หรือพระพรหมจะลิขิต (60%)
“แหม…คุณนี่ชอบขัดคอจริง” ต่อว่าสามีอย่างไม่จริงจังนัก แล้วก็สวมกอดร่างบางของลูกสาว นางวาสนาทำเหมือนมณีญายังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ สำหรับนางแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ มณีญายังเป็นเด็กสำหรับแม่อย่างนางเสมอไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีก็ตาม
มณีญาไม่ได้มาเยี่ยมแม่สามวันแล้ว เธอติดธุระเรื่องทำหนังสือเดินทางที่หมดอายุพอดี ทำให้ผู้เป็นแม่อดที่จะคิดถึงลูกสาวไม่ได้ แม่ลูกคู่นี้ทำตัวติดกันเสียยิ่งกว่าตังเม เพราะมีลูกคนเดียวเมื่อนางวาสนาไปไหนมาไหนก็จะเอามณีญาไปด้วยเสมอ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอติดแม่พอๆ กับแม่ที่ติดเธอ จะมีห่างกันบ้างช่วงที่มณีญาไปทำงานที่ฝรั่งเศสสองปี แต่พอกลับมาอยู่บ้านมณีญากับแม่ก็ยังทำตัวติดกันเช่นในอดีต
ฟอด!!!
หอมแก้มใสของลูกสาวซ้ายขวาเหมือนเธอเป็นเด็ก ส่วนมณีญาก็ไม่น้อยหน้าหอมมารดาคืนอย่างทัดเทียมกัน ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าให้สองสาวต่างวัยที่ขยันแสดงความรักแก่กันไม่เคยขาด
“ชื่นใจจริง” นางวาสนากอดลูกสาวแน่น ยิ่งรู้ว่าลูกจะไปห่างอกในวันพรุ่งนี้นางยิ่งไม่อยากปล่อย ถ้าไม่จำเป็นนางจะไม่ให้มณีญาไปทำงานไกลบ้านอีกเด็ดขาด
“เห็นแม่หน้าตาแจ่มใสแบบนี้มณีค่อยเบาใจหน่อยค่ะ” มองหน้าแม่พลางพูดทั้งรอยยิ้ม ดูจากสีหน้าของคนป่วยอีกไม่นานก็คงจะได้ออกจากโรงพยาบาล
“นั่นน่ะสิ แม่ว่าแม่หายแล้วนะลูก แต่ไม่รู้ทำไมหมอถึงยังไม่อนุญาตให้กลับบ้านสักที” คนไม่ชอบโรงพยาบาลแต่ไหนแต่ไรทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วล่ะคะ แม่ใจเย็นก่อนนะคะ” ปลอบใจคนเป็นแม่เสียงหวาน มณีญารู้ดีว่าแม่เกลียดการนอนโรงพยาบาลไม่ต่างจากตนเท่าไร
“แม่ก็หวังว่าอย่างนั้นล่ะลูก นอนโรงพยาบาลเลยอดได้นอนกอดลูกสาวแม่ก่อนจากกันเลย เสียดายจริงๆ” ผู้เป็นมารดาว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า
“เอาไว้กลับมามณีจะให้แม่นอนกอดทุกคืนเลยดีไหมคะ” คำพูดของลูกสาวทำให้คนป่วยมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ดีลูกดี” คนป่วยพยักหน้าเบาๆ
“แล้วเราเก็บของหรือยังล่ะลูก” วาสนาถามไถ่ลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ปกติถ้านางอยู่บ้านนางจะเป็นคนเก็บของใส่กระเป๋าช่วยทุกครั้ง
“มณีเก็บตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะแม่” มณีญายิ้มหวานให้มารดา ก่อนจะบอกท่านเสียงหวานหยดตามแบบฉบับลูกสาวคนเดียวที่ชอบอ้อนแม่กับพ่อจนติดนิสัย
“เฮ้อ…พ่อไม่อยากให้มณีไปเลย” นายภาฤทธิ์ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกไม่สบายใจที่จะให้ลูกสาวเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นห่วงในความปลอดภัยของมณีญาเหลือเกิน
“แม่ก็เหมือนกัน อย่าไปเลยนะลูก หากพวกนั้นยังตามมารังควานอยู่ หนูก็ย้ายไปอยู่กับอาภาคชั่วคราวก็ได้นี่” พยายามที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดให้ลูก เพราะไม่อยากให้มณีญาไปอยู่ไกลหูไกลตา
“แต่หากมณีไม่ไป พ่อกับแม่ก็ต้องเดือดร้อนเพราะหนู ดูอย่างตอนนี้สิคะ แม่ต้องเข้าโรงพยาบาลก็เพราะหนู” มณีญายกเหตุผลขึ้นมาประกอบให้พ่อกับแม่ได้รับฟัง ใบหน้างามสลดลงเมื่อคิดว่ามารดาต้องมาเข้าโรงพยาบาลก็เพราะเธอแท้ๆ เพราะเธอนำเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านจนท่านต้องช็อก พลอยทำให้โรคที่เป็นอยู่ก่อนแล้วเกิดอาการกำเริบตามไปด้วย
“มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอก อย่าคิดมาก” นางวาสนาลูบหัวลูกสาวเบาๆ เอ่ยปลอบใจคนที่ทำหน้าเศร้าให้คลายกังวล
“ใช่ลูก พ่อว่ามันแปลกอยู่นะมณี ที่ลูกชายยากูซ่ามาตามรังควานเรา โดยบอกแค่ว่าอยากได้เราไปเป็นเจ้าสาว มันน่าจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่านั้น” นายภาฤทธิ์ตั้งข้อสังเกตอย่างมีเหตุผล คนฉลาดอย่างบิดาของเธอ ไม่คิดว่าลูกชายยากูซ่าจะมาจริงจังกับลูกสาวถึงขั้นว่าอยากจะแต่งงานอยู่กินด้วย
“อ้าว…พ่อจะบอกว่าลูกสาวตัวเองไม่สวยอย่างนั้นใช่ไหมคะ” มณีญาแสร้งทำเป็นโวยวายเสียงสูงให้พ่อ ใบหน้างามงอง้ำ
“ฮ่าๆๆ พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย มณีสวยในสายตาของพ่อกับแม่เสมอ ใช่ไหมคุณ” นายภาฤทธิ์หัวเราะลั่นกับท่าทางกระเง้ากระงอดของลูกสาว รีบเอ่ยแก้โดยหาแนวร่วมจากภรรยาคนสวย
“ใช่อยู่แล้ว ลูกสาวแม่สวยที่สุดในโลก” นางวาสนาทำท่าเห็นด้วยกับสามีเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องพูดเอาใจมณีหรอกค่ะ มณีรู้ว่าตัวเองเฉิ่มแค่ไหนแถมยังเชยอีกด้วย” มณีญาบอกกับบิดาและมารดาด้วยรอยยิ้ม เธอไม่เคยเก็บเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว สิ่งที่เธอสนมากที่สุดคือความรู้ในหัวสมองต่างหากล่ะ
“มณีสวยนะลูก สวยมากเลยล่ะ แต่ชอบใส่แว่นตาและเสื้อผ้าแบบคุณป้าปิดบังความสวยของตัวเอง” ผู้เป็นแม่พูดความจริงที่ประจักษ์มาโดยตลอด มณีญาสวยน่ารักสมวัย หากแต่ชอบปกปิดความงามของตนเอาไว้ภายใต้แว่นหนาเตอะและเสื้อผ้าเชยๆ
“พอแล้วค่ะแม่ เดี๋ยวมณีก็ลอยไปติดเพดานกันพอดี แล้วอาการของแม่เป็นยังไงบ้างคะวันนี้” มณีญาบอกแม่ด้วยท่าทางอายๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด หันมาถามไถ่ถึงอาการป่วยของมารดา
“ดีขึ้นแล้วล่ะลูก แม่อยากจะกลับบ้านเต็มทน” บอกลูกตามสภาพร่างกายและอาการของตัวเอง นางรู้สึกว่าตัวเองหายสนิทแล้วด้วยซ้ำ แต่หมอก็ยังให้นอนโรงพยาบาลอยู่
“ถ้ามณีไปอยู่ฝรั่งเศสแล้วพวกมันยังตามมารังควานอยู่ เราจะทำยังไงล่ะลูก” ถามลูกสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล หนักใจอยู่ไม่น้อยหากพวกนั้นไม่ยอมรามือง่ายๆ
“มณีก็อาจจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของสามียัยแก้มน่ะค่ะแม่” มณีญาตอบแม่ตามที่คิดไว้คร่าวๆ แต่นั่นจะเป็นวิธีสุดท้ายที่เธอจะทำ
“แม่เป็นห่วงเราเหลือเกินมณี” มารดาจับมือเธอไม่ปล่อย แววตาคู่นั้นมีแววห่วงใยและอาลัยอาวรณ์ในตัวลูกอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อก็เหมือนกัน ไปอยู่ที่โน่นลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะลูก” นายภาฤทธิ์ย้ำตามคำพูดของนางวาสนา กล่าวกับลูกด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไม่แพ้ผู้เป็นภรรยา
“ค่ะ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ มณีสามารถเอาตัวรอดได้” มณีญาพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน เพื่อให้ท่านทั้งสองสบายใจ
“ลูกไปอยู่ไกลตา ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยอย่างนี้ แม่กับพ่อจะนอนหลับได้ยังไง” นางวาสนาพูดเสียงเครือยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจและเป็นกังวล
