ตอนที่ 15 เกิดเรื่องกับสามี
จางซิ่วอิงแสร้งเก็บเงินที่ได้ไว้ในกระเป๋าผ้าคู่ใจ แต่จริง ๆ แล้วเงินเยอะขนาดนี้เธอแอบโยนมันเข้าไปไว้ในมิติต่างหาก ก่อนออกจากร้านของคุณป้าหลี่หญิงสาวไม่ลืมเลือกซื้อข้าวขาวและแป้งจำนวนหนึ่งติดมือกลับบ้านไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยจนเกินไป
ฝีเท้าเล็กมั่นคงก้าวลงจากเกวียนหลังจากจ่ายเงินค่าโดยสารเรียบร้อย จางซิ่วอิงหอบหิ้วของที่ซื้อมาเดินกลับบ้านบนเนินเขาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าอีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะเดินถึงบ้านอยู่แล้ว หญิงสาวนั้นกลับเห็นย่าและลูกพี่ลูกน้องของสามีกำลังพยายามดันรั้วบ้านผุพังของเธอ เห็นดังนั้นริมฝีปากผุดรอยยิ้มหยัน จากนั้นหญิงสาวจึงหมุนตัวกลับไปเพื่อหาพยานคนสำคัญสำหรับเรื่องนี้ทันที
“ย่า?”เสียงทุ้มเรียกย่าขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ก่อนสีหน้าเรียบเฉยจะค่อย ๆ เข้มขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่ถูกบุกรุกบ้าน
เขาถูกฝึกมาไม่น้อย เสียงเปิดรั้วบ้านแม้จะเบากว่าปกติแต่ก็รับรู้ได้ในทันที แต่ที่คาดไม่ถึงคือย่าและญาติผู้พี่ที่ปรากฏตัวในห้องนอนของเขาในเวลานี้ และหากให้เดาแล้วล่ะก็จุดประสงค์ของการมาเยือนก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“ใช่น่ะสิ! หลานรัก เป็นอย่างไรบ้างเล่า? วันนี้ย่าตั้งใจมาเยี่ยมหลานเชียวนะ ทำไมทำสีหน้าอย่างนั้นล่ะ”เหยียนเพ่ยตอบรับหลานชาย นางพยายามปรับโทนเสียงให้ดูเป็นมิตรที่สุด แม้ใจจะรู้สึกรังเกียจหลายชายคนเล็กมากก็ตาม
สายตาคู่นั้นมองไปที่ขาไร้ประโยชน์อย่างดูแคลน พลางบิดยิ้มร้ายจนใบหน้าชราบิดเบี้ยวดูแล้วน่าเกลียดมาก
“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนี่ครับ ฉะนั้น…เชิญ!!”ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะผายมือไปที่ประตูอย่างไม่ไว้หน้าผู้เป็นย่า
หยางจางหมิ่นที่ดูสถานการณ์อยู่ตลอดเห็นที่ต้องลงมือเองเสียแล้ว ญาติผู้น้องคนนี้แต่เดิมวิ่งตามเขาต้อย ๆ เชื่อฟังคำสั่งพี่ใหญ่อย่างเขาเป็นอย่างดีมาตลอดไม่แพ้ผู้เป็นย่า แต่น่าแปลกที่กลับมาจากกรมคราวนี้กลับกล้าต่อต้านย่าที่เคยเคารพนักหนา
“ซีห่าว พี่ไม่เคยรู้มาก่อนว่านายจะเป็นคนอกตัญญูเช่นนี้ บ้านหยางให้ข้าวให้น้ำนายมาจนโต นี่หรือคือสิ่งที่นายตอบแทนพวกเรางั้นเหรอ?”
