ตอนที่ 3 ห้างสรรพสินค้าส่วนตัว
ทั้งสองล้มตัวลงบนพื้นหญ้า อู่หลิงเยว่หอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง
“คุณยังไปต่อไหวไหม?” นางถามเสียงสั่น
ไม่มีเสียงตอบ
ดวงตาของชายหนุ่มปิดสนิท ใบหน้าเขาสงบนิ่งราวกับหลับลึก
หญิงสาวตระหนักได้ในทันที ความตายได้พรากเขาไปก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไรอีก
น้ำตาของอู่หลิงเยว่ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว เพื่อนร่วมทางคนแรกในโลกใหม่ของนางจากไปแล้ว
นางหลุบตาลง กัดริมฝีปากแน่น “ขอโทษนะที่ช่วยได้เท่านี้”
อู่หลิงเยว่ทอดสายตาขึ้นมองฟากฟ้าเบื้องบนอย่างอ่อนล้า แสงอรุณของเช้าวันใหม่สอดส่องปลายกิ่งไม้และใบไม้เล็กๆ ลงมาเป็นสีทองจางๆ สะท้อนกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ที่ยังคงพร่ามัวจากความเหนื่อยล้าและน้ำตาที่เปียกชื้นสองแก้ม
กลางอกของนางยังคงรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกก้อนหินทับทับแน่น นางสูญเสียบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนางไม่เคยรู้จักชื่อหรือประวัติ ซึ่งเป็นคนบอกทางให้นางไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่นางกลับไม่มีโอกาสได้กล่าวคำขอบคุณหรือพาเขาไปถึงจุดหมายด้วยกัน
หญิงสาวไม่มีอุปกรณ์สำหรับขุดหลุมฝังศพ และนางก็ไม่อยากดันร่างนั้นให้กลับไปนอนในหลุมดินที่นางพยายามพาเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก นางจึงตัดสินใจออกไปเก็บกิ่งไม้และใบไม้แห้งมาคลุมร่างใหญ่นั้นเอาไว้ก่อนจะปลดถุงน้ำของเขามาเก็บไว้แล้วเดินจากมา
“หมู่บ้านหานเฉิง..” นางพึมพำซ้ำเบา ๆ หันหน้ามองไปทางทิศตะวันออกอย่างมั่นใจ เพราะทหารผู้นั้นบอกไว้ว่าอีกไม่เกินสองลี้ จะถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งทหารของแคว้นเหยียนตั้งมั่นเฝ้ารักษาการณ์อยู่
ระหว่างทาง อยู่ดี ๆ เสียงโกลาหลที่เงียบหายไปนานกลับแว่วดังมาแต่ไกล เสียงโต้เถียงแหลมคมกับเสียงร้องคร่ำครวญของผู้หญิงปะปนกับเสียงร้องของเด็กเล็ก ทำให้หัวใจของอู่หลิงเยว่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
นางชะงักฝีเท้าก่อนจะรีบหมอบลงข้างพุ่มไม้ใบหนาทึบอย่างรวดเร็ว สอดสายตาผ่านช่องว่างของใบไม้ด้วยความระมัดระวัง
ภาพกลุ่มคนประมาณเจ็ดหรือแปดคน กำลังรุมแย่งอาหารจากกระสอบข้าวสารใบใหญ่ บ้างก็ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด บางคนผลักกันจนล้มลงกับพื้น บางคนคว้าห่อแป้งหรือถุงข้าวของวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงด่าทอและคำหยาบคายที่ทะลุทะลวงเข้ามาในหู
ความหวาดหวั่นและความไม่แน่นอนเหมือนคลื่นพายุที่ซัดเข้ามาในใจของหญิงสาว นางไม่อาจรู้ได้แน่ว่าคนเหล่านั้นเป็นโจรที่มาปล้นชาวบ้าน หรือเป็นทหารจากแคว้นอื่นที่แย่งชิงเสบียงอาหาร
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ความรุนแรงและความหวาดกลัวที่สะท้อนออกมาผ่านใบหน้าและท่าทางของพวกเขานั้น น่ากลัวเกินกว่าที่นางจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
นางนั่งหมอบนิ่ง หายใจอย่างเงียบงันเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง และพยายามกลั้นใจไม่ให้หัวใจเต้นแรงเกินไป
“เจ้าหาว่าเราทรยศแคว้นเหยียนรึ! พูดจาเหลวไหล! ตอนนี้ใครจะมัวไปสนใจเรื่องแคว้นที่ล่มสลายไปแล้วกันเล่า! คนตายไปกี่หมื่นเจ้าก็รู้ดี ข้าจะไม่ยอมอดตายไปอีกคนแน่!”
