4
Chapter 4
จิรดาเสียอีกได้แต่ยืนมองไม่กล้าขึ้นไปบนเตียง เนื่องจากมีร่างสูงของวิชญ์เกลือกกลิ้งอยู่ด้วย เพราะดูไม่เหมาะไม่ควร
โอ้... อนาคตพ่อของลูก รักเด็ก เอาใจใส่ แฟมิลี่แมน ถ้าให้ดีต้องซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าวให้เรากินด้วย กรี๊ด!!! ยัยจิ๊ แกท่าจะบ้าอีกแล้ว
จิรดาสะบัดศีรษะไปมา เรียกสติกลับคืนมาเมื่อเริ่มฟุ้งซ่านอย่างไม่น่าให้อภัย
ถ้าเธอแต่งงานต้องเป็นเจ้าหญิงสิ มีคนรับใช้และเธอก็ต้องเป็นคนใช้ หุหุ...
“พี่จิ๊มานอนเล่นกันค่ะ” เสียงใสๆ ของเด็กน้อยทำให้จิรดาหลุดจากภวังค์ความคิดอันยุ่งเหยิงของตัวเอง
“ค่ะ เฮ้ย! ไม่ได้ค่ะ” ทำท่าจะกระโจนลงไปนอนด้วย ยังกับตัวเองเป็นแม่ของลูก แต่พอได้สติก็หน้าแดงรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ..พ่อของลูกในอนาคตยังไม่ชวนเธอจะกล้ากระโจนเข้าไปได้ยังไง เสียศักดิ์ศรีแย่
“ทำไมล่ะคะ” เด็กน้อยถามอย่างสงสัย
“มันไม่เหมาะค่ะหนูวิ คุณพ่อของหนูวิอยู่ด้วย” เธอพูดตรงๆ ไม่กล้าสบตาวิชญ์ คิดต่อว่าตัวเองในใจ
..ทำไมต้องหลบหน้า ทำไมต้องใจสั่น ทำไมต้องแก้มร้อนผ่าวๆ ด้วยนะ
“อาแค่เข้ามาดูลูกน่ะ ไม่รบกวนจิ๊นานหรอก”
“ตามสบายค่ะอาวิชญ์” จิรดายังยืนอยู่ข้างเตียง บิดไปบิดมา มองดูสองพ่อลูกหยอกล้อกัน ไม่เข้าไปแทรกแซง
“นั่งลงสิจิ๊ จะยืนทำไม ค้ำหัวผู้ใหญ่” จิรดาใบหน้าเหลอหลาเมื่อโดนว่าเข้าแบบนั้น ก็เขามาเกลือกลิ้งอยู่บนเตียงของเธอ เธอเลยลุกตามมารยาท จะให้ลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับเขาบนเตียงด้วยหรือไง หรืออยาก!!!
“พี่จิ๊คะ นั่งตรงนี้ค่า ยืนนานๆ แล้วจะเมื่อยค่ะ” เด็กน้อยตบมือลงข้างเตียง
อารมณ์ที่ลอยละลิ่วไปไกลกลับมาอีกครั้ง จิรดายิ้มอ่อนโยนให้เด็กน้อย แต่พอเห็นคนเป็นพ่อเด็กก็ก้มหน้างุด ทรุดลงไปนั่งข้างๆ เตียงอย่างสงบเสงี่ยม
“หนูวิกวนพี่จิ๊หรือเปล่าลูก” วิชญ์เอ่ยถามบุตรสาวตัวน้อย เขากดร่างเล็กลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่กวนเลยค่ะคุณพ่อ จริงไหมคะพี่จิ๊” เด็กน้อยหันไปขอเสียงสนับสนุนจากจิรดา
“ค่ะ หนูวิน่ารักมาก” เธอยิ้มอ่อนโยนและพูดจากใจจริง ไม่เคยนึกรำคาญวิชุตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“รักหนูวิแล้ว... รักพ่อหนูวิหรือเปล่าครับจิ๊” ประโยคหลังวิชญ์ยื่นหน้าไปกระซิบที่ริมหูเล็กๆ
จิรดาตาโต อ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เขาก็หันไปสนใจพูดคุยกับลูกสาวตัวน้อยแทน ..ผู้ชายร้ายกาจ มาทำให้เธอหัวใจเต้นแรงแล้วก็ทำเป็นเมิน ชิ!
