ตอนที่ 31 เสี่ยงทายมาลัย กับวันวาเลนไทน์ (2)
ตอนที่ 31 เสี่ยงทายมาลัย กับวันวาเลนไทน์ (2)
ส่วนตอนกลางวันของกลุ่มเหมือนฝันกับมะปราง เธอเรียกได้ว่าเป็นตัวดึงดูดสายตาเลยสติกเกอร์บนเสื้อติดจน...แทบไม่มีที่ว่างแล้ว มะปรางก็โทรนัดรุ่นพี่คนสนิทมาหา จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันหวานแหวว ทำเอาเพื่อน ๆ ในกลุ่มแซวอิจฉากันยกใหญ่
จนกระทั่งเธอมอบมาลัยข้อมือที่พึ่งได้มาให้กับรุ่นพี่คนนี้ แถมยังไม่ลืมเล่าเรื่องราวของนางรจนา…
พอกลับมานั่งรอบกลุ่มกับเพื่อนแก๊งนางฟ้า ทุกคนก็แซวนิดหน่อย
มีเพื่อนถามขึ้นว่าเธอจะเอายังไงกับนายเสือน้อย เพราะเหมือนว่าเธอจะสนอกสนใจพี่ธรมากกว่า…
ตัวของเหมือนฝันเองก็พยายามฟังอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยเช่นกัน…
เธอก็สารภาพว่าพอลองได้คบดูแล้ว เหมือนจะชอบพี่ธรมากกว่า ส่วนเสือน้อยพอเธอได้คบสักพักก็รู้สึกว่างั้น ๆ ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนอย่างพี่ธร
“ถ้าไม่ชอบก็บอกเลิกมันไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา” เพื่อนในกลุ่มแนะนำและโน้มน้าวเธอ โดยเฉพาะเหมือนฝันที่เป็นคนเชียร์ให้ทั้งคู่จีบกัน
จนเธอตัดสินใจได้ว่า “จะบอกเลิกกับเสือน้อย” เธอยังจำข้อตกลงของทั้งคู่ได้
“ถ้ามันไปได้ด้วยดีเราก็คบเป็นแฟนต่อไป แต่ถ้าคบแล้ว ดูเข้ากันไม่ได้ หรือว่ามะปรางมีคนใหม่ที่ถูกใจมากกว่าเราก็ขอให้บอกเลิกกันด้วยดี และกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ เอาแบบนี้ดีมั้ย!?” ย้อนไปวันตกลงคบกัน เสือน้อยก็พูดทำนองนี้ไว้
จนกระทั่งเลิกเรียนมะปรางจึงได้โทรนัดเสือน้อยมาหาตามลำพัง และได้พูดเข้าประเด็นทันที “นี่เสือน้อยยังจำได้มั้ยวันที่เราตกลงเป็นแฟนกัน...”
พอเห็นสาวสวยตรงหน้าเกริ่นมาแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี...ไม่ดีมาก ๆ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบไป “จำได้แม่นเลย...”
“คือว่าเราคิดว่าเราไม่ได้ชอบเสือมากขนาดนั้น พอได้ลองคบกันแล้ว...เอ่อ” เธอเว้นช่วงไว้ครู่หนึ่งก่อนพูดต่อว่า “ตอนนี้เรามีคนที่ชอบ...และรู้สึกดีกับเขา...มากกว่าเสือน่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“เราพอจะเข้าใจ…ว่าแต่ตรงไหนที่ทำให้เราเสียคะแนนไปเหรอ?” เสือน้อยอยากรู้เรื่องนี้จริง ๆ เขาก็หมั่นไปเอาใจโทรไปแทบทุกวัน วันก่อนยังคุยกันปกติดีอยู่เลย
ในใจของเธอก็ครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่มีส่วนสำคัญก็เป็นคำพูดจากปากคน...
มันก็มีหลายเรื่องที่ในใจเธอได้ยินได้ฟัง “อุ๊ย! ดูแฟนเธอสิ ยืนเป็นมาสคอตหน้าโรงเรียนอีกแล้ว” บางคนก็พูดว่า “นี่...มะปราง เราฝากเสือน้อยสั่งข้าวเหนียวหมูปิ้งมาให้หน่อยสิ!” ส่วนใหญ่จะแซว เรื่องแฟนของเธอเป็นลูกจ้างเดินขายของ...