“ข้าก็เหมือนกัน!”
เสียงโต้เถียงประทุขึ้นอีกครั้ง มีทั้งเสียงเรียกร้องความเห็นใจและเสียงด่าทอผสมปนเปกันไป นั่นทำให้อู่หลิงเยว่เข้าใจแล้วว่า แม้ผู้คนเหล่านี้จะอยู่ในความวุ่นวายและความอดอยาก แต่พวกเขาก็ยังเป็นชาวแคว้นเหยียนเช่นเดียวกับนาง
ทว่า เมื่อถึงยามเคราะห์ร้ายที่สุด ใจคนคิดแต่จะเอาชีวิตให้รอดโดยไม่สนใจถูกผิด
หญิงสาวเบือนหน้าหนี หัวใจนางไหวสั่น เสียงเมื่อครู่วนเวียนอยู่ในหัวของนาง แคว้นเหยียนล่มสลายไปแล้ว.. แล้วชาวบ้านที่เหลือรอดอย่างนางจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร หมู่บ้านหานเฉิงเล่า? ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยอยู่หรือไม่?
นางไม่รู้ว่าความวุ่นวายเมื่อวานมีบทสรุปเช่นไร ชาวบ้านที่วิ่งหนีตายมาพร้อมกับนางเสียชีวิตไปหมดแล้วหรือไม่ ฝ่ายศัตรูถึงได้ล่าถอยออกไปจากพื้นที่นี้
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี ในภาวะสงครามเสบียงอาหารนั้นหายากยิ่ง ผู้รอดชีวิตจากศัตรูก็ยังต้องระวังภัยจากคนแคว้นเดียวกันอีก
นางค่อย ๆ ถอยห่างจากบริเวณนั้นอย่างช้า ๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใดพบเห็นเพื่อเก็บเรี่ยวแรงไว้รักษาชีวิตตัวเองในยามคับขัน
หลังจากหนีออกมาจากคนกลุ่มนั้นได้นางก็มานั่งหอบหายใจในพงหญ้ารก ร่างกายเหนื่อยอ่อนจนเหมือนจะหมดแรง ท้องร้องครืดคราดด้วยความหิว น้ำในถุงหนังสัตว์ที่ได้มาจากทหารบาดเจ็บในหลุมเพลาะก็หมดไปแล้ว ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ทอดตัวลงต่ำ ความมืดกำลังจะปกคลุมผืนป่าอีกครั้ง
ในโลกยุคปัจจุบันที่นางจากมา ไม่มีที่ใดเงียบเท่านี้ แม้แต่ในยามวิกฤตก็ยังมีเสียงเครื่องยนต์ เสียงไซเรน เสียงผู้คน แต่ที่นี่มีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไม้แห้งดังหวีดหวิวราวกับเสียงร้องของภูตผี
"ฉันพ้นจากความตายมาเพื่อกำลังจะตายอีกครั้งจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย..เหตุใดสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับฉันนักเล่า" อู่หลิงเยว่พึมพำ สายตาเหม่อมองฟ้าที่เริ่มมีดาวปรากฏ
ไม่นานนัก ขณะที่กำลังเดินเลียบไหล่เขาเพื่อหาที่ปลอดภัยนอนพักตอนกลางคืน นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยและเสียงร้องไห้อีกครั้ง
“อย่าผลักกันสิ! ยังมีเด็กอยู่ตรงนี้นะ!” ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกน
นางมองผ่านพุ่มไม้เห็นกลุ่มคนราวสิบกว่าคนรวมตัวกัน บางคนนอนราบอยู่กับพื้น บางคนกำลังก่อไฟตั้งที่พักชั่วคราวยามค่ำคืนแต่ไม่ได้มีการทำร้ายกันรุนแรงเหมือนกลุ่มก่อนหน้า
“บางทีข้าอาจเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาได้” นางรำพันออกมาเบาๆ ก่อนที่จะชะงักถอยหลังกลับมาอีกครั้งเพราะนางเห็นบุรุษร่างใหญ่กำลังใช้กำลังบังคับสตรีคนหนึ่งให้เดินตามไปในที่ลับตา!
