ตอนที่ 0 บทนำ (2)
“เป็นยังไงบ้าง” น้ำค้างเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะมันต้องนั่งรอฉันอยู่ด้านนอก
“เย็นวาบ อย่ากับห้องมืด” ฉันพูดแล้วลูบแขนตัวเองเป็นการอธิบายความรู้สึกทั้งหมด
“ตื่นเต้นแทนแล้ว” ยัยน้ำค้างทำท่าทางลุ้น เมื่อพี่บ๊วยเดินออกมาพร้อมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ
“โอเคค่ะน้องๆ เนื่องจากปีนี้เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดเพราะทางมหาลัยแจ้งมาค่อนข้างช้า เลยไม่มีเวลาประกวดเพื่อคัดคนลงแข่ง แต่พวกพี่ก็มีความเห็นแบบเดียวกันว่าเลือกคนนี้ลงประกวด” พี่บ๊วยพูดอธิบายก่อนจะหันไปหาเพื่อนของตัวเองแล้วหันหน้ามาทางพวกเรา แล้วสายตาคู่นั้นก็หยุดอยู่ที่ฉัน เล่นเอาเสียวสันหลังวาบ “พี่ๆ เลือกน้องระรินนะคะ ขอบคุณน้องๆ ที่ให้ความร่วมมือกับพวกพี่มากๆ ค่ะ กลับไปทำกิจกรรมกันต่อได้เลย”
แค่พี่บ๊วยพูดไปแบบนั้นทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นพวกปีหนึ่งที่ถูกเรียกมาพร้อมกันนี้ บางคนก็ทำเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ จะมีก็แต่ยัยน้ำค้างนี่ล่ะที่หน้ายิ้มเหมือนเชียร์ฉันอยู่ข้างเวที
“สู้ๆ นะแกทำได้อยู่แล้ว แกเก่ง แกสวย” ยัยน้ำค้างให้กำลังใจ แต่บอกตามตรงมันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ฉันไม่เคยคิดที่จะทำอะไรแบบนี้ ชอบใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจหรืออยู่ในที่ที่ใครต่างก็จับจ้อง เพราะอย่างที่บอกกับพี่บ๊วยว่าฉันเป็นคนไม่มีความมั่นใจหลังจากที่ห่างเวทีมานาน
“ระรินต้องซ้อมคู่กับน้องกายนะ เวลาซ้อมก็จะซ้อมด้วยกัน เดี๋ยวพี่กับรุ่นพี่ปีสี่คนอื่นจะเป็นพี่เลี้ยงให้ ทำความรู้จักกันไว้เลยลูก”
หลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนคนอื่นไปทำกิจกรรมเชียร์เหมือนเดิมฉันก็ยังต้องอยู่ฟังพวกพี่ๆ ที่รับผิดชอบงานนี้เรียกคุยต่อ มีเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกคนอยู่ด้วย ชื่อ ‘กาย’ ซึ่งเป็นตัวแทนประกวดเดือนของคณะเราในปีนี้ พอจะรู้จักกันอยู่บ้างจากการทำกิจกรรมรับน้องที่ผ่านมา
“ตื่นเต้นเหรอระริน หน้าซีดเชียว” กายถามแล้วยิ้มแบบกลั้วขำไปด้วย
“อือ นิดหน่อย” จะบอกว่าตื่นเต้นก็ใช่ ลำบากใจก็ใช่
พี่ปีสามและปีสี่ชี้แจงวันเวลาที่จะต้องซ้อมเดิน ซ้อมการแสดงและกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมกับทางมหาวิยาลัยช่วงประกวดดาวเดือน รวมแล้วคงใช้เวลาประมาณเกือบสองเดือนได้ ตั้งแต่ช่วงซ้อม โปรโมทจนถึงวันประกวดจริง
หากชนะการประกวดก็จะมีเงินรางวัลสิทธิพิเศษต่างๆ จากผู้สนับสนุนและเป็นตัวแทนของมหาวิยาลัยไปทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งฉันคงไปไม่ถึงขั้นนั้นเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะดีเด่นอะไรมากกมาย
“ส่วนการแสดง ระรินอยากทำอะไรคะ การแสดงเขาจะให้ทำคู่กันเลย น้องกายเขาเคยเป็นนักร้องในวงของโรงเรียนพอดี ให้กายร้องรินเล่นเปียโนดีไหม หรือเราอยากทำอะไรที่ถนัด” รุ่นพี่สาวสองคนหนึ่งถาม นั่นทำให้ฉันคิดหนัก
“บ๊วย!”
“แม่มึงตาย! ตกใจหมด อะไรของมึงเนี่ยอิเนอร์!...”