จิรดาสะบัดค้อนให้เพื่อนบิดาเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งแรกด้วยที่เธอรู้สึกหวั่นไหวต่อเขาแบบนี้ ในเมื่อต่อหน้าทุกๆ คน เขาเย็นชา ชอบทำหน้าเฉยๆ ไม่ก็เมินเธอ ..แล้วตอนนี้เกิดอะไรเข้าสิงถึงได้มาพูดกับเธอแบบนี้กันนะ
แล้วทำไมหัวใจของเธอถึงได้เต้นแรงเป็นบ้า เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกัน เธอไม่เคยให้ความรู้สึกอื่นกับเขานอกจากความเคารพนับถือ แล้วทำไมแค่เขามองสบตา หอมแก้ม ลมหายใจที่ร้อนผ่าวแนบชิด เธอถึงได้ใจสั่นถึงเพียงนี้
..โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย ยัยจิ๊ หล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“เอ่อ...” จิรดาอึกอัก แต่เป็นเพราะเขากระซิบเสียงเบา วิชุตาเลยไม่ทันได้สนใจ สาวน้อยนึกค่อนขอดในใจ
..คนอะไรต่อหน้าลูกเต้าก็ไม่เว้น อยากจะด่าเขาว่าเป็นหัวงู แต่มันไม่เหมาะกับเขาสักนิด
หัวงูมันต้องแก่ มีเมียแล้ว แต่เขายังไม่แก่ เมียก็ไม่มี เรียกหัวงูไม่ได้สิ...
“นอนเถอะครับหนูวิ พ่อไม่กวนแล้ว แค่คิดถึง จะมาราตรีสวัสดิ์หนูก่อนนอนเท่านั้น” วิชญ์หอมแก้มยุ้ยๆ ของบุตรสาว ก่อนจะห่มผ้าให้จนถึงคอ เมื่อวิชญ์ลุกขึ้น จิรดาเลยจำต้องเดินไปส่งเข้าหน้าห้องเพื่อปิดประตูล็อกห้องตามเดิม เขาหยุดยืนมองเธออยู่หน้าห้อง สาวน้อยก้มหน้างุดด้วยใบหน้าแดงจัดร้อนผ่าว
“จิ๊ครับ”
“คะ อาวิชญ์”
“ฝันดีนะ”
“อุ๊ย!” จิรดาร้องอุทาน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเลยโดนขโมยหอมแก้มไปอีกจุ๊บหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นเขาก็เดินหนีกลับห้องพักรับรองแขกไปแล้ว เธอเลยได้แต่ลูบแก้มไปมาด้วยความอาย
“คนฉวยโอกาส” เธอย่นจมูกตามหลังเขาไป ปิดประตูหันกลับมาที่เตียงก็หน้าแดงจัดทันที
“พี่จิ๊ หนูไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะคะ” จิรดาอายแทบจะมุดเตียงเมื่อเด็กน้อยแอบมองเธออยู่ วิชุตารีบกระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าหัวเราะคิกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ทำเป็นนอนหลับปุ๋ยทันที
อ๊าย... ร้ายกาจทั้งพ่อทั้งลูก แล้วนี่ถ้าเธอไปฝึกงานต้องย้ายไปอยู่กับสองพ่อลูกนี่ ไม่เละเหรอนี่!!!
จิรดาเดินตัวอ่อนไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เด็กน้อยก็เข้ามากอดซุกซบยังกะเธอเป็นแม่นมแน่ะ ดูทำเข้า...