นางกลืนน้ำลายที่แห้งเป็นผงลงคออย่างยากลำบาก สุดท้ายก็ตัดสินใจเบี่ยงเส้นทาง เดินเลาะไปอีกทางหนึ่งพลางคิดในใจว่านางเดินทางคนเดียวอาจจะปลอดภัยกว่า
เมื่อถึงทางลาดที่มีโขดหินใหญ่หลายก้อนล้อมรอบ นางสำรวจดูพื้นที่โล่งด้านในดีแล้วว่าไม่มีงูหรือตะขาบก็รีบแทรกตัวเข้าไปด้านในเพื่อซ่อนตัวเพราะอีกไม่นานฟ้าก็จะมืดแล้ว
ขณะที่นางกำลังใช้ชายแขนเสื้อเช็ดรอยเลือดบนแขนที่ถูกกิ่งไม้เกี่ยวเป็นแผลถลอกเล็กๆ จู่ ๆ แววตานางก็เปลี่ยนไป เมื่อเห็นว่านิ้วนางข้างขวานั้นมีแหวนวงหนึ่งสวมอยู่
แหวนไม้วงบาง กลมมน เรียบง่าย เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบจะดำ เมื่อสะท้อนแสงจะเห็นลายคลื่นน้ำบางเบา
อู่หลิงเยว่ขมวดคิ้ว
ความทรงจำของอู่หลิงเยว่คนเดิมยังหลงเหลืออยู่มากพอให้ยืนยันได้ว่านางไม่ได้เป็นเจ้าของแหวนวงนี้ นางเคยมีสมบัติติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็ขายหรือแลกเปลี่ยนเป็นอาหารระหว่างหนีภัยจนหมดสิ้นแล้ว
ด้วยความสงสัย นางจึงคิดจะถอดแหวนออกมาดู
ร่างเล็กชะงักกึก ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศผุดขึ้นมาอย่างรุนแรง นางเห็นป้ายราคา เห็นชั้นวางของ เห็นแสงไฟ LED ที่คุ้นตาอยู่ตรงหน้า!!
"ไม่จริง! ที่นี่มัน..เซี่ยงไฮ้พลาซ่า!!" นางอุทานออกมาแล้วรีบปิดปากตัวเองหันมองซ้ายทีขวาทีเกรงว่าจะมีผู้อื่นได้ยิน
เมื่อลดมือลง นางถึงกับต้องสูดหายใจเข้าปอดแรงๆ กลิ่นขนมปังจากร้านเบอเกอรี่เจ้าประจำของนางปะทะเข้าจมูกเต็มๆ เป็นการยืนยันว่านี่ไม่ได้เป็นความฝัน
นางกลับมาที่ห้างสรรพสินค้าเซี่ยงไฮ้พลาซ่าแล้วใช่หรือไม่ และตอนนี้ก็ยังไม่ได้เกิดแผ่นดินไหวอีกด้วย!!
ดวงดาวที่เริ่มทอแสงบนฟ้าทำให้หญิงสาวใจหายวาบ นางหันมองไปรอบตัวอีกครั้ง ยังคงเป็นก้อนหินใหญ่และป่าทึบ!
ห้างสรรพสินค้าที่เห็นตรงหน้านั้น..ไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริง ๆ
แสงไฟนีออน แผ่นป้ายลดราคา เครื่องสำอางจากแบรนด์ดัง และชั้นวางสินค้าที่เรียงรายกันจนสุดสายตา ทั้งหมดนั้น ลอยอยู่กลางอากาศในลักษณะเหมือนภาพฉายสามมิติ คล้ายมีม่านแสงใส ๆ ขึงอยู่ระหว่างโลกหนึ่งกับอีกโลกหนึ่ง
นางก้าวเข้าไปใกล้อย่างระแวดระวังแล้วยกมือขึ้น ลองเอื้อมปลายนิ้วแตะไปที่แผ่นกระจกแสงนั้นอย่างไม่แน่ใจ
วืด..นิ้วของนางผ่านทะลุไปไม่ได้!!
ตื๊ด!!
เสียงเตือนบางอย่างดังขึ้นกลางความเงียบ ตามมาด้วยเสียงของเด็กชายที่ฟังดูสดใสเกินสถานการณ์
“ข้าคือห้างสรรพสินค้าประจำตัวของท่าน! ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน! เมื่อครู่ ท่านเพิ่งช่วยชีวิตบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ ท่านจะได้รับแต้มสะสมจำนวน 5,000 แต้ม!”
