บทที่ 47.2 ข่าวใหญ่
เว่ยซือหลางในวัย 20 ปีมีความสุขุมมากกว่าน้องชายส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็จับมือเว่ยซือเหลียงออกจากหัวของน้องสาว “อย่าแกล้งน้อง”
“โธ่พี่ใหญ่ ข้าแค่แกล้งน้องนิด ๆ หน่อย ๆ เอง”
“ไม่ได้ อย่าแกล้งน้อง” เว่ยซือเหลียงทำหน้าขัดใจเพราะไม่อาจขัดคำพูดพี่ใหญ่ได้
“สมน้ำหน้า แบร่” เว่ยซือหงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายคนรอง เล่นเอาเว่ยซือเหลียงทั้งฉุนทั้งขำ
“พี่ใหญ่ท่านดูนางสิ”
“น้องเล็ก เดี๋ยวเถอะ”
เว่ยซือหงเปล่งเสียงหัวเราะที่แกล้งทั้งพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองได้ แต่พอถูกสายตาเรียบนิ่งของพี่ชายทั้งสองมองมาเจ้าตัวจึงค่อย ๆ เงียบลง “ขออภัยเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้าเถอะสบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ พวกท่านเล่าเจ้าคะ”
“พวกพี่สบายดี”
สามพี่น้องตระกูลเว่ยผลัดกันถามสารทุกข์สุกดิบก่อนผลัดกันเล่าเรื่องราว ถึงจะเขียนจดหมายเล่าให้กันฟังทุกเดือนอยู่แล้วก็เถอะ ทว่าเมื่อเจอหน้ากันทั้งเรื่องใหม่เรื่องเก่าล้วนถูกเล่าปะปนกันไปอยู่ดี เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว
“ว่าแต่ครั้งนี้พวกท่านจะอยู่ที่จวนนานหรือไม่เจ้าคะ”
“ทำไม เจ้าอยากให้พวกพี่กลับไปแล้วหรือ” เว่ยซือเหลียงกวนน้องสาว จนเว่ยซือหงมุ่ยหน้า
“ใช่ที่ไหนเล่าเจ้าคะ ข้าก็แค่อยากรู้เท่านั้น รอบก่อนพวกท่านบอกว่าจะอยู่ที่จวนสองเดือน สุดท้ายเป็นเช่นไร แค่อาทิตย์เดียวก็กลับสำนักศึกษาไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำภารกิจด่วนหรือรีบกลับไปหาสตรีกันแน่” ไม่พูดก็แล้วไปเถิด พอพูดขึ้นมาทำให้นางรู้สึกงอนพวกพี่ชายจริง ๆ แล้วนะ
“ข้าไม่เกี่ยวนะ” เว่ยซือหลางที่ได้รับสายตาขอความช่วยเหลือจากน้องชายรีบส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องทันที
เว่ยซือเหลียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ลอบมองสีหน้าน้องสาวดูแล้วเหมือนจะงอนจริง “พี่ใหญ่ไม่ช่วยกันหน่อยหรือขอรับ”
“ไม่ เจ้าแกล้งน้องเล็กเองก็ง้อเอง”
“น้องเล็ก น้องเล็กคนดีของพี่รอง พี่รองขอโทษ พี่รองไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ”
“เชอะ” เว่ยซือหงหันหน้าหนีแต่มุมปากกลับกระตุกยิ้มน้อย ๆ เว่ยซือหลางเห็นแล้วยกมือป้องปากกลัวจะหลุดหัวเราะแล้วโดนงอนไปด้วยอีกคน
“น้องเล็ก พี่รองผิดไปแล้ว ครั้งก่อนพี่รองไปทำภารกิจด่วนจริง ๆ ไม่ได้ไปหาสตรีที่ไหน หัวใจของพี่รองมีเพียงครอบครัวของเราเท่านั้น แค่เอาใจท่านย่า ท่านแม่ และเจ้า พี่รองก็ไม่มีเวลาไปมองใครแล้ว ให้อภัยพี่รองเถอะนะ ดีกันนะน้องเล็ก นะ” คิดภาพผู้ชายตัวโตงอนง้อน้องสาวด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยดูสิ ภาพที่ออกมาน่าดูชมไม่เบาเลยนะ
“จริงหรือเจ้าคะ” เว่ยซือหงถามอย่างมีชั้นเชิง
“จริงสิ พี่รองไม่โกหก ดีกันนะน้องเล็ก” เว่ยซือหงไม่ได้เล่นตัวนานนัก นางหันหน้าเผชิญกับพี่ชายพลางว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ อาหงไม่งอนแล้วก็ได้”
“น้องเล็กดีที่สุด”
“สรุปแล้วคราวนี้ได้อยู่จวนนานหรือไม่เจ้าคะ”
“พวกพี่ลามาหนึ่งเดือน แต่ไม่รู้จะได้อยู่จวนหรือไม่” เว่ยซือหลางเป็นคนตอบพร้อมสีหน้าครุ่นคิด เว่ยซือหงรู้สึกแปลกใจถามกลับไปทันที
“เหตุใดเล่าเจ้าคะ”
“นี่เจ้ายังไม่รู้” เว่ยซือเหลียงเอ่ยถามน้องสาวด้วยสีหน้าประหลาด เว่ยซือหงงงหนัก ยังมีเรื่องอะไรที่นางพลาดไปกระนั้นหรือ
“มันเรื่องอันใดกันแน่เจ้าคะพี่ใหญ่พี่รอง”
พี่ชายทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ก่อนค่อย ๆ เล่าให้น้องสาวฟังอย่างละเอียด
“พวกท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ! พวกท่านบอกว่าดินแดนลับกำลังจะเปิดออก ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะเปิดในแคว้นโจวของเรา”
“ใช่”
“ข่าวใหญ่ขนาดนี้ทำไมอาหงไม่รู้เล่าเจ้าคะ ดินแดนลับกำลังจะเปิดออกเชียวนะ” เจ้าตัวโวยวายเล็กน้อยก่อนค่อยสงบลง
“คงเป็นเพราะช่วงนี้อาหงถูกท่านย่าเคี่ยวกรำเรื่องศาสตร์ทั้งสี่รวมถึงจารีตประเพณีของสตรีชั้นสูงจนไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอกแน่เลยเจ้าค่ะ”
“...”
