บทที่ 2
“พ่อเลี้ยงครับ พ่อเลี้ยง” บุญสมคนงานในไร่เทียมฟ้าร้องตะโกนเรียกเจ้าของไร่เสียงดังลั่น ทำให้คนที่ถูกเรียกเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กที่เขาปลูกไว้ตอนที่ขึ้นมาทำงานบนดอย
“มีอะไรพี่สม เรียกซะเสียงดัง” คิมหันต์สวมหมวกปีกกว้างคล้ายกับหมวกคาวบอย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทุกคนที่นี่เห็นจนชินตา เอ่ยถามบุญสมระดับน้ำเสียงกลางๆ
“ปิ่นมันทำเมล็ดกาแฟที่เราจะส่งให้ลูกค้าเปียกน้ำหมดเลยครับพ่อเลี้ยง” สิ้นเสียงของบุญสม คิมหันต์สบถออกมาทันที
“อะไรนักหนาวะ ตัวซวยชะมัดเลย เมื่อไหร่จะไปให้พ้นๆ ไร่ของฉันเสียที ฆ่าหมกป่าซะดีมั้ยเนี่ย” คิมหันต์กล่าวอย่างฉุนเฉียว เขายอมรับว่าเกลียดผู้หญิงที่ชื่อปิ่นปักเข้าไส้ตั้งแต่แรกเห็น วันนั้นเขาไม่น่าช่วยชีวิตเธอเอาไว้เลย เพราะคำว่ามนุษยธรรมแท้ๆ ทำให้เขาต้องทนเลี้ยงดูเด็กเมื่อวานซืนด้วยความจำใจ
เท้ายาวๆ เดินอาดมาที่โรงเก็บเมล็ดพันธุ์ วินาทีแรกที่เขาเดินเข้ามาเห็นสภาพของเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีที่กระจายอยู่ตามพื้น บางส่วนเปื้อนน้ำจนใช้การไม่ได้ คนที่เป็นต้นเหตุยืนก้มหน้านิ่ง หลบสายตาของคิมหันต์ที่มองมาด้วยความเกลียดแสนเกลียด
“ปะ ปิ่นขอโทษคุณคิมด้วยนะคะ” ปิ่นปักก้มใบหน้ามองพื้นเอ่ยวาจาขอโทษ
“แม่ตัวซวย ตั้งแต่ฉันช่วยเธอมาเมื่อสี่ปีก่อน เธอทำอะไรตอบแทนฉันบ้างมีแต่ทำลาย เธอเป็นต้นเหตุให้น้าของฉันตาย เท่านั้นยังไม่พอยังทำม้าฉันตายไปสองตัว ทำข้าวของเสียหายไปตั้งเท่าไหร่ นี่ยังจะมาทำเมล็ดพันธุ์กาแฟของฉันเสียหายป่นปี้อีก เธอรู้มั้ยว่าทั้งหมดนี่ฉันต้องเสียหายกี่แสน เธอเคยรู้บ้างมั้ย หรือรู้เพียงว่าวันนี้จะทำอะไรให้ฉันฉิบหายดี ห๊า” เสียงของเขานั้นไม่เบาเลย ดังลั่นจนคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นสะดุ้งเป็นแถว มีหรือที่ร่างน้อยของปิ่นปักจะไม่กลัว เธอกลัว กลัวเขามากที่สุด
“ปะ ปิ่นขอโทษค่ะ” เธอพูดได้เพียงเท่านั้นจริงๆ
“ไปเลยนะ เก็บข้าวของแล้วออกไปจากไร่ของฉันได้แล้ว ตัวซวยอย่างเธอฉันไม่ต้องการ ไร้ค่า ไป ” คิมหันต์ระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่ ทั้งน้ำเสียงสีหน้าและแววตา เขาเกลียดปิ่นปักสุดชีวิต เพราะวันที่เจอหญิงสาวตรงหน้า คือวันที่เขาต้องสูญเสียน้าสาวอันเป็นที่รักไป เนื่องจากมีเธอเป็นต้นเหตุ
“คุณคิม ปิ่นขอโทษ ปิ่นขอโทษ อย่าไล่ปิ่นไปเลยนะคะ ปิ่นไม่มีใคร ไม่รู้จะไปที่ไหน อย่าไล่ปิ่นเลยนะคะ” เธอขอร้อง อ้อนวอนทั้งน้ำตา ทรุดกายลงนั่งคุกเข่า พนมมือไหว้เขาอย่างน่าสงสาร