มันทำให้เธอรู้สึกอายจนต้องหาทางพูดเบี่ยงประเด็น เวลาที่มีคนมาคุยอะไรทำนองนี้กับเธอ ส่วนใหญ่เธอมักไประบายกับเพื่อน ๆ ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ
ทว่าเธอไม่สามารถพูดกับเสือน้อยได้ เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาขนาดนั้นตอนเด็ก ๆ เธอรู้ว่าเสือน้อยเป็นพวกหัวโจก แต่ก็คอยปกป้องผู้หญิงด้วยอย่างสุดชีวิตด้วยการชกกับรุ่นพี่เพื่อปกป้องยัยลูกหมี…จึงทำให้เธอรู้สึกดีกับเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อีกส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่เข้ามาวิ่งในหัวใจเธอคนใหม่ เขาดูตื่นเต้นเร้าใจ พูดจาดูดีหวานหู ถูกใจเธอเป็นอย่างมาก “อีกทั้งพี่เขายังเอาใจเก่งด้วย…”
เธอรวบรวมความคิดก่อนจะตอบว่า “มันเป็นเรื่องของความรู้สึกน่ะ…เราก็อธิบายไม่ถูก แต่ตอนอยู่ใกล้กับพี่เขา เรารู้สึกมีความสุขมาก ๆ” มะปรางสังเกตเห็นความผิดหวัง ผ่านสายตาของเสือน้อย
“ก็ได้เราเข้าใจ แล้วเราเคยพูดไว้แล้วนี่ ถ้าเกิดมีคนใหม่ที่ถูกใจมากกว่าเราก็ขอให้บอกเลิกกันด้วยดี” เสือน้อยทวนคำพูดที่พ่อเคยสอนไว้
ทว่าตอนที่พูดกับตอนที่ทำ…มันเป็นคนละเรื่องกันเลย พอเสือน้อยประสบพบเจอกับมันด้วยตัวเองจึงเข้าใจ ความรู้สึกโหวงเหวงที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ความผิดหวัง โศกเศร้า มีพวกอารมณ์ต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามาในใจของเขา
แต่ก็ลุกขึ้นยืน พูดกันอยู่หลายประโยค ก่อนจะโบกมือแยกย้ายกันไปอย่างเป็นทางการ พอเสือน้อยมองเห็นเธอจากไปพักหนึ่ง แต่ก็มองไปเห็นว่าเธอลืมสมุดไว้ด้วยความเป็นห่วงจึงรีบวิ่งตามไป กลัวว่าเธอจะไม่มีการบ้านส่ง หรือมีงานสำคัญในอยู่สมุด
แต่วิ่งตามไปได้ไม่นานก็พบเธอ กำลังเดินอยู่กับรุ่นพี่คนนั้นที่เขาได้เจอเมื่อเช้า
เสือน้อยกัดฟันสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปหา ทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยากไปเลยจริง ๆ เขาจึงตะโกนไล่หลัง ทำให้ทั้งคู่หันมามอง
มะปรางหันมามองเสือน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเห็นเพียงรอยยิ้มสาดสะท้อนออกมาเท่านั้น ก่อนมือข้างหนึ่งของเขาจะยื่นสมุดให้กับเธอ...
ขณะที่กำลังยื่นให้ เขาก็พลางเหลือบตาไปเห็นมาลัยข้อมือ ที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ถืออยู่ “นั่นมัน ของเราที่ให้มะปรางไปเมื่อเช้านี่หว่า?” เขาคิดขึ้นในใจ สายตาของเขาหยุดที่มาลัยก่อนหันไปมองมะปราง ด้วยสายตาเฉยเมย ปะปนไปด้วยสายตาลุ่มลึก...ก่อนที่จะหมุนตัวจากไป
เพราะเสือน้อยไม่รู้จะโกรธหรือขำตัวเองดี ถ้าขำก็ขำที่ดันมอบมาลัยข้อมือให้เธอเอาไปเลือกคู่เสี่ยงทาย ตัวเขาต้องการสื่อให้เห็นว่าเธอถูกเขาเลือก…แต่เจ้ากรรมเธอก็ดันเอามาลัยข้อมือแทนใจไปให้รุ่นพี่คนนั้นเสียนี่!
“ส่งต่อกันเป็นไม้วิ่งผลัดเลยนะพวกเอ็ง” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แบบนี้สินะ...รจนาเลือกคู่!” เขาขำในใจ ไอ้นั่นน่ะสังข์ทอง ส่วนเขาคือเป็นตัวประกอบเท่านั้น...เขาหัวเราะในใจ “เพลงตัวประกอบพี่กวาง AB Normal” ก็ดังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คล้ายประชดชีวิตในวันนี้ของเขา
วันนี้เขาไม่มีอารมณ์ทำอะไรแล้วจึงกลับบ้านเร็วผิดปกติ ส่วนเรื่องราวที่พยายามขายมาทั้งวันอย่างรจนาเลือกคู่ก็กลายเป็นว่าสำเร็จเป็นไปตามเป้า “แต่สำหรับคนอื่นนะไม่ใช่เขา!”
พอถึงบ้านเสือน้อยก็ทำตัวไม่ถูก จึงเดินไปหาเจ้าทองสุขก่อนไปนอนเปลในบ้านสวน เจ้าควายรู้งานจึงเดินไปคลอเคลียให้กำลังใจ เขาก็ลูบหัวมันลูบเขามันไปพลาง ๆ พอได้เวลาอาหารพี่นางก็ยกมาให้มันกิน …ส่วนเขาก็ขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ
...
