ตอนที่ 2 ข้ากลับมาแล้ว
ตอนที่ 2 ข้ากลับมาแล้ว
สิ้นเสียงขันทีคนสนิทขององค์ชายสาม ร่างบอบบางเงยมองผ้าขาวผืนหนึ่งซึ่งถูกผูกบนขื่อคาน นางมิมีสิ่งใดให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว นางขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ลำคออยู่บนผ้าขาวผืนนั้น มือเรียวจับเอาไว้มั่น ทอดสายตามองรอบ ๆ ห้องนี้อีกครั้ง
แม่นมซึ่งร่ำไห้น้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือดในอ้อมกอดของนางมีร่างไร้วิญญาณของพระโอรสของนาง นามของเขาคือ เป่ยหรงเจี้ยน คล้องจองกับผู้เป็นบิดา แต่เขามิแยแสทารกน้อยในห่อผ้าซึ่งไร้วิญญาณ มิอุ้มชูสักครา กลับบ่ายเบี่ยงเสมอมา
บัดนี้จางชิงหนี่ว์เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ความรักของนางนั้นโง่งมสิ้นดี หลงคิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มผู้มีน้ำใจงดงามดีเลิศ แต่ทว่าเขากลับกลายเป็นปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ซึ่งหลอกลวงผลประโยชน์จากครอบครัวของนางอย่างไรเล่า
ยามนี้จางชิงหนี่ว์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หากยังยืนยันขัดคืน เกรงว่าตระกูลจางคงจบสิ้นกันคืนนี้แล้วเป็นแน่ นางเอ่ยร่ำลาน้ำเสียงสั่นเครือเป็นครั้งสุดท้าย “หากข้าตายไป ฝากบอกท่านพ่อ ท่านแม่ขอข้าด้วยว่าข้าเป็นลูกอกตัญญูต่อพวกท่านแล้ว”
สิ้นเสียงหญิงสาวอายุเพิ่งยี่สิบปีปลายเท้าถีบเก้าอี้นั้นให้ล้มลง แม่นมผู้ที่กำลังตระกองกอดพระโอรสน้อยนั้นเอาไว้หลับตามิกล้าเงยหน้าขึ้นมองนางยังสะอึกสะอื้นร่ำไห้อยู่ในห้องอันอ้างว้าง
เมื่อเก้าอี้ตัวนี้ได้ล้มลงแล้ว ร่างบอบบางดิ้นทุรนทุรายก่อนจะสิ้นใจ พลันในใจของนางยังคงสาปแช่งชายโฉดหญิงชั่วนั้นมิเลิกรา ทั้งเคียดแค้นชิงชังสุดหัวใจไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าด้วยกันได้ ถ้าหากสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางบ้าง นางอยากขอพรได้สักหนึ่งข้อ อยากลากพวกมันทั้งคู่ลงนรกไปด้วยกัน
แม่นมเงยหน้าขึ้นมามองเห็นภาพสยดสยอง ภาพนี้ทำให้นางแทบสิ้นสติ ลำคอของจางชิงหนี่ว์เขียวคล้ำไปทันใด ดวงตาเถลือกถลนก่อนสิ้นใจซ้ำลิ้นจุกปากสภาพช่างน่าอนาถเกินบรรยายยิ่งนัก หญิงวัยกลางคนลุกขึ้นยืนยังมิได้ตั้งตัว
เมื่อจู่ ๆ เช่อเฟยเดินหอบเอาร่างบอบช้ำเข้ามาดูผลงานของตน แล้วจึงโยนถุงเงินมอบให้แม่นมผู้นี้เป็นค่าปิดปาก “หน้าที่ของเจ้าหมดแล้ว จากนี้ไปหากไม่อยากตายคงรู้ว่าต้องทำสิ่งใด”
เมิ่งอวี้เจินยิ้มเหี้ยม เงยหน้ามองสตรีผู้นี้จากไปด้วยความยินดี สีหน้าของนางเบิกบานยิ่งนัก เมื่ออุปสรรคของนางได้ถูกกำจัดไปแล้ว ตำแหน่งเจิ้งเฟยจะเป็นของผู้ใดกันเล่า หากมิใช่ของนางแล้วจะเป็นของผู้ใดกัน