“ไป ออกไป ฉันน่าจะไล่เธอไปตั้งแต่วันที่เธอฟื้นขึ้นมาแล้ว นังฆาตกร” นี่เองทำให้เธอถึงกับผงะ ไม่ใช่เธอไม่ได้เป็นฆาตกร เธอไม่ใช่ เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่ได้ตั้งใจ
“คุณคิม ได้โปรดเถอะคะ อย่าไล่ปิ่นเลยนะคะ” เธอยังขอร้องเขาไม่หยุด
“อิ้ง อิ้ง อยูไหนวะ อิ้ง” เขาตะโกนเรียกอิ้งคนงานในไร่ที่คิดว่าอยู่แถวนี้ เสียงดังราวกับโทรโข่ง ทำให้เจ้าของชื่อรีบวิ่งร้อยเมตรมาหาพ่อเลี้ยงหนุ่มทันที
“มีอะไรให้อิ้งรับใช้คะพ่อเลี้ยง” อิ้งถามเสียงเหนื่อยหอบ
“ไปเก็บเสื้อผ้าของตัวซวยให้หมด แล้วจัดการโยนออกไปจากไร่ฉันเดี๋ยวนี้” อิ้งหญิงสาวร่างใหญ่คล้ายหมีควาย ฉุดกระชากร่างของปิ่นปัก หญิงสาวที่เธอเองก็ไม่ชอบหน้าเช่นเดียวกัน กระชากอย่างไม่กลัวหญิงร่างเล็กจะเจ็บ อิ้งทำตามคำสั่งของเจ้านายทุกอย่าง เก็บเสื้อผ้าของปิ่นปักยัดใส่กระเป๋า ก่อนจะลากร่างน้อยไปที่หน้าไร่
“ไสหัวไปได้แล้ว รู้เอาไว้ซะด้วยนะ ทั้งเจ้าของไร่ ทั้งคนงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดง ไม่มีใครเค้าต้องการให้เธออยู่ที่นี่สักคน เพราะเธอมันเป็นตัวซวย พอมาถึงคุณอุไรก็ตายทันที ตัวซวย ไปนังตัวซวย” น้ำตาไหลพรากกับคำพูดที่เจ็บแสบ ทิ่มแทงลงไปในหัวใจของเธอจนฉีกขาด ม่านตาที่พร่าพรายด้วยหยาดน้ำตา มองร่างของอิ้งที่เดินกลับเข้าไปในไร่ ทุกคนเดินจากเธอไปหมด ความอ้างว้างและโดดเดี่ยว เกาะกินใจหญิงสาวอีกครั้ง
เท้าเล็กๆ เดินลงตามความลาดชัน ระยะทางจากไร่เทียมฟ้า ที่อยู่บนดอยสูงเหนือระดับน้ำทะเลเกือบสองพันห้าร้อยฟุต กว่าจะมาถึงถนนสายหลักต้องใช้ระยะเวลาเดินเท้านานพอสมควร ปิ่นปักกอดกระเป๋าไว้แน่น น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย เท้าที่ย่ำเดินเริ่มเจ็บ ความมืดโรยตัวปกคลุม แสงสว่างบนท้องฟ้าตอนนี้มีแต่เมฆสีดำที่กระจายเต็มไปทั่ว แรงลมที่มีกำลังแรงพัดพาฝุ่น เศษใบไม้ปลิวว่อน ไม่นานฝนเม็ดใหญ่ตกลงมากระทบกับผิวหนังของเธอ
แสงไฟจากรถเครื่องสองคันส่องกระทบกับดวงหน้างาม เธอจำต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ นึกดีใจที่มีคนผ่านมา เพราะเธอต้องการความช่วยเหลือพอดี
“จะไปไหนจ๊ะน้องสาว ให้พี่ไปส่งดีมั้ยเอ่ย” ชายหนุ่มทั้งสี่ก้าวลงมาจากรถเครื่อง สายตาของพวกมันทำให้ใจของปิ่นปักหวาดกลัว คิดผิดที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเหล่านี้ หญิงสาวกอดกระเป๋าแน่น ถอยหลังเดินไปสองสามก้าว ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีสุดชีวิต
“อย่าหนีเลยน้องสาว จะไปที่ไหนพี่จะไปส่ง แต่น้องต้องส่งพี่ขึ้นสวรรค์ก่อนนะจ๊ะ” ชายคนหน้าตาเหี้ยมที่สุดเป็นคนบอก ก่อนจะวิ่งตามร่างเล็กที่วิ่งไม่คิดชีวิต ความคิดเดียวที่ปิ่นปักคิดออกคือ หนี