สองหนุ่มสาวไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่แอบมองอยู่ตั้งแต่ในสวนดอกไม้แล้ว กีรติกับนิดาปิดประตูแล้วพากันจูงมานอนที่เตียง ก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ไม่กังวลว่าใครจะมาได้ยิน เพราะห้องเก็บเสียงเป็นอย่างดี
“หัวเราะอะไรครับนิ” กีรติเอ่ยถามภรรยา กักกอดร่างบางของเธอเอาไว้อย่างแสนรักใคร่
“แน้... มาถามนิอีก แล้วกีล่ะคะ หัวเราะอะไร” เธอมองสบตาสามีด้วยแววสั่นระริก ก่อนจะประกบหน้าผากเข้าหาเขาแล้วระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง จนลั่นห้อง
“ขำนายวิชญ์!” คุณพ่อคุณแม่ลูกสามพูดพร้อมกัน ก่อนจะหัวเราะอีกรอบ
สามีคู่ทุกข์คู่ยากแค่มองตาก็รู้ใจเพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาจะเรียกว่าเกิดมาก็รู้จักกันเลย เพราะบิดามารดาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก
“นิว่าแล้วไง วิชญ์น่ะเก็บอาการเก่ง แต่ไม่รอดสายตานิไปได้หรอก” นิดาพูดแล้วยิ้มขำเพื่อนรักที่เติบโตมาด้วยกัน วิชญ์ในสายตาของกีรติและนิดาคือเพื่อนที่ดีที่สุด
“กีเป็นห่วงลูกยังไงไม่รู้” ในสายตาพ่อคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวนั้น ย่อมห่วงเป็นธรรมดา
“นิก็ห่วงลูกค่ะ แต่ลูกโตแล้ว จิ๊ย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง เราเลี้ยงลูกมายังไงกีก็น่าจะรู้ดี” เพราะเลี้ยงลูกมาอย่างมีเหตุมีผลและหัดให้คิดอยู่เสมอๆ ไม่ใช่ทำอะไรตามอำเภอใจ หรือทำอะไรไม่รู้จักไตร่ตรอง ทั้งสองเลี้ยงลูกอิสระ ให้ลูกได้ทำตามความฝัน ความต้องการได้เต็มที่ แต่อยู่ในขอบข่ายที่เหมาะที่ควร
“นิว่าไอ้วิชญ์เป็นไงบ้าง”
“ในสายตากีก็เหมือนสายตานินั่นแหละค่ะ นิรู้ดีว่ากีมีคำตอบอยู่แล้ว”
“แต่กีห่วง” เป็นธรรมดาของผู้ชายที่หวงลูกสาว แถมยังเป็นลูกสาวคนโตที่เกิดมาด้วยความรักในช่วงวัยรุ่นและเพราะจิรดานี่แหละ ถึงทำให้เขาและนิดาได้แต่งงานกันในที่สุด
“นิรู้ นิเองก็ห่วง แต่ลูกสาวเราทั้งคน มันต้องมีบทพิสูจน์กันหน่อย จะให้เขมือบง่ายๆ ได้ยังไงกัน” นิดาหัวเราะคิก
“แต่ยัยจิ๊ต้องไปฝึกงานที่ภูเก็ต ไปอยู่ในความดูแลนายวิชญ์มันนี่นา อ้อยเข้าปากช้าง” กีรติพูดอย่างหวงบุตรสาว
“กีคะ ลูกน่ะเราเลี้ยงได้แต่ตัวนะคะ ใจเป็นของเค้า กีก็น่าจะรู้นิสัยยัยจิ๊ดี ถ้าไม่... แกก็ค้านหัวชนฝาละ ไม่มีใครบังคับใจลูกเราได้”
“ไม่บังคับแน่นอน กีรู้ แต่นายวิชญ์มันอาจจะมาเหนือเมฆทำให้ลูกเราหลงรัก”
“คิกๆ” นิดาหัวเราะในคำพูดของสามีจอมหวงลูกสาว
“หัวเราะอะไร” กีรติเลิกคิ้วมองภรรยา
นิดากอดแขนล่ำของสามี ก่อนจะซบหน้าที่ไหล่อันอบอุ่นของเขา
“กีน่ะหวงยัยจิ๊จนออกนอกหน้าเลยนะคะ”
“อ้าวก็ลูกกีทั้งคน”
“ลูกนิด้วยนะ นิว่าเรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อไป”
“นายวิชญ์มองยัยจิ๊ตาฉ่ำเชียว แล้วที่แกล้งพาหนูวิมาฝากเลี้ยง ก็เพราะมีแผนการ” กีรติรู้ทันเพื่อนทุกอย่างแต่ไม่พูดออกมา