ตอน 1
“ไปกับป๋าน้องหยี เร็วเข้าขืนชักช้า เดี๋ยวพวกมันหาเราเจอเร็วๆ สิ”
ชายกลางคนผู้หนึ่งเข้าไปในสนถานศึกษา ที่หญิงสาวคนหนึ่งเรียนอยู่ หลังจากให้ประชาสัมพันธ์ประกาศเรียก ยอดยาหยี มาพบแล้วเมื่อเจอหญิงสาว เขาจึงพยายามฉุดข้อมือเธอออกจากสถานบันแห่งนั้นด้วยอาการตื่นตระหนก ทั้งรีบร้อน อีกทั้งระแวดระวังราวกับหนีใครมากระนั้น
“ป๋าจะให้หยีไปไหนคะ หยียังเรียนไม่เสร็จ ยังไม่จบคาบเรียน”
“เอาไว้ก่อนเรื่องนี้เรื่องใหญ่ เร็วเข้า” ระหว่างพูดภาคิน สุดกมล หรือ คิน พยายามลากตัวหญิงสาวในชุดนักศึกษา ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ตรงมุมมิดชิด ภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของไทย ซึ่งบุตรสาวของเขาเรียนอยู่
“ป๋าต้องเล่าให้หยีฟังก่อนสิคะมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ขึ้นรถแล้วออกไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวป๋าเล่าให้ฟัง”
“ป๋าไปฆ่าใครมาหรือเปล่า ท่าทางเหมือนหนีใครมาอย่างนั้นล่ะ”
“เอาน่าเงียบๆ ซะหน่อยเถอะหยีทุกวันนี้ทำตัวเป็นแม่ป๋าเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
“ย่าเหรอคะ”
“เปล่า...แม่ของหยีนั่นล่ะ”
“อย่าพูดถึงแม่สิคะ หยีคิดถึงแม่”
ระหว่างนั้นภาคินเคลื่อนรถออกจากสถาบันการศึกษาอย่างระแวดระวังราวกับกลัวใครเห็น ส่งผลให้ยอดยาหยีชักสงสัยในพฤติกรรมบิดา หลายครั้งที่บิดาไม่กลับบ้าน เธอต้องอยู่บ้านลำพัง ดูแลตัวเอง กับเงินน้อยนิดที่บิดาทิ้งไว้ให้ กระเม็ดกระแหม่ใช้ อดบ้างอิ่มบ้าง แต่ก็ต้องทน กระทั่งบางครั้งต้องไปทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเล่าเรียนของตัวเอง
ล่าสุดบิดาหายไปสามเดือน ปรากฏกายอีกทีคือวันนี้ แล้วยังพูดจาแปลกๆ ไม่ต่างกับท่าทางเอาซะเลย เธอแอบสงสัยมานานแล้วว่าบิดาหายไปไหน วันๆ หนึ่งหน้าบ้านมักเจอคนแปลกหน้ามาด้อมๆ มองๆ เธอเองหวาดกลัวอยู่มาก เพราะต้องอยู่บ้านคนเดียว แล้วคราวนี้ล่ะคำตอบคืออะไรที่ท่านดึงเธอขึ้นรถ ทั้งๆ ที่ยังไม่หมดคาบเรียน
“เราอยู่บ้านเราไม่ได้แล้วนะหยี”
“วะ...ว่าไงนะคะป๋า” ยอดยาหยีรู้สึกตกใจกับคำพูดบิดา ทำไมบ้านตัวเองจะอาศัยอยู่ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วบิดาเธอต้องไปทำอะไรไม่ดีมาอย่างนั้นหรือ
“เอ่อ...บ้านเราไม่ปลอดภัย หยีกำลังตกอยู่ในอันตราย ป๋าต้องพาหยีไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย” เขาว่าอย่างซีเรียส สีหน้าตกประหม่า ไม่สู้ดีนักตอนนี้รอบข้างเขาเต็มไปด้วยอันตราย ล่าสุดพวกมันขู่ว่าจะจัดการคนที่เขารัก ดังนั้นจึงมีชายฉกรรจ์ มาซุ้มอยู่หน้าบ้านไม่เว้นแต่ละวัน โชคดีที่พวกมันยังไม่ลงมือกับบุตรสาวของเขา
“หยีไม่เข้าใจ ป๋าไปทำอะไรไว้บอกหยีก่อนสิคะ” บุตรสาวคะยั้นคะยอให้บิดาเปิดปากบอกความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้ อะไรอย่างไร ถึงกลับไปอยู่บ้านตัวเองไม่ได้
“เงียบก่อนหยี เดี๋ยวป๋าเล่าให้ฟัง” ความลับที่เก็บกักไว้ค่อยระบายออกให้บุตรสาวฟัง แต่นั่นก็ไม่ทั้งหมดยังคงเก็บความลับสำคัญไว้ไม่ยอมเผยกับบุตรสาว
“ป๋าโดนมาเฟียตามล่า”
“อืม...”
“แล้วทำไมป๋าต้องโดนพวกมันตาม”
“เอาน่าเดี๋ยวป๋าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง” ภาคินไม่ได้บอกกับบุตรสาวว่าตัวเองติดหนี้พวกเงินกู้นอกระบบ บอกแต่ว่าขัดผลประโยชน์กัน เขาภาวนาให้ยอดยาหยีไม่ซักถามมาก แต่เขารู้จักนิสัยบุตรสาวดี เธอจะไม่ยอมหยุดหากไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด
“ไม่ค่ะ หยีจะไม่ยอมไปไหนถ้าป๋าไม่เล่าทั้งหมด”
“ป๋าแค่ลงทุนทำธุรกิจ แล้วการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว คนที่ได้น้อยก็จะเอามาก คนที่ได้มากจะเอามากขึ้น” เขาปดยอดยาหยี จะบอกไปตรงๆ บุตรสาวที่มีบิดาเป็นตัวอย่างมาตลอด คงสิ้นศรัทราเขาจะทำให้ลูกรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นหากหาที่อยู่อันปลอดภัยให้กับยอดยาหยีได้ นับว่าเขาจะสบายใจที่สุด ดีกว่าปล่อยไว้ที่บ้านเพียงลำพัง พวกมันล้อมบ้านของเขาทั่วทุกตารางแบบนี้ ขืนกลับไป ทั้งเขาและลูกคงลำบากแน่ “เรื่องเรียนหยีดรอปไว้ก่อนนะ ที่มหาวิทยาลัยก็ไปไม่ได้” ภาคินคิดการล่วงหน้าหากพวกมันไปที่บ้านไม่พบ ย่อมตามหาบุตรสาวที่มหาวิทยาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย
“หยีจะจบแล้วนะคะ เหลืออีกเทอมเดียวเก็บอีกไม่กี่หน่วยกิจ หยีก็จะจบแล้ว” ยอดยาหยีค้านบิดา แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บิดาว่ามา
“เอาน่าแค่ช่วงนี้เท่านั้น ป๋าแก้ปัญหาได้หยีก็กลับไปเรียนตามเดิมได้” ถ้าไม่ทำแบบนี้เขาคงต้องเสียลูกไปทั้งชีวิต นั่นภรรยาที่ตายไปคงไม่ให้อภัยผัวเลวๆ คนนี้แน่
“ลาหยุดพอได้ แต่ให้ดรอปหยีเสียดายเวลาค่ะ” อีกไม่กี่เดือนก็จะสอบปลายภาค แล้วนั่นหมายถึงเธอจะจบการศึกษา หลังจากส่งงานทุกตัวครบด้วย จากนั้นแค่นอนรอรับปริญญาที่เธอมุ่งมานะมาร่วมสี่ปี แล้วบิดามาบอกแบบนี้เธอย่อมทำใจให้ยอมรับไม่ได้ง่ายๆ
“แล้วป๋าจะพาหยีไปไหนล่ะคะ”
“พาไปอยู่ที่ปลอดภัยที่สุด ยอดดวงใจของป๋า เชื่อป๋านะหยีอยู่ที่นั่นจะปลอดภัย”
“หยีต้องไปจริงๆ เหรอคะแล้วของใช้หยีล่ะ”
“เดี๋ยวค่อยกลับไปเก็บ”
“ร้ายแรงแม้แต่เข้าไปเก็บของไม่ได้เลยเหรอคะ”
“พูดอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกหยี เราไม่รู้พวกมันซุ้มอยู่ตรงไหนบ้าง มีกี่คนระวังตัวไว้เป็นดีที่สุด”
“ค่ะ” ยอดยาหยียอมรับโดยจำยอม เธอไม่รู้ปัญหาการทำธุรกิจของบิดา รู้แต่ว่าท่านหายไปทีละนานๆ หลายวัน หรือร่วมเดือน บางทีหลายเดือน แต่ถ้าเพื่อความสบายใจของบิดา เธอคงต้องยอมมาอยู่กับคนอื่นที่บิดาบอกว่าเป็นที่ปลอดภัยตามน้ำไป
รถแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านใหญ่โต ราวกับคฤหาสน์หลังหนึ่ง แล้วบิดาก้าวลงจากรถไปกดออด ไม่นานก็มีหญิงวัยน่าจะเป็นพี่ของยอดยาหยี วิ่งมาเปิดประตู บิดาคุยกับหญิงคนที่สวมเสื้อสีขาวผ้าถุงสีน้ำเงินไม่กี่ประโยคจึงย้อนกลับมาขึ้นรถ แล้วเคลื่อนรถเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์สีขาวโอ่อ่านั้น ราวกับสนิทกับคนที่นี่อย่างนั้น
“ป๋าบ้านใครคะ”
“บ้านเพื่อนป๋า”
“อย่าบอกนะว่าป๋าจะพาหยี มาอยู่ที่นี่”
“อยู่ไปก่อนหยี ป๋าคุยกับเพื่อนป๋าแล้ว เขายินดีให้หยีมาอยู่ที่นี่”
“แต่...”
“ป๋าเป็นห่วงหยีนะ ยอดดวงใจของป๋า ถ้าป๋าไม่ทำแบบนี้เกิดอะไรขึ้นกับหยี ป๋าคงสิ้นใจตายเชื่อป๋านะคนดี อยู่ที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวเราลงไปทำความรู้จักกับเจ้าของบ้าน มาลงมา” ภาคินจอดรถนิ่งหน้าตึกอลังการ ว่าดูภายนอกใหญ่โตแล้ว ยิ่งได้เข้ามาสัมผัสด้านในทุกสิ่งที่เห็นราวกับเดินอยู่ในพระราชวังแวร์ซาย
“โห...ป๋าที่นี่เขาไม่เรียกว่าบ้านแล้วนะ” ยอดยาหยีมองไปโดยรอบ ตรงหน้าบันไดมีรูปปั้นหงส์สองตัวสีขาวกางปีกถูกจัดวางตั้งไว้ทั้งซ้ายและขวา บันไดหินอ่อนขัดเขาเงาวับ
ผู้หญิงคนที่วิ่งไปเปิดประตูวิ่งกลับมา
“รอสักครู่นะคะดิฉันจะเข้าไปเรียนคุณผู้หญิง”
“ขอบใจมาก” ภาคินเอ่ยขอบใจหญิงคนนั้น ดูแล้วว่าคงเป็นสาวใช้บ้านนี้ แม้แต่สาวใช้ยังมียูนิฟอร์มใส่ แสดงว่าบ้านนี้ต้องระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว และบ้านกว้างใหญ่ขนาดนี้ คงต้องมีสาวใช้นับสิบกระมั่ง ยอดยาหยีคิดอยู่เงียบๆ
ไม่กี่นาทีเท่านั้นผู้หญิงแต่งตัวดี ภูมิฐาน เสื้อผ้า หน้าผม จัดแต่งแบบคุณหญิงคุณนาย ทว่าน้อยกว่าเวลาไปงานเลี้ยงหลายเท่าอยู่ ได้ก้าวผ่านประตูออกมา เสื้อผ้าพลิ้วไหวตามแรงก้าวขยับ
“มาแล้วเหรอคิน เข้ามาคุยกันข้างในก่อน เฮียปอโทรมาสั่งฉันไว้แล้วล่ะ”
“ครับคุณนาย”
“อย่าเรียกแบบนั้นเลยคนกันเองแท้ๆ เรียกวิก็ได้” วิมาลากล่าวโดยนางรู้จักภาคิน และฟองแก้วมานาน ด้วยสองคนเคยทำงานที่โรงงานซีอิ๊ว เป็นคนเก่าคนแก่
แต่เมื่อภาคินกับฟองแก้วมาลาออก เพราะบอกว่าอยากเติบโต ด้วยทั้งสองเพิ่งแต่งงานกัน ก็อยากสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยการมีกิจการเป็นของตัวเอง เริ่มจากธุรกิจเอสเอ็มอีเล็กๆ แล้วขยายใหญ่ขึ้นเป็นขนาด