ที่ศาลาริมน้ำคีย์บอร์ดตัวหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะพร้อมหนังสือคีย์ เสือน้อยที่อารมณ์เปลี่ยวเหงา นั่งบรรเลงเพลงไปมา บางครั้งก็ร้องเพลงไปด้วย
จนพ่อเดินมาเห็น จึงนั่งคุยกันเพราะอารมณ์ผิดปกติของลูกชายเขานั้นดูไม่ยาก “เป็นไงเรา...มีอะไรไหนเล่ามาให้ฟังสิ!?”
เสือน้อยก็ไม่มีอะไรปิดบังและมีคำถามในใจ ที่ต้องการถามพ่ออยู่จึงเล่าเรื่องออกไปจนหมดเปลือก...
พ่อได้ฟังก็ยิ้ม ๆ น่าสนใจ “รจนาเลือกคู่หรือ?” เขาอาจเก็บเป็นแรงบันดาลใจไว้วาดภาพได้ จากนั้นพ่อก็พูดถึงเรื่องที่เสือน้อยสงสัยเรื่อง “ถ้าไปไม่รอด...แยกย้ายกันไปด้วยดี”
พ่อผันบรรยายว่า “กับความรักแค่ ม.1 มันก็แค่นี้เอง มันเปรียบเหมือนต้นกล้าที่ยังต้องผ่านการรดน้ำ ดูแลไล่แมลง ต้องผ่านลมผ่านฝนอีกมาก กว่าจะเจริญเติบโต เอ็งยังต้องเจออีกมากเสือน้อยเอ๊ย!”
“แต่อย่างน้อยเลิกกันไป ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ต้องเกลียดกันตอนเจอหน้าก็จะไม่รู้สึกผิด ต้องหาทางหลบหน้าให้มันเหนื่อยสามารถยิ้มให้กันเมื่อยามพบหน้า อย่างน้อยเอ็งไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร” นี่คือประสบการณ์ของพ่อผันในตอนเรียน
เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่เขาตั้งใจถ่ายทอดให้ลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เขาถึงนิยามมันว่า “ปั๊บปี้เลิฟ หรือ ความรักแบบเด็ก ๆ พอได้เจอใครดีกว่าถูกใจกว่าก็ไป…”
“เอ็งน่ะยังอ่อนเยาว์นักเรื่องประสบการณ์ด้านความรัก จำต้องเตรียมใจให้ดี ในมุมมองของผู้ใหญ่ความรักในวัยเด็กอายุ 13-14 มันก็เท่านี้เอง มันก็แค่ความรักประเดี๋ยวประด๋าว เป็นความรักแบบฉาบฉวยอยู่ได้ไม่นาน คิดหรือว่าจะรักกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย ถือว่ามันเป็นแค่เพียงประสบการณ์ที่ต้องพบเจอในชีวิต”
“ส่วนเรื่องที่ว่ามะปรางเอามาลัยข้อมือของเอ็งไปให้คนอื่นนั้น…จะว่าผิดมั้ยมันก็ผิด แต่ด้วยอายุเท่านี้เอง เธออาจจะแค่ลืมนึกในส่วนนี้ไปก็เท่านั้น ลืมใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นที่มีให้ ประเดี๋ยวเอ็งก็เจอคนที่ชอบคนใหม่เองแหละน่า” พ่อตบไหล่ให้กำลังใจ
“อย่าไปคิดมากเลยมา ๆ เดี๋ยวพ่อร้องเพลงปลอบ” ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์โปร่งตัวโปรดมานั่งข้างลูกชาย “กีตาร์ตัวนี้มีลายเซ็นของพี่ป้อมอัสนี พี่โต๊ะวสันต์อยู่ครบ”
พ่อยิ้มอ่อนโยนพร้อมถามขึ้นว่า “เอายัง?”
เสือน้อยถาม “เพลงอะไรล่ะพ่อ?”
“อารมณ์แบบนี้มันก็ต้องเพลงเธอปันใจสิวะ!” พ่อพูดพลางดีดกีตาร์ตั้งสายอยู่ครู่หนึ่ง
เสือน้อยยิ้มเจื่อนพี่ป้อมอีกแล้วเหรอ? เขาเหลือบไปมองปิ๊กกีตาร์หลากสี…ที่ห้อยอยู่บนคอมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันเกิดฉลองคบหนึ่งขวบปี มันก็อยู่ติดตัวเขามาโดนตลอด
จนเขาจึงเรียกมันว่า “หลวงพ่อปิ๊ก”
จากนั้นพ่อผันก็เริ่มเกากีตาร์ร้องเพลงนำ
♫ “หัวใจสลาย เมื่อเธอเดินไปกับเขาไม่คำนึงถึงเรื่องราว” ♫
ส่วนเสือน้อยก็เล่นคีย์บอร์ดเสริม เมื่อถึงท่อนฮุกก็ตะโกนร้องประสานเสียงกันดังลั่นที่ศาลาริมน้ำ
♪ “ถ้าจะมาไม่มาทั้งใจก็กลับไปเสียดีกว่า...” ♪
ทำเอาเด็กหนุ่มลืมความทุกข์ ความเศร้าเพราะว่าได้ระบายมันออกไปกับเสียงเพลง
-------------------
นี่มัน…ตำนานในตำนาน