ตอนที่ 02 (3)
หลังจากที่เราตกลงกันแล้วพี่ไมเนอร์ก็พาไปกินข้าวที่ชั้นบนสุดของห้างระหว่างที่เรารอเวลาเข้าโรงหนัง ทุกอย่างเขาจ่ายหมด สายเปย์ขั้นสุดแบบนี้คงหมดไปเยอะแล้วกับพวกสาวๆ
เราเลือกหนังที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ เป็นหนังเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดบนดาวดวงหนึ่งของนักบินอวกาศ มีข่าวว่าหนังเรื่องนี้ทำยอดขายเกนพันล้านในวันแรกที่เข้าฉายเลยทีเดียว ดีหน่อยที่วันนี้คนค่อนข้างเบาบางลงแล้วที่นั่งที่เราต้องการและมีความเห็นตรงดันว่ามันเป็นมุมที่ดีที่สุดยังว่างให้จองก่อนหน้าที่หนังจะฉายเพียงสองชั่วโมง
“หนาวหรือเปล่า”
“นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบแต่ใจจริงก็หนาวอยู่เหมือนกัน เพราะดันถอดเสื้อคลุมเก็บไว้ในรถตัวเองตั้งแต่ตอนเย็น
แล้วพี่ไมเนอร์ก็ทำให้ฉันตกใจเมื่อเขาทิ้งเสื้อยีนส์ของตัวเองที่เพิ่งถอดมาคลุมตัวฉันแล้วเขาก็กลับไปนั่งดูหนัง เหมือนจะจบไม่มีอะไรต่อแต่เขาทำให้ฉันหวั่นไหวอีกรอบเมื่อเขาสอดมือของตัวเองเข้ามาในเสื้อแล้วจับมือฉันไว้
หนังที่ฉายอยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้เข้ามาสู่การประมวลผลในสมองเลย เพราะตอนนี้สมองของฉันมันตีรวนกันกับสิ่งที่เขาทำจนมึน หัวใจก็สั่นไหวระรัว
“หนาวแล้วเอามาในรินทำไม”
“แบบนี้อุ่นกว่า” เขาเอียงตัวมาพูดข้างหูนั่นยิ่งทำให้เราใกล้กันไปอีก สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามไม่หันไปสบตากับเขาเพราะใจฉันมันพองไปหมดแล้ว
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองเพราะทำอะไรไม่ถูก ฝ่ามือที่เย็นเฉียบนั้นค่อยๆ อุ่นขึ้นเมื่อถูกมือหนาของอีกฝ่ายกุมไว้บนตักของฉัน เกิดคำถามในใจขึ้นมากมาย มันเป็นความรู้สึกทั้งตื่นเต้น กังวล พอใจ และกลัวในคราเดียวกันหมด
หัวใจมันก็เต้นแรงอยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเป็นปกติเสียที
หลังจากดูหนังจบเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม ฉันบอกให้พี่ไมเนอร์ว่าให้มาส่งที่ลานจอดรถหลังคณะซึ่งเวลานี้แทบไม่มีใครอยู่แล้ว แม้แต่พวกชมรมเชียร์ลีดเดอร์ที่ปกติจะซ้อมกันจนดึก
“ขอบคุณนะคะที่เลี้ยงข้าวกับเลี้ยงหนัง วันหลังรินจะไปเลี้ยงตอบนะ”
“พูดไว้แบบนี้สงสัยอีกนาน” พี่ไมเนอร์พูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“หลังจากประกวดเสร็จ เลี้ยงแน่นอนค่ะ” ฉันยิ้มตอบแล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบแปดนิ้วขึ้นมาถือไว้
“ขอมัดจำไว้ก่อน”
“คะ” ฉันเอ่ยออกมาสั้นๆ พลันหัวใจก็เต้นแรงและหนักหน่วงขึ้นอีกระลอกเมื่อรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
พี่ไมเนอร์ยิ้มร้ายกาจแล้วเขาก็จู่โจมเข้ามาจนฉันไม่ทันตั้งตัว จมูกโด่งเป็นสันนั้นแตะลงมาที่แก้มซ้ายอย่างจงใจเมื่อใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
หัวใจฉันหล่นวูบเพราะตกใจกับการกระทำของเขา เนื้อตัวแข็งทื่อขยับแทบไม่ได้ แต่เขายิ่งเพิ่มความวิตกกังวลให้ฉันอีกเรื่อยๆ
“อื้อ!”
ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเขาขยับใบหน้าออกแต่เป็นการถอยเพื่อฉวยโอกาสมากกว่านั้น ริมฝีปากหนาทาบทับลงมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของฉันแล้วค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวอย่างอ้อยอิ่ง
ฝ่ามือใหญ่ลูบอยู่ตรงช่วงเอวรั้งตัวฉันให้ขยับเข้าไปหา ขณะที่เรียวลิ้นสากพยายามจะแทรกขยับเข้ามาสำรวจความหวานภายใน
หัวใจฉันเต้นรัวกับการกระทำนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่คิดว่าเขาจะทำ วินาทีที่เกือบจะเคลิ้มจากนั้นความกลัวก็เข้ามาแทนที่ หัวใจที่เริ่มหวั่นไหวกลายเป็นสั่นระรัวด้วยความวิตกกังวล
ครืด~
ฉันผลักตัวเขาจนคนที่ไม่ทันได้ระวังเสียหลักไปด้านหลังจนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งกระแทกเข้ากับพวงมาลัย เพราะได้ยินเสียงสั่นเตือนจากเครื่องมือสื่อสารของใครสักคนดังขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ถึงกับหน้าเสียไปเลย
“...” ฉันเงียบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเพราะทำตัวไม่ถูก
พี่ไมเนอร์ถอนหายใจแรงแล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู บนหน้าจอมีชื่อของใครบางคนที่น่าจะเป็นผู้หญิงปรากฏอยู่ เขากดรับสายแล้วตอบปลายสายไปไม่กี่คำก็กดวางสายทันที
“ขอตัวก่อนนะคะ อื้อ! พี่ไมเนอร์!”
บอกตามตรงว่าเขากำลังทำให้ฉันตกใจ ตอนแรกยอมรับว่าหวั่นไหวกับจูบของเขาจนคิดอะไรไม่ออก ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ตอนนี้หัวใจของฉันกลับรู้สึกขุ่นมัวกับอะไรบางอย่างที่มันเพิ่งจะขยายวงกว้างอยู่ในโพรงอก
หรือเป็นเพราะสายของใครบางคนเมื่อกี้นี้
“…ขอโทษที” เขาเอ่ยเบาๆ
“รินไม่ใช่ของเล่นของใครค่ะ ถ้าไม่จริงจังอย่ามาทำแบบนี้ ขอตัว”
ฉันรีบเปิดประตูลงจากรถของเขาด้วยหัวใจที่เป็นรัว ไม่รู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากความกลัวหรือความอายกันแน่ แต่ที่รู้คือฉันคิดว่ามันไม่ควรเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกดี แต่เขากำลังทำให้ฉันกลัวเพราะคำพูดของใครหลายๆ คนที่ได้ยินมารวมถึงสิ่งที่เพิ่งเจอไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
ฉันเดินมาที่รถของตัวเองโดยที่ไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ที่รู้คือเขายังไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนรถออกไปเลย
ความกลัว ความสับสน ตีวนเวียนอยู่กลางศีรษะ
แบบนี้มันคงจบแล้วสินะ ต่อแต่นี้ไปเราคงไม่ได้มาคุยกันอีกแล้ว ฉันทำถูกแล้วใช่ไหมที่เลือกพูดออกไปแบบนั้น เขาเองก็คงไม่อยากคุยกับคนจริงจังอย่างฉันอีกแล้ว