CHAPTER. 7
ช่วงบ่ายของวัน ทุกคนพากันตามไปดูอาการของอาม่าที่โรงพยาบาลเอกชัยภักดี โรงพยาบาลที่ครอบครัวเจ้าสัวเป็นเจ้าของอยู่ หมอบอกว่าเป็นโรคคนแก่ ความดันโลหิตต่ำ เพราะช่วงนี้อาม่านอนดึกและมีอาการเบื่ออาหารเลยทำให้หน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งไป เจ้าสัวภูริเดชลงความเห็นที่ตรงกันกับหมอว่าควรให้อาม่านอนดูอาการที่นี่ไปก่อน โดยที่ทั้งเจ้าสัวและคุณวิราพรจะมานอนเฝ้าอาม่าด้วยตัวเอง
"อาม่านี่ดื้อจริงๆ เลยนะคะ แพรบอกให้กินข้าวก็กินเท่าแมวดม”
"วันหลังอาม่าต้องกินข้าวให้ครบทุกมื้อนะคะ พิมพ์เป็นห่วง ไม่อยากเห็นอาม่าป่วย"
"อาม่าต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ อีกหน่อยภาคีนัยเป็นหมอ จะมาดูแลอาม่าเอง"
บรรดาหลานๆ ของอาม่าพากันเป็นห่วงเสียยกใหญ่ ทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาทำให้อาม่าซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
"อาม่าโชคดีที่มีลูกหลานที่ดีแบบพวกลื้อ ทุกคนเอาตัวรอดได้กันหมดแล้ว ทุกคนเป็นคนดี จะห่วงก็แค่อาตี๋ใหญ่อาหมวยเล็ก อายุก็มากขึ้นทุกวัน เมื่อไหร่จะแต่งงาน"
ประโยคท้ายๆ ของอาม่าทำเอาทั้งภามและพิมกานต์มองหน้ากันทันที ภามที่ไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศหลายต่อหลายปี แต่ก็ไม่มีข่าวคราวว่าคบหาดูใจกับใครเป็นจริงเป็นจังสักคน ส่วนพิมกานต์ยิ่งแล้วใหญ่ ใช่ว่าเธอเป็นผู้หญิงขึ้ริ้วขี้เหร่ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างพากันแวะเวียนมาขายขนมจีบแต่เธอก็ไม่เคยชายตาเหลียวมองใครสักคน ดูจะสนุกกับชีวิตการทำงานเสียมากกว่า
"อาม่าอยากเห็นหลานอาม่าเป็นฝั่งเป็นฝา..."
เพราะภามถือเป็นหลานชายคนโต เป็นหลานรักของอาม่า สิ่งที่อาม่าคาดหวังนั่นคือการได้อุ้มเหลนที่เกิดจากหลานชายสุดที่รักให้ชื่นใจ เจ้าสัวภูริเดชหันมาสบตากับภามราวกับมีเรื่องบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ ดาวิกาหัวใจเต้นตึกตัก เรื่องราวเหตุการณ์เมื่อเช้ายังไม่ได้พูดคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักนิด ทั้งแม่และพ่อเลี้ยงของเธอกำลังเข้าใจผิด เพราะอีตาบ้าคุณภามทำให้เธอตกเป็นจำเลยในคดีน่าอายนี้จนได้
"อีกไม่นานหรอกครับอาม่า"
คำตอบของภามทำเอาทุกคนตาโตตื่นเต้นไปตามๆ กันยกเว้นแค่เจ้าสัวภูริเดช คุณชนาพร และดาวิกา ที่มีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนัก
ผ่านไปหลายชั่วโมง ที่ห้องรับรองสำหรับญาติผู้ป่วย อาม่าหลับพักผ่อน หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว ภาคีนัยก็กลับไปยังคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบแล็บในวันพรุ่งนี้ เหลือแค่เจ้าสัวภูริเดชที่ขอคุยกับลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังทำให้ปวดหัวอยู่ในขณะนี้เป็นการส่วนตัว
"เรื่องเมื่อเช้า มันเกิดอะไรขึ้น ลื้ออธิบายให้ป๊าฟังได้ไหม"
ภามนิ่งเงียบทำหน้าครุ่นคิดอยู่หลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดในใจออกไป
"ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง ผมขอรับผิดชอบด้วยการแต่งงาน เราจะแต่งงานกันครับ" เจ้าสัวภูริเดชดูจะพึงพอใจกับคำตอบของภามมาก ตัวเขาเองก็ทั้งรักและเอ็นดูลูกเลี้ยงคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ อีกทั้งยังมั่นใจในความสามารถและความดีในตัวของดาวิกาที่เหมาะสมแก่การเป็นลูกสะใภ้ใหญ่ของเอกชัยภักดีอย่างที่เขาไม่มีข้อกังขา
อีกประการหนึ่ง เจ้าสัวรู้ดีว่าลูกชายของตนไม่มีทางทำร้ายหัวใจดาวิกาเป็นแน่ เรื่องนี้เจ้าสัวรู้ดีถึงเหตุผลที่ภามไม่ยอมคบใครเป็นจริงเป็นจังสักครั้งทุกคราวที่เจ้าสัวติดต่อกับภาม เล่าเรื่องราวที่เมืองไทยให้ชายหนุ่มฟัง เขากลับถามหาวิราพรผู้เป็นแม่เลี้ยงพ่วงไปด้วยลูกสาวอย่างดาวิกาอีกด้วย แรกๆ เจ้าสัวก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามธรรมดา แต่ทุกอย่างเริ่มชัดเจนเมื่อเขารู้ว่าภามแยกรูปภาพของดาวิกาเก็บเอาไว้จากกองรูปภาพครอบครัว แถมยังคอยโทรติดตามความเคลื่อนไหวชีวิตมหาวิทยาลัยของหญิงสาวจากเพื่อนๆ ที่อยู่ทางนี้อีกด้วยเขาจึงไม่ต้องห่วงว่าภามจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับดาวิกาแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรน่ากังวล
"ป๊าดีใจที่ได้ยินลื้อพูดแบบนี้นะอาตี๋ใหญ่ แต่ป๊าก็ไม่รู้ว่าหนูผิงจะตกลงด้วยรึเปล่า"
นั่นแหละที่ภามเองก็กลัว...
"แม่คะ เรื่องหนูกับคุณภาม มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะคะ"