4 อยากเป็นดารา
“ผมเจอนางเอกในละครเรื่องใหม่แล้วนะ”
หลังจากแยกกับสตาร์ บุรินทร์โทรศัพท์หาศักดิ์นักเขียนบทมือทองทันที ทั้งสองทำงานร่วมกัน ทำให้ละครได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
“อายุ 18 หรือเปล่าครับ”
“พอดีเป๊ะเลย เธอกำลังหางานในช่วงปิดเทอม”
“นับว่าเป็นโชคของเราอย่างมากที่ควานหาเพชรมาเจียระไน ว่าแต่เธอคนนั้นยินดีที่จะเล่นละครหรือเปล่าครับ”
“บทดีอย่างนี้ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกครับ ผมกำลังส่งไปเรียนการแสดง เชื่อว่าจะเป็นดาวเจิดจรัสแสงอย่างแน่นอน”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
“คุณเขียนบทต่อไปเถอะครับ ผมไม่รบกวน สวัสดี”
บุรินทร์ยุติการสนทนาด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานสาวสวยที่ชื่อสตาร์จะเป็นดาวประดับวงการ แต่ก็อดนึกถึงเกศราไม่ได้ เสนอตัวอยากเป็นดารา แต่หูตาแพรวพราว เขากลัวว่าจะสร้างปัญหาทำให้วงการบันเทิงมัวหมอง
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังหลายครั้ง เกศรากลับไม่ใส่ใจที่จะรับแต่อย่างใด มัวแต่นั่งยิ้มด้วยตาลอยๆ อย่างมีความสุข นึกถึงวันที่ตัวเองได้เล่นละครโทรทัศน์ คิดว่าจะเบียดเด็กสาวหน้ารูปไข่ที่บุรินทร์อยากให้ไปเล่น
“เราจะเลือกรูปที่ถ่ายแล้วเซ็กซี่ ดูดีที่สุด พี่บุรินทร์จะต้องชอบแล้วให้เราเป็นนางเอก ส่วนยายคนนั้นเป็นนางร้าย”
เกศราทำท่าจะโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนซี้ แต่แล้วเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง มองหน้าจอเห็นว่าเป็นมารดาของตัวเอง
เธอหงุดหงิดเสียจนแทบจะไม่รับโทรศัพท์ รู้ดีว่าจะต้องถูกตามจิกเรื่องให้กลับบ้าน
“รู้แล้วน่า โทร.อะไรนักหนา เราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหัวใจที่สุด เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังซ้ำติดๆ กันหลายครั้ง จำใจหยิบขึ้นมา กรอกเสียงลงไปอย่างไม่ชอบใจนัก
“มีอะไร”
“พูดกับแม่ให้มันดี ๆ กว่านี้ได้ไหม”
“คุยโทรศัพท์นะแม่ ไม่ใช่เวลามาอบรมมารยาท เกศมีเรื่องด่วนจะต้องทำอีกตั้งเยอะ แม่พูดมาเถอะ เร็ว ๆ ด้วย”
“เกศจะกลับบ้านกี่โมง”
ซ้อแก้วถามลูกสาวด้วยเสียงอ่อย ๆ เกรงใจสุดขีด กลัวเกศราจะไม่พอใจ เพราะรู้ดีว่าช่วงเวลานี้ลูกสาวอาจจะอยู่กับเพื่อนก็ได้ แต่ก็อยากรู้ว่าลูกจะกลับบ้านกี่โมง เธอกลัวเกศราจะได้รับอันตราย
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว แม่ไม่ต้องใส่ใจมากนักหรอกน่า”
“เราเป็นลูก ไม่ให้แม่ใส่ใจได้ยังไงล่ะ กลับดึกไม่ดี บ้านเรายิ่งเปลี่ยวๆ อยู่ด้วย”
“แท็กซี่เยอะแยะ ไม่อย่างนั้นก็ให้เพื่อนรุ่นพี่ไปส่งก็ได้ อีกไม่นานหรอกจะต้องมีคนขับรถรับส่ง แม่รู้ไหมลูกสาวคนนี้จะเป็นดาราแล้วนะ”
เกศราพูดออกไปพร้อมกับหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ ซ้อแก้วใจไม่ดี กลัวว่าลูกจะเสียคนไปมากกว่านี้ ถ้าเจอนักแสดงหล่อ ๆ พูดจาเกี้ยวพาราสีจะทำอย่างไร หากว่าเอาเงินมากองแล้วเกศราไม่เป็นดารา เธอก็ยอมเช่นกัน
“ทำไมถึงอยากเป็นดารานักนะ”
“มันดังไง มีแต่คนชอบ แม่ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ลูกสาวคนนี้จะเป็นซุปตาร์ ใครเห็นก็ร้องเรียกหา”
“รีบกลับบ้านเถอะ แม่เป็นห่วง”
ซ้อแก้วพยายามอ้อนวอนลูกสาวให้กลับบ้าน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความมืดก็จะเข้ามาเยือน เธอกลัวอันตรายจะเกิดแก่ลูกสาว
ดูเหมือนว่าเกศราไม่มีความกลัวแต่อย่างใด กลับหัวเราะชอบใจ เห็นความเป็นห่วงของแม่เป็นเรื่องตลก
“กลัวอะไรนักหนา คนเราไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า”
“นี่ ไม่ห่วงตัวเองบ้างหรือไง เดี๋ยวใครลากไปข่มขืนเอาหรอก”
“อย่าคิดมากน่า รู้เอาไว้เถอะว่า ลูกสาวของแม่ไม่ซวยอย่างนั้นแน่ หากจะซวยจริง ๆ ถือว่าฟ้าลิขิตก็แล้วกัน”
พูดจบรีบปิดโทรศัพท์ทันที มารดาถึงกับอึ้ง เสียใจเมื่อรู้ว่าเลี้ยงลูกผิด ให้แต่เงิน คิดว่าทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่สามีตายจากไป เหลือลูกเพียงคนเดียว จึงทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้ลูกได้รับความสุข
อยากได้อะไรก็ให้เต็มที่ สิ่งที่ตอบกลับคืนมาก็คือ ลูกใช้เงินเป็นเบี้ย ไม่แคร์ความรู้สึกใคร แม้แต่ซ้อแก้วผู้เป็นแม่
“คุณศักดิ์ ดูนี่สิครับ เด็กคนนี้น่ารักไหม สวย ใส”
“ครับ หน้าตาดูดีมาก เหมาะสำหรับละครเรื่องใหม่ ไม่รู้ว่าน้องเขาจะสนใจที่จะเล่นละครกับคุณไหม”
“ผมเชื่อว่าจะต้องเล่น เมื่อครู่ผมโทร. ย้ำไปแล้ว คุยกับแม่เธอด้วย ชีวิตน่าสงสารอยู่กันสองแม่ลูก พ่อเสียไปแล้ว ทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน เอาแรงกายเข้าแลก”
บุรินทร์เล่าเกี่ยวกับประวัติของสตาร์ให้ศักดิ์ฟัง บัดนี้ยังคงมองดูรูปเด็กสาวที่ชื่อสตาร์ด้วยความสนใจ แม้ว่าเขาอายุแค่เพียง 25 แต่มีความสามารถเขียนบทละครได้ดีกว่าคนที่ทำงานตรงนี้มานาน จนได้รับขนานนามว่านักเขียนบทมือทอง