EPISODE 02
“ความจริงแค่มาซื้อของแกไม่จำเป็นต้องแต่งแบบนี้ไหม” ยัยป้าแว่นผู้จัดการส่วนตัวของฉันทักท้วง
“ฉันก็บอกแกแล้วว่าฉันรำคาญนักข่าว ไหนจะพวกโซเชียลที่เป็นแหล่งข่าวแบบไม่เปิดเผยตัวตนอีก แค่ฉันออกมาซื้อของ ถ้าไม่ปลอมตัวก็จะกลายเป็นว่าฉันนัดผู้ชาย แกก็รู้ว่าคนสมัยนี้ รู้สิบพูดร้อย” ฉันอธิบายเสร็จสรรพแล้วกลอกตามองบนใส่ยัยป้าแว่นเพื่อนสนิทของฉัน
“ช่วยไม่ได้ แกอยากเข้าวงการเอง”
“ฉันแค่คิดจะทำเล่น ๆ ใครจะคิดว่าจะดังแบบนี้ล่ะ” ฉันพูดไปตามความจริงที่เคยเป็น
ฉันชื่อ ‘อ้าย สิริมา’ เป็นดาราที่ค่อนข้างดังในระดับหนึ่ง ซึ่งคนให้ความสนใจและชื่นชอบฉันพอสมควร ฉันอายุ 25ปี ประสบการณ์ในวงการก็มีไม่มากเท่าไหร่ แฟนคลับก็มากพอสมควร
เพราะฉันเป็นคนน่ารัก อ่อนโยน เมตตาอารี ยิ้มแย้มแจ่มใส ว่านอนสอนง่าย ทุกอย่างที่พูดมาคือเฉพาะเวลาอยู่หน้ากล้อง เวลาออกสื่อ หรืออยู่ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเวลางานฉันจะรับผิดชอบงานของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด จะไม่ยอมให้ใครมาว่าได้ว่าฉันคือ ‘ตัวถ่วง’
แล้วที่สำคัญเวลาทำงานฉันไม่เรื่องมากด้วยนะ ‘อะไรก็ได้ อ้ายได้หมด’
แต่ก็นั่นแหละถ้าฉันได้มาอยู่ในโลกของตัวฉันเอง ฉันจะเป็นคนเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ หงุดหงิด ขี้รำคาญ ยิ่งเวลาคนถามจู้จี้จุกจิกฉันยิ่งพร้อมจะระเบิด คือฉันแย่อ่ะ
ขนาดตัวฉันยังรู้เลยว่าฉันงี่เง่านิสัยเสียแค่ไหน ฉันเอือมระอาตัวเองนะ แต่มันแก้ไขยากอ่ะ มันเป็นสันดานฉันไปแล้ว
และเอาตรง ๆ คนนิสัยแบบฉันไม่สมควรเป็นบุคคลสาธารณะเลยด้วยซ้ำ
“แต่แกก็ดังแล้วไง ซึ่งถ้าไม่อยากดับเพราะข่าวเสีย ๆ แกก็ต้องทำตัวดี ๆ”
“ว่าจะเข้าไปหาแม่ วันนี้ไม่ไปละ” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อนชี้แนะ
“ทำไมล่ะ” ยัยป้าแว่นถาม
“ก็ตอนนี้รู้สึกเหมือนแม่อยู่ข้าง ๆ” ฉันยิ้มใส่เพื่อนเมื่อพูดจบ
“เดี๋ยวเถอะแก” ยัยป้าแว่นชักสีหน้าใส่ฉันเล็กน้อย
เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของฉันคือ ‘โรส รสริน’ ฉันมีเพื่อนไม่มากเพราะสันดานของฉันมันหยาบกระด้าง ‘โรส รสริน’ สาวแกล้งเฉิ่มจึงเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน
ยัยป้าแว่นคือฉายาที่คนในวงการบันเทิงเรียกเธอ ‘ยัยป้าแว่นผู้จัดการของน้องอ้าย’ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าภายใต้แว่นกรอบสี่เหลี่ยมหนา ๆ และการแต่งหน้าให้ตัวเองดูขี้ริ้วขี้เหร่นั้น ความจริงแล้วยัยเพื่อนคนนี้สวยเอาเรื่องเลยล่ะ
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่เกลียดความสวยของตัวเอง นางก็เลยแปลงโฉมโมดิฟายตัวเองใหม่ ซึ่งเบ้าหน้าที่แท้จริงก็มีแต่ฉัน และครอบครัวเท่านั้นที่รู้จักมักจี่
และตอนนี้ฉันก็อยู่ในสภาพป้าแว่น ส่วนยัยโรสผู้จัดการส่วนตัวของฉัน นางอยู่ในชุดสวยพริ้งแพรวพราว เพราะถ้านางมาชุดป้าแว่น นักข่าวจะจับสังเกตได้
ฉะนั้นเวลาปลอมตัวเราจึงสลับการแต่งตัวกัน ซึ่งที่ผ่านก็ไม่เคยมีใครจับได้สักครั้ง และมันเป็นอะไรที่ฉันค่อนข้างโอเค เวลาที่ได้เป็นมนุษย์ป้าแว่น แตกต่างจากเพื่อนฉันที่ไม่เคยโอเค เพราะนางไม่ชอบโชว์ความสวย และไม่อยากให้ใครมอง
“วันนี้ทำกับข้าวให้กินหน่อยนะ” ฉันอ้อนเพื่อนรักที่มีเสน่ห์ปลายจวักติดตัว ต่างจากฉันลิบลับที่ไม่เคยเข้าครัว เครื่องปรุงอะไรก็ไม่รู้จัก ทำเป็นอย่างเดียวคือ ‘รอกิน’
“ชิ ตลอดอ่ะ บอกว่าจะสอนก็ไม่เอา แบบนี้จะหาแฟนได้ไหมฮะ” ยัยป้าแว่นทำหน้าใส่ฉัน
“มีแกก็ไม่ต้องมีใครละ แกก็รู้ว่าแกเป็นทุกอย่างของฉัน” ฉันเอนซบออดอ้อนเพื่อนรักเหมือนที่เคย
“ถ้าวันนึงฉันมีครอบครัวแกจะอยู่ยังไงอ้าย” ยัยป้าแว่นทำหน้าจริงจัง
“มนุษย์ที่ผิดปกติแบบแกไม่มีทางให้โอกาสผู้ชายเข้าใกล้หรอกโรส แกไม่มีวันทิ้งฉัน ข้อนี้ฉันรู้ดี แล้วแกก็ไม่ทางสนใจผู้ชาย เพราะถ้าแกสนใจจริงแกต้องโชว์ความสวยที่แกมี ไม่ใช่โชว์เพราะฉันบังคับแบบนี้” ฉันพูดจริงจัง
“คือฉันไม่ได้ผิดปกติไหม ฉันแค่ไม่ชอบให้ใครมาสนใจ แกพูดเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดเลย” ยัยป้าแว่นขมวดคิ้วใส่ฉัน
“บ้าน่า ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมายความอีกแบบแต่แค่สื่อความหมายไม่เป็น” ฉันยิ้มเจื่อน ๆ และแก้ต่างข้าง ๆ คู ๆ
“หึ ตลอดอ่ะแก แล้วอยากกินอะไร” เพื่อนก็เพื่อน และเพื่อนคนนี้คือคนที่ฉันรักที่สุด เธอมักรู้ใจฉันเสมอ และเธอเป็นคนเดียวที่ฉันไม่ค่อยจะแสดงนิสัยแย่ ๆ ใส่
“สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา เอาแบบเด็ด ๆ เลยนะ” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ
“เหอะ สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา แต่แกกินเผ็ดไม่ได้ ฉันก็ต้องผัดสูตรเด็กให้แกกิน” ยัยป้าแว่นนางทำหน้าเอือม ๆ ใส่ฉัน
“ก็เพื่อนอยากกิน” ฉันยิ้มแป้น เมื่อเพื่อนกำลังกัดทางอ้อม
“ควรหัดกินบ้าง เผื่อมีออกกองแล้วต้องกินของเผ็ดแกจะทำยังไง”
“ฉันถึงมีแกคอยดูแลไง”
“ฉันจอดตลอดเถียงไม่ออกก็เพราะประโยคและหน้าอ้อน ๆ แบบนี้ทุกที”
“ก็ฉันแพ้แกก็รู้” ฉันพูดเสียงแผ่วเบา
“ก็เพราะรู้ไง แต่ก็อยากให้ค่อย ๆ ลอง อาจจะหายก็ได้นะ”
“กินเผ็ดมันแสบปาก”
“พอ จบ เลิกคุยกัน สปาเก็ตตี้ขี้เมาสูตรเด็กก็ได้” ฉันว่ายัยป้าแว่นกำลังเก็บอารมณ์
“น่ารักที่สุดเลย” ฉันเดินเกาะแขนเพื่อนรัก
ตุบ!