“มิน่าละ สองสามวันก่อนท่านปู่กับท่านพ่อถึงได้มีสีหนาเคร่งเครียดกว่าปกตินัก”
“...”
“เฮ้อ เช่นนั้นอาหงก็เข้าใจแล้วเจ้าค่ะว่าเหตุใดพวกท่านจึงไม่แน่ใจว่าจะได้อยู่ที่จวนหรือไม่ คงเพราะพวกท่านจะเข้าร่วมดินแดนลับสินะเจ้าคะ”
“เป็นเช่นนั้น”
เว่ยซือหงเงียบไป นางเข้าสู่ภวังค์ความคิด หากนี่เป็นข่าวจริง ซึ่งนางเชื่อว่าจริงแน่ ไม่เช่นนั้นพี่ชายทั้งสองคงไม่พูดออกมา ข่าวใหญ่มากเช่นนี้ ด้านนอกคงจะวุ่นวายไม่น้อย
ความคิดของเว่ยซือหงถูกต้อง ภายนอกจวนตระกูลเว่ยนั้นล้วนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ ทันทีที่สมาคมอักขระออกมาประกาศว่าดินแดนลับในครั้งนี้จะเปิดที่ดินแดนเบื้องล่าง ทั้งยังเป็นแคว้นโจว ผู้คนมากมายก็เร่งเข้ามาในแคว้นต่างจับจองห้องพัก เพราะถ้าช้าเกินไปอาจได้นอนค้างแรมในป่าได้ ถึงกระนั้นยามนี้โรงเตี๊ยมทุกที่ในแคว้นโจวก็เต็มหมดแล้วเช่นกัน
เมืองหลวงที่เว่ยซือหงอยู่ล้วนมีแต่คนมากอำนาจเดินสวนกันทุกชั่วขณะ จะคิดจะพูดสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะเหตุนี้เองท่านปู่และบิดาของนางถึงได้ค่อนข้างเครียด ด้วยเกรงว่าจะไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่เว่ยซือหงถูกกักตัวไว้ในจวนด้วยข้ออ้างของผู้เป็นย่าเพื่อร่ำเรียนศาสตร์ของสตรีชั้นสูงนั่นเอง
“พี่ใหญ่พี่รองพอจะรู้หรือไม่เจ้าคะ ว่าดินแดนลับครั้งนี้เป็นดินแดนแบบไหน”
เว่ยซือหลางมองน้องสาวที่ดวงตาใสแจ๋วสะท้อนความอยากรู้เต็มแก่พลันยกยิ้มแล้วพยักหน้า “เท่าที่พวกพี่ทราบ สมาคมอักขระบอกว่าเป็นมิติร่วมนภานะ”
“มิติร่วมนภา? นี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่กว่าเดิมหรือเจ้าคะ!” เจ้าตัวถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ เพราะนานแล้วที่มิติร่วมนภาไม่ได้เปิดออก ร่วมร้อยปีหรือห้าร้อยปีแล้วกระมัง
“ใช่ เพราะเป็นมิติร่วมนภา ผู้คนถึงได้พากันตื่นเต้นและมารวมตัวกันอย่างมากมาย”
“ต้องอันตรายแน่เลยเจ้าค่ะ”
“อันตรายอย่างไรก็สมควรเสี่ยง จะเป็นหมูหรือมังกร ก็วัดกันหลังออกมาจากมิติร่วมนภานี้แล้ว” เว่ยซือเหลียงตอบบ้าง
เว่ยซือหงนิ่งคิด ดินแดนลับแต่ละดินแดนมีความพิเศษต่างกัน อย่างมิติร่วมนภา ถือเป็นดินแดนลับที่ใหญ่และมีปริศนามากที่สุด ขณะเดียวกันภายในนั้นก็เต็มไปด้วยโชคและวาสนา หากสามารถไขว่คว้ามาได้ถือได้ว่าคนผู้นั้นปีนป่ายสู่สวรรค์ไปแล้วครึ่งก้าว
สถานที่ที่เปลี่ยนจากงูดินเป็นมังกรได้ คิดเอาเถิดว่ามันวิเศษแค่ไหน
จู่ ๆ ความคะนึงหาพลันพุ่งเข้าจู่โจมจิตใจของเว่ยซือหง พร้อมทั้งความรู้สึกเรียกร้องของจิตวิญญาณ แม้จะไม่เข้าใจแต่กลับรู้ได้ว่า นางควรเข้าไปในมิติร่วมนภา ดินแดนลับที่ยากจะเปิดออกนี้แน่นอน
ทว่าหากนางเข้าร่วมด้วย ครอบครัวจะยินยอมหรือเปล่านะ?