“เช่อเฟย ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งนี้อีกไม่นานต้องตกเป็นของพระชายาอย่างแน่นอน” ขันทีประจบประแจงเจ้านายผู้นี้ทันที ขันทียังกล่าวมิทันจบ
บัดนี้ท้องฟ้ายามนี้เกิดแปรปรวนหนักหน่วง เสียงสายฟ้าฟาดดังเปรี้ยงปร้างช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ก้อนเมฆดำครึ้มลอยครอบคลุมอยู่เหนือตำหนักขององค์ชายสาม บังเกิดเป็นพายุทั้งลมและสายฝนกระหน่ำลงมามิหยุดหย่อน สายฟ้าฟาดดังเปรี้ยงอย่างสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นข้าง ๆ ตำหนักของเจิ้งเฟย
ต้นไม้ทั้งหลายล้มลงระเนระนาดราบเป็นหน้ากลอง บางต้นนั้นไหม้เกรียม บางต้นถูกผ่าแยกกลางออก กระแสลมแรงพัดเอาเทียนทั้งหลายที่กำลังจุดนั้นดับพรึ่บลงมาทันที
แล้วทันใดนั้นเองสายฟ้าได้ฟาดลงมาอีกครั้งกลางลานด้านหน้าของตำหนักผู้ที่จากไป ดังลั่นสั่นสะเทือนจนทำให้แจกันที่ประดับอยู่ในตำหนักนั้นหล่นแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้อง
ตำหนักฉางอัน
ร่างแน่งน้อยนอนราบบนเตียงกว้าง ซึ่งอยู่ในตำหนักด้วยเพราะตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก เมื่อจู่ ๆ ในวังหลวงเกิดพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำ ทำให้ผู้คนที่มาร่วมชมดอกไม้งามในวังหลวง ต่างก็รีบเร่งวิ่งหนีพายุฝนซึ่งเทกระหน่ำลงมามิขาดสาย
เดิมทีคุณหนูจาง ได้รับเทียบเชิญเข้าวังหลวงเพื่อชื่นชมดอกไม้งาม แต่ทว่านางตระหนกตกใจจนถึงขั้นหมดสติไป จึงได้มาพักยังตำหนักฉางอันของพระสนม
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” น้ำเสียงคุ้นเคยของสาวใช้ทั้งสองเอ่ยเรียกขานผู้เป็นนายซึ่งหมดสติไปเกือบครึ่งชั่วยาม หมอหลวงจัดเทียบยาให้แล้ว บอกเพียงว่าคุณหนูนั้นตื่นตระหนกตกใจจนหมดสติ มิมีอันใดน่าเป็นห่วง
ผู้ถูกเอ่ยเรียกชื่อส่งเสียงแผ่วเบาราวกับว่ากำลังเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก “อืม ข้า..ขอน้ำ”
เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อย ๆ ไล่ความมืดมิดออกไปจากดวงตา เรี่ยวแรงนั้นมิได้ถดถอย แพขนตาหนางอนงามกะพริบขึ้นลงช้า ๆ อีกครั้ง เมื่อพบว่าที่นี่มิใช่ตำหนักของนาง พลันได้สติเมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้ทั้งสอง
“มู่เสียน ลี่จู พวกเจ้ามาอยู่ที่ได้อย่างไรกัน” นางยังคงมิทันได้ตั้งสติ เมื่อพบว่าสาวใช้ของนางยังมีชีวิตอยู่ พลางคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อครู่นี้มิใช่ว่านางเพิ่งไปเยือนปรโลกหรอกหรือ