“โอ๊ย!” เด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนฉันด้วยความแรง แล้วจากนั้นเด็กคนนั้นก็ล้มลง
“เป็นยังไงบ้างคะน้อง เจ็บตรงไหนไหม พี่พาไปหาหมอไหมคะ แล้วนี่มากับใครพ่อแม่อยู่ไหน ทำไมวิ่งมาแบบนี้” ฉันรีบร้องถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับนั่งย่อตัว จับเด็กคนนั้นขึ้นมาหมุนดูความเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรฮะ ลูกผู้ชายแค่นี้ไม่ตาย” เด็กตัวเล็กน่ารักยิ้มให้ฉัน อายุน่าจะประมาณ 4-5 ขวบ
“น้องทิว! เป็นไงบ้างเนี่ย อาบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง ขอโทษนะครับพอดีหลานผมซนไปหน่อย เขาทำข้าวของคุณเสียหายไหมครับ” ผู้ชายหน้าหล่อคมเข้มเอ่ยถามฉันและยัยโรส พร้อมกับอุ้มเด็กน้อยเข้าอ้อมกอด
“ขอโทษฮะอาเนม ทิวจะไม่ทำอีกนะฮะ” เด็กน้อยบอกกับผู้ชายคนนั้น
“คราวหน้าอาจะไม่พามาด้วยแล้ว ทำคนอื่นเดือดร้อนเลยเห็นไหม”
“อย่าดุแกเลยค่ะ ฉันกับเพื่อนก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ฉันออกตัวเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นตั้งท่าดุด่า
“ไม่ได้หรอกครับ ทำผิดก็ต้องดุต้องสอน เด็กจะได้จำ และไม่ทำอีก” ผู้ชายคนนั้นว่า
“เกินไปไหมคะ เด็กยังเล็กอยู่เลย แกก็ต้องมีผิดบ้างเป็นธรรมดา จะกดดันอะไรกันขนาดนั้น” ยัยป้าแว่นโวยวายซึ่งฉันรีบลุกขึ้นยืนเพื่อห้ามทัพ
“กดดันอะไรครับ ผมสอนหลานผม” ผู้ชายคนนั้นโต้กลับ
“นี่เรียกกดดันค่ะ ไม่ใช่สอน” ยัยป้าแว่นใส่อีก
“แล้วคุณยุ่งอะไรด้วยครับ นี่ครอบครัวของผม” ผู้ชายคนนั้นเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และเรากำลังเริ่มเป็นจุดสนใจ
“พอเถอะโรส คนมองหมดแล้ว เอาเป็นว่าฉันขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ” ฉันตัดบทกล่าวลา แล้วจากนั้นก็ลากเพื่อนออกมาจากตรงนั้นด้วยความเร็ว
“แกดึงฉันทำไมวะ ฉันกำลังจะสวนไอ้บ้านั่นเลย” ยัยป้าแว่นโวยวายเมื่อเรามาหยุดอยู่ที่โซนของกิน
“ก็เรากำลังจะกลายเป็นจุดสนใจไง แล้วเรื่องนั้นมันก็เรื่องของครอบครัวเขา แกจะไปว่าเขาได้ไง”
“ก็ฉันเกลียดไอ้ขี้เก็กนั่น เด็กก็บอกอยู่ว่าขอโทษ ยังจะโวยวายอยู่ได้”
“จริง ๆ คือฉันไหมที่ต้องใจร้อน” ฉันเลิกคิ้วถาม เมื่อป้าแว่นโวยวายไม่เลิก
“เออ ๆ โทษที ฉันแค่ฟิวส์ขาด”
“จ้ะ” ฉันว่าแค่นั้นแล้วส่ายหน้าใส่นาง แต่ก็แปลกดี นาน ๆ ทีนางจะระเบิดสักครั้ง