“ไม่เอา ไม่พูดเรื่องเครียดดีกว่า แม่ดูสิคะว่ามณีเอาอะไรมาฝาก” มณีญารีบชวนพ่อกับแม่คุยเรื่องอื่นแทน พูดกันเรื่องนี้นานๆ ชักจะเครียด เดี๋ยวแม่ของเธอจะอาการกำเริบอีก
“อะไรล่ะลูก ไหนขอแม่ดูหน่อยซิ” คนป่วยทำท่ากระตือรือร้นไปกับคำพูดของลูกสาว จนผู้เป็นสามีต้องโคลงศรีษะแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ แม่ลูกพอกัน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ตลอด จนบางทีเขายังเผลอนึกว่าตัวเองมีลูกสาวสองคน ทั้งที่ภรรยาก็ล่วงเข้าวัยห้าสิบแล้ว
“นี่ไงคะ ของโปรดที่แม่อยากกิน” มณีญาชูกล่องยำผักบุ้งกรอบที่แพ็คมาอย่างดีให้มารดาดูด้วยรอยยิ้ม นางวาสนาก็ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน ของที่ลูกสาวนำมาฝากช่างถูกใจเหลือเกิน
“โอ๊ย…ยัยจอมแสบ พ่อก็นึกว่าอะไร ที่ไหนได้ยำผักบุ้งกรอบนี่เอง” เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ลูกสาวเอามาให้เมียตนคืออะไร ประมุขของบ้านก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะล้อเลียนลูกสาวด้วยท่าทางขบขัน จึงได้รับค้อนวงงามถึงสองวงจากสองสาวต่างวัยเป็นของสมนาคุณ
“อ้าว…พ่ออย่าว่าไป นี่ยำผักบุ้งกรอบฝีมือเชฟมณีญาเชียวนะคะ” คนโดนล้อไม่เคืองบิดาเลยสักนิด ซ้ำยังบอกอย่างภาคภูมิใจเสียเต็มประดา
“ห๊ะ! อย่าบอกนะว่าเราทำเอง” นายภาฤทธิ์อุทานเสียงดัง หรี่ตามองหน้าลูกสาว เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้สดับตรับฟัง
“แม่นแล้วเจ้าค่ะ” มณีญาน้อมรับด้วยรอยยิ้ม ท่าทางภูมิใจเต็มที่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอลงมือทำยำผักบุ้งกรอบด้วยตัวเอง
“แม่จะทานเลยไหมคะ มีของโปรดแม่อีกหลายอย่างด้วยนะ มณีให้แม่บ้านทำให้แต่เช้ามืดเลย” ถามมารดาพลางลำเลียงของที่อยู่ในตะกร้าออกมาวางบนโต๊ะ คนป่วยเห็นอาหารที่ลูกสาวเอามาก็เกิดน้ำลายไหล
“อืม…กินเลยก็ดีเหมือนกันลูก แม่กำลังอยากกินยำอยู่พอดี แต่หมอเขาห้ามกินอาหารรสจัดน่ะสิ” พยักหน้ารับคำลูก แต่ในตอนท้ายกลับทำเสียงอ่อยด้วยความกังวลใจ เพราะช่วงนี้หมอสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้กินอาหารรสจัดและอาหารมัน ซึ่งเมนูยั่วน้ำลายที่ลูกสาวภูมิใจนำเสนออยู่นี้ก็มีครบถ้วนตามที่หมอห้ามทุกประการ
“กินได้ค่ะแม่ มณีใส่เครื่องปรุงไปเบาๆ โดยเฉพาะน้ำมะนาวใส่ไปแค่กระจึ่งนึง” หญิงสาวขยิบตาให้คนบนเตียง คิดว่ายำผักบุ้งกรอบของเธอคงไม่ทำให้มารดาโดนหมอดุ
“จริงเหรอลูก” ถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง การกินอาหารรสชาติจืดชืดของโรงพยาบาลติดกันมาเกือบสองอาทิตย์ ทำให้คนป่วยคิดถึงอาหารที่บ้านเหลือเกิน
“จริงค่ะ งั้นทานเลยนะคะ” มณีญาเอ่ยย้ำให้มารดาได้ใจชื้น นางวาสนายิ้มกว้าง แล้วมองอาหารที่ลูกสาวกำลังแกะออกมาจากกล่องตาป็นมัน
“จ้ะ” พยักหน้าก่อนจะรับเจลล้างมือจากลูกสาวมากดทำความสะอาดมือตัวเอง ก่อนจะลงมือทานอาหารเช้าที่น่าจะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา
“เฮ้อ…พ่อว่าแล้ว แม่เขาต้องไม่ปฏิเสธ” คนพูดทำทีเป็นถอนหายใจออกมาเสียงดัง เหมือนปลงๆ ว่าถึงจะเอ่ยห้ามปรามยังไงภรรยาก็คงไม่ฟัง
“แหงล่ะ ลูกสาวสุดสวยอุตส่าห์ทำยำผักบุ้งกรอบมาให้เป็นครั้งแรก ใครจะไปอดใจไหว จริงไหมคะแม่” คนที่โต้ตอบคือมณีญา แล้วหันไปขอความคิดเห็นจากคนป่วยอีกแรง
“ใช่จ้ะลูก” นางวาสนาย่นจมูกใส่คนช่างเหน็บ แต่ก็ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของสามีสุดที่รัก