“คุณหนู เจ้าคะ ตกใจจนหลงลืมไปแล้วหรือ พวกเรามาชมงานดอกไม้ในวังหลวงอย่างไรเล่าเจ้าคะ แล้วคุณหนูก็หมดสติไปเพราะเสียงฟ้าผ่า” มู่เสียนตอบไปตามตรง ไม่ได้คิดว่าเจ้านายนั้นได้ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้แค้นพวกสารเลวอีกครั้ง
“ฟื้นแล้วหรือคุณหนูจาง จิ่นเอ๋อร์เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก พบว่าเจ้าเป็นลมหมดสติไปก็รีบอุ้มเข้ามายังตำหนักของเปิ่นกง ยามนี้ก็ดึกดื่นแล้ว หากเดินทางกลับเกรงว่าจะมีอันตราย” พระสนมผู้งดงามระบายยิ้มอ่อน แล้วยังประคองร่างบอบบางให้ขยับเอนกายพิงยังหัวเตียงนอน
ทว่าบัดนี้นางเหลือบมองชายผู้หนึ่งด้วยสายตาชิงชังและเคียดแค้นสุดหัวใจ เหตุการณ์นั้นนางจดจำได้มิลืมเลือน มันยังคงฝังลึกอยู่ในอก ลูกของนางตายเพราะสตรีผู้นั้นและชายผู้นี้ พวกสารเลว ชาตินี้ข้าจะแก้แค้นให้สาสม
“ไม่เป็นไรเพคะเสียนเฟย ยามนี้หม่อมฉันแข็งแรงดี มิอยู่รบกวนเสียนเฟยนานนัก เกรงว่าท่านพ่อและท่านแม่จะเป็นห่วง” นางย่อมทราบดี หากนางค้างที่ตำหนักนี้ รุ่งเช้าย่อมมีเรื่องมิคาดฝันเกิดขึ้นเป็นแน่
เพราะอันใดหรือ เมื่อกาลก่อนนั้นนางหลงชื่นชมชายผู้นี้ว่าเขาเป็นบุรุษมีจิตใจเมตตา แต่ทว่านางได้เห็นธาตุแท้ของเขาแล้ว เลวทรามสิ้นดี
“เจ้ายังไม่สบายอยู่ พักผ่อนอยู่ในตำหนักนี้ตามที่ท่านแม่สั่งเถิด” เป่ยหรงจิ่นอาสาช่วยมารดากอบกู้สถานการณ์ เพราะนางหลงรักเขาเยี่ยงนี้มีหรือที่เขาเอ่ยปากแล้วนางจะไม่ยินดี
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ อีกอย่างตำหนักของฮองเฮามิได้ไกลนัก หม่อมฉันยังมีธุระพูดคุยกับฮองเฮาอีกเพคะ” นางแค่มิอยากยืนอยู่ในบริเวณของชายผู้นี้ อีกทั้งยังไม่อยากหายใจในอากาศเดียวกันอีกด้วย ทำให้นางสะอิดสะเอียนเขายิ่งนัก แววตานี้ใบหน้านี้ นางอยากแล่เนื้อเถือหนังเขายิ่งนัก
“เช่นนั้นให้เปิ่นหวางเดินไปส่งดีหรือไม่” เมื่อพบว่าสายตาของนางเย็นเยียบอย่างนั้น ทำให้องค์ชายสามแปลกใจนัก ซ้ำยังรู้สึกว่าบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป
“ไม่รบกวนองค์ชายสามเพคะ หม่อมฉันมีเท้าเดินไปเองได้ ขอบพระทัยเสียนเฟยที่เมตตาช่วยเหลือให้หม่อมฉันได้หลบฝน ยามนี้ฝนหยุดแล้ว ถึงเพลาที่หม่อมฉันจะต้องไปพบฮองเฮาแล้วเพคะ หากละเลยไปเกรงว่าเสียนเฟยคงทราบดี”
“เช่นนั้นเปิ่นกงมิรั้งเจ้าไว้นาน เชิญเจ้าตามสบายเถิด” ผู้เป็นเจ้าของตำหนักฉางอันมิเข้าใจเจตนาของสตรีผู้นี้นัก เหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ
เพราะพระโอรสของนางมั่นอกมั่นใจนักหนาว่าจะใช้นางเป็นหมาก เสริมอำนาจเพื่อช่วงชิงตำแหน่งสำคัญ ทว่ายามนี้ตำแหน่งไท่จื่อได้ถูกแต่งตั้งแล้ว
และพระโอรสของนางจะมีโอกาสอันใด นอกเสียจากจะสร้างผลงาน จึงต้องให้ตระกูลจางเพื่อเสริมอำนาจ ด้วยเพราะแม่ทัพจางนั้นเป็นผู้ใด ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นเป่ยซาน