ขณะที่สมองกำลังคิดคำตอบ ทุกอย่างก็ถูกหยุดชะงักลงเพราะเสียงของใครบางคนที่ตะโกนเรียกพี่บ๊วยจนทุกคนในห้องนี้หันไปมองเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ฉัน
ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะและขำกันไปกับคำด่าของพี่บ๊วยที่ตกใจเสียงและมือที่ยื่นมาจิ้มเอวจนคนคนนั้นเกือบโดนฝ่ามือหนาๆ ของพี่แกตบเข้าที่หน้าหล่อเหลานั่น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาคนนั่นดูดีมากๆ จนเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกดสายตาของฉันให้มองค้างจนไม่กล้ากะพริบตา กลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมามองอีกครั้งเขาจะหายไปจากตรงนี้
เขาเป็นใครกันทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้า
“เสร็จยังงานมึงอะ ทำของกูด้วย” รุ่นพี่คนนั้นถามพี่บ๊วยแล้วขยับไปนั่งลงข้างเพื่อนตัวเอง
“เออ รู้แล้ว โอนเงินให้กูด้วยอีเนอร์ ไม่ใช่เอาไปเลี้ยงสาวหมด”
“รู้แล้วครับคนสวย แค่ลืม”
หนุ่มรุ่นพี่พูดกับพี่บ๊วยพลางยกมือถือขึ้นมากด แล้วเหมือนเขาจะเพิ่งเห็นว่าฉันนั่งอยู่ด้วย พอเห็นว่าฉันมองอยู่เขาก็ส่งยิ้มมาให้ ยิ้มทั้งปากทั้งตา จนฉันต้องยิ้มตอบด้วยหัวใจที่สั่นระรัว
ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ฉันก็พูดได้เลยว่าเขาหล่อมาก หน้าตาดี หุ่นดีอย่างกับนายแบบ หัวใจมันวูบวาบเหมือนมีคลื่นอะไรบางอย่างพัดผ่านไปมา
“อย่ามามองเด็กกูแบบนั้นค่ะ โอนเงินมาแล้วรีบไป”
“มองก็ไม่ได้ ทำมาหวง”
“ไว้ใจไม่ได้หรอกมึงน่ะ”
พอพี่บ๊วยพุดจบรุ่นพี่คนนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปมองกายที่มองพี่เขาอยู่เหมือนกัน แล้วเขาก็หันกลับมามองฉันอีกรอบ สายตาที่เขามองมามันอธิบายไม่ถูกว่าหมายถึงอะไร แต่สายตาของเขามันฉายแววความขี้เล่นปนจริงจังอยู่ในนั้นจนชวนสับสน
“มึงคัดเองเหรอ” เขาหันไปถามพี่บ๊วยแล้วยิ้ม
“เออ ทำไม จะพูดอะไรไอ้เนอร์ กูตาดีค่ะ”
“ก็เห็นน่ารักดี” เขาพูดหน้าตาเฉย ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา มันมีเสน่ห์จนชวนให้ใจสั่น
“อย่าคิดอะไรเชียว”
“เบื่อว่ะกระเทย ห้ามเก่ง แต่ห้ามกูรักน้องเขาไม่ได้นะ” พุดจบเขาก็หยัดตัวลุกขึ้น “กูโอนไปแล้ว รีบทำงานให้ด้วยนะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เออ รู้แล้ว ทันแน่นอน”
“พี่ไปแล้วนะ”
“คะ...ค่ะ”
ประโยคหลังเขาหันมาทางฉันจึงต้องตอบกลับไปอย่างติดขัด รอยยิ้มของเขาทำเอาจังหวะการหายใจของฉันมันสะดุดไปหมด
พอเขากลับไปพี่บ๊วยก็คุยเรื่องงานต่อ พวกเราต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้รุ่นพี่ด้วยเพื่อที่พวกเขาจะได้ดูแลและเพื่อให้งานทุกอย่างออกมาดีที่สุด ขณะที่ฉันเองยังสับสนว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองต้องมาทำอะไรแบบนี้ ตั้งใจจะใช้ชีวิตปีหนึ่งแบบสบายๆ กินเที่ยว ทำกิจกรรมกับเพื่อนไปวันๆ เท่านั้น
“แกอย่าเครียด แกทำได้อยู่แล้วน่า”
หลังจากออกมาจากพวกพี่ๆ ฉันก็กลับมานั่งกลุ้มกับเพื่อนต่อเพราะหนักใจกับสิ่งที่ต้องทำให้ได้ แบกความคาดหวังของใครหลายๆ คนเอาไว้แบบนี้มันโคตรกดดันเลย
ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านนม ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เป็นร้านที่พวกเรามักจะมาแวะหลังจากทำกิจกรรมเลิกดึก ส่วนน้ำค้างมันจะไม่ค่อยได้มานั่งชิลกับพวกเรานักหรอกเพราะมันต้องทำงานกลางคืน แต่วันนี้โชคดีที่ไม่ตรงกับวันทำงาน
“ถ้าเป็นยัยค้างคงดีกว่า”
“แกนั่นแหละดีแล้ว ฉันจะเอาอะไรไปสู้” น้ำค้างว่าแล้วหัวเราะเบาๆ
“แกน่ารักไง”
“แกไม่น่ารัก ไม่สวยตรงไหนยัยระริน มีความมั่นใจหน่อยเพื่อน แกสวย ยิ้มก็สวย แค่ยิ้มกรรมการก็เทคะแนนให้แล้ว” ยัยจินเพื่อนสนิทอีกคนว่า
“ไม่อะ ไม่จริง แกอย่ามาพูด”
“แกนี่นะ ฉันอยากจะทุบกบาล” ยัยน้ำค้างส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไม่มั่นใจ ฉันกลัว”
“เดี๋ยวพวกพี่เขาก็สอน เดี๋ยวเขาก้พาออกงาน ใจกล้าๆ หน่อย ถ้าแกทำได้ฉันจะเลี้ยงข้าวแกเดือนหนึ่ง” ยัยจินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“สองเดือนได้ไหม ฉันจะได้มีแรงพยายาม”
“ยัยขี้งก”
ฉันหัวเราะไปกับพวกมัน พลางแอบสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด บอกตัวเองในใจว่าทำได้ ทำได้แน่ ในเมื่อทุกคนคาดหวังขนาดนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุดแล้วล่ะ
--------------