงสารเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้คร่ำคราญอย่างหนัก
"แล้วลูกสาวของผู้ตายจะเอายังไงดีครับ" คุณตำรวจเอ่ยถามธานินทร์เนื่องจากเขารับผิดชอบดูแลเรื่องทั้งหมดให้กับเพื่อนของเขา ธานินทร์กับพิรัชย์เป็นเพื่อนสนิทกันถึงแม้ว่าอายุของพิรัชย์จะมากกว่าธานินทร์นิดหน่อยก็ตาม
"ผมจะอุปการะเลี้ยงดูแกเองครับ" พูดออกไปแล้วเพราะความสงสาร แต่ในใจยังไม่รู้เลยว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ให้โตขึ้นมาเป็นคนดีได้ยังไง เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีเมีย ไม่เคยมีลูก
"ถ้าอย่างนั้น ก็คงหมดหน้าที่ของตำรวจอย่างพวกผมแล้วครับ พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"
"ขอบคุณมากครับ" ธานินทร์เอ่ยขอบคุณคุณตำรวจที่เป็นธุระให้ในหลายๆเรื่องของวันนี้ เขาหันมองไปที่เด็กหญิงแล้วเดินเข้าไปหา
"น้ำหนึ่ง..." ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาหันมาตามเสียงเรียก
"ฮึก!"
"จำอาได้มั้ย"
"สวัสดีค่ะ ฮึก! หนึ่งจำคุณอาได้ค่ะ"
"น้ำหนึ่ง ไปอยู่กับอามั้ย อาจะเป็นคนส่งหนูเรียนแทนพ่อของหนูเอง" แน่นอนว่ามรดกทุกอย่างที่พิรัชย์ได้สร้างเอาไว้ จะต้องตกเป็นของลูกสาวแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้น้ำหนึ่งยังเด็กเกินไป อีกทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกด้วย
ในฐานะหุ้นส่วนและยังเป็นเพื่อนกัน ธานินทร์จึงอาสาดูแลลูกสาวและดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของพิรัชย์ให้ก่อนจนกว่าน้ำหนึ่งจะโตเป็นผู้ใหญ่หรือบรรลุนิติภาวะ
"ขอบคุณคุณอามากค่ะ ฮึก!" เสียงเล็กๆสะอึกสะอื้นเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณคุณอา ด้วยดวงตาแดงก่ำ เนื่องจากผ่านการร้องไห้มาหลายต่อหลายชั่วโมง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดร้อง
น้ำหนึ่งเคยเจอธานินทร์อยู่หลายครั้ง ช่วงที่ตามคุณพ่อของเธอไปทำงานด้วย นั่นจึงทำให้น้ำหนึ่งเลือกที่จะไว้ใจคุณอาคนนี้พอสมควร
"เสร็จพิธีศพแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม บ้านหลังนั้นคงต้องปิดไปก่อน ส่วนคนในบ้านอาจะช่วยหางานใหม่ให้พวกเขาทำเอง"
"ค่ะ"
ช่วงที่ธานินทร์กำลังจัดการเรื่องต่างๆที่สถานีตำรวจและโรงพยาบาล อีกด้านเขาได้ส่งลูกน้องไปจัดการนิมนต์พระทำพิธีตามศาสนา ทุกอย่างถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นขั้นเป็นตอน
สามวันผ่านไป
น้ำหนึ่งได้ส่งคุณพ่อขึ้นสวรรค์เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเธอจะต้องไปอยู่บ้านหลังใหม่กับคุณอาธานินทร์ ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นยังไง คุณอาจะใจดีกับเธอหรือเปล่า ไหนจะคนในบ้านอีก แต่น้ำหนึ่งไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เธอยอมไปอยู่กับคุณอาตามคำชวน
ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเรียบร้อยโดยธานินทร์ บ้านหลังใหญ่ของน้ำหนึ่งได้ถูกปิด ส่วนคนในบ้าน ธานินทร์ได้หางานใหม่ให้พวกเขาได้ทำเรียบร้อยแล้ว
"คุณหนู...ดูแลตัวเองด้วยนะคะ"
"ค่ะ...พี่ๆทุกคนดูแลตัวเองด้วยนะคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนึ่งต้องขอบคุณพี่ๆทุกคนมากค่ะ" น้ำหนึ่งยกมือไหว้พี่ๆทุกคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่คนงานก็ตาม บางคนอยู่มานานตั้งแต่น้ำหนึ่งยังตัวเล็กๆ แน่นอนว่าต้องมีความผูกพันกันบ้างอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คงถึงเวลาต้องจากกัน ทุกคนร่ำลากันเสร็จก็แยกย้าย น้ำหนึ่งเองก็เช่นกัน
ในขณะที่เธอนั่งรถมากับคุณอา เพื่อย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ น้ำตาของเธอยังคงซึมอยู่เงียบๆ ธานินทร์ไม่ได้พูดอะไร เขาทำได้แค่ยกมือลูบศีรษะของน้ำหนึ่งเบาๆเป็นการปลอบ
น้ำหนึ่งคิดถึงคุณพ่อของแกไปตลอดทาง วันนั้นช่วงเย็นเธอชะเง้อคอยาวรอคุณพ่อกลับมาบ้านตามเวลาปกติ แต่วันนั้นรอแล้วรออีก คุณพ่อก็ไม่ยอมกลับมาสักที ผิดเวลาไปหลายชั่วโมง กว่าจะมีโทรศัพท์โทรเข้ามาแจ้งว่าคุณพ่อของเธอเกิดอุบัติเหตุอยู่โรงพยาบาล...
น้ำหนึ่งร้องไห้เงียบๆไปตลอดทางจนแกเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า