สาวใช้ทั้งสองยังงุนงงกับท่าทีของคุณหนู แต่มิกล้าสักถาม จึงได้เก็บปากสงบคำพูดเอาไว้ พวกนางมิได้รู้เรื่องเกี่ยวกับไปเยือนตำหนักฮองเฮา เมื่อทั้งสามเดินออกมาจากตำหนักฉางอันแล้ว คุณหนูจางก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเป็นสงบเสงี่ยมเยียบเย็นมากยิ่งขึ้น
“ต่อไปนี้พวกเจ้าจงระมัดระวังตัวให้มาก อย่าได้พบกับนางกำนัลตำหนักฉางอันอีกเป็นอันขาดแล้วนางกำนัลของตำหนักองค์ชายสามก็ห้าม” ก่อนอื่นที่จะเริ่มแก้แค้น ย่อมต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวเสียก่อน สาวใช้ของนางทั้งสองล้วนเป็นเด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสา มิทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกนางจิ้งจอกในวังหลวง
หากแต่มีสตรีผู้หนึ่งที่จิตใจนั้นอ่อนโยนโอบอ้อมอารียิ่งนัก นั่นคือฮองเฮา ผู้ซึ่งเป็นสหายของมารดานาง เช่นนั้นแล้วนางจึงเอ่ยนามของฮองเฮาออกไป หวังว่าจะกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้
“เพราะเหตุใดเจ้าคะคุณหนู” มู่เสียนเดินตามแผ่นหลังผู้เป็นนาย สงสัยยิ่งนักจึงได้สอบถาม
“ข้ามีความแค้นต้องสะสาง!” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุดัน
“เจ้ามีความแค้นกับผู้ใด ข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้นเองขอให้บอกข้าเป็นคนแรก” จู่ ๆ เขาก็โผล่เข้ามากลางวงสนทนาของหญิงสาว ด้วยเพราะความเป็นห่วงนางจึงต้องเดินวนเวียนอยู่หลายครั้งหลายหน มิได้เดินเข้าไปยังตำหนักฉางอัน
เพราะทราบดีว่าเสียนเฟยนั้นเป็นเยี่ยงไร เขารู้ว่านางหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องเป็นที่สุด แต่ก็เร่งไปพบนางมิทันการถูกน้องชายต่างมารดาอุ้มร่างหมดสติเข้าไปยังตำหนักฉางอันเสียก่อน เขาจึงได้แค่ไหว้วานท่านหมอหลวงตรวจดูอาการของนางให้ละเอียด
คุณหนูจางหยุดฝีเท้าทันใด พร้อมกับดวงตาแดงก่ำสะอึกสะอื้นไห้จนตัวโยน ร่างบอบบางคล้ายว่าไร้เรี่ยวแรง เมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ เขาคือผู้อ่อนโยนกับนางเสมอมา มักออกหน้าปกป้องคุ้มภัยรองจากพี่ชายของนาง
เป่ยเฟยเทียนไม่อยากเห็นน้ำตาของนางเลยก็ว่าได้ เมื่อพบว่านางร้องไห้เยี่ยงนี้จิตใจของเขาเจ็บปวดยิ่งนัก พร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาของนางอย่างแผ่วเบากลัวว่าเด็กสาวจะบอบช้ำ
น้ำเสียงทุ้มต่ำไพเราะเสนาะหูขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยซาน กล่าวขึ้นมาอย่างจริงใจ แววตาของเขาจ้องมองเด็กสาวด้วยความรักใคร่และเอ็นดู “ร้องไห้ทำไมเด็กดี นิ่งเสียใครทำให้เจ้าเสียใจ บอกข้ามา ข้าจะจัดการมันผู้นั้นให้เอง”