ประโยคประนีประนอมที่แฝงไปด้วยการทวงบุญคุณอย่างชัดเจน ทำเอาคนฟังรู้สึกรังเกียจจนไม่อยากใช้อากาศหายในร่วมกันเลยด้วยซ้ำ
เขาน่ะหรืออกตัญญู ที่ผ่านมาไม่ใช่หยางซีห่าวคนนี้หรอกหรือที่ทำงานรับใช้คนในบ้านทุกอย่าง ทั้งยังทำงานเสี่ยงชีวิตส่งเงินปรนเปรอทุกคนในบ้านไม่เคยขาด หากเขาอกตัญญูแล้วหลานคนอื่น ๆ เล่า…กตัญญูกันมากอย่างนั้นหรือ
“ถ้าจะทวงบุญคุณ อย่างนั้นผมก็ต้องบอกเลยว่ามันไม่มี เพราะตั้งแต่จำความได้ผมทำงานรับใช้บ้านหยางด้วยแรงกายทั้งหมดที่มี พอทำงานได้เงินก็ส่งเข้ากองกลางจนหมด หากจะพูดถึงบุญคุณกันแล้วล่ะก็…ไม่ใช่คนบ้านหยางหรอกหรือที่ต้องสำนึกบุญคุณผม”
เพี๊ยะ!!!!
สิ้นคำพูดยาวเหยียดของหยางซีห่าวก็เป็นจังหวะเดียวกับฝ่ามือหยาบใหญ่ของเหยียนเพ่ยที่ตวัดลงบนแก้มข้างซ้ายของเขาอย่างแรง
“คนเนรคุณอย่างแกฉันน่าจะปล่อยให้อดข้าวตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่น่าชุบเลี้ยงจนแกโตขึ้นมากล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเช่นนี้”ใบหน้าใหญ่กว่าฝ่ามือเขียวคล้ำด้วยความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอก พลันตวาดกร้าวจนเสียงดังออกมานอกบ้าน
หยางซีห่าวใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม จ้องมองญาติฝ่ายพ่ออย่างดุดัน กลิ่นสนิมคละคลุ้งอยู่ในปากทำให้รู้ว่ามุมปากของเขาแตกเพราะโดนย่าตบ สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยรังสีสังหารมากมายจนคนโดนมองรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา
“แกเอาเงินชดเชยมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”เหยียนเพ่ยไม่ได้สนใจว่าหลานชายจะเป็นอย่างไร วันนี้เธอตั้งใจมาเอาเงินก้อนนี้และก็ต้องได้เท่านั้น
“หึ! ที่ย่ากล้าบุกมาถึงที่นี่ก็เพราะกลิ่นเงินมันหอมมาก…ใช่ไหมล่ะครับ?”ถ้อยคำเสียดสีถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว แม้เขาจะพิการเช่นนี้ แต่สองคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวสักนิด อีกอย่างเงินไม่ได้อยู่ที่เขา ต่อให้ค้นทั้งบ้านย่าก็ไม่มีวันหาเจอ
“ไม่เอาน่า ส่งเงินชดเชยมาเถอะซีห่าว! อย่างน้อยก็เพื่อแสดงความกตัญญูต่อย่าที่เลี้ยงดูนายมา”หยางจางหมิ่นพยายามเกลี้ยกล่อมญาติผู้น้องอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะได้ผลอย่างเช่นที่ผ่านมา
“นายกับย่านี่น่ารังเกียจกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”ในเมื่อตัดขาดไปแล้วอะไรต้องถนอมน้ำใจกันอีก คิดได้อย่างนั้นเขาจึงพูดประโยคเสียดสีให้คนทั้งคู่ได้ยินอีกครั้ง พลางส่งสายตาท้าทายกลับไป
เมื่อเห็นว่าหลานชายคนเล็กคงไม่ยินยอมง่าย ๆ เหยียนเพ่ยจึงสั่งให้หยางจางหมิ่นลงมือในทันที “จางหมิ่นไปจับมันไว้ ย่าจะหาเงินเอง”
“หึ! ย่าไม่มีวันได้เงินก้อนนั้นหรอก จำเอาไว้!!!”เสียงทุ้มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะปล่อยให้ผู้เป็นย่าล้วงมือเข้ามาสำรวจในสาปเสื้อโดยไม่ขัดขืน
ทว่าไม่ว่าจะค้นตัวหลานชาย หรือภายในห้องนอนอย่างไรก็หาไม่เจอ เหยียนเพ่ยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะสั่งให้หลานชายคนโตปล่อยตัวหยางซีห่าวเพื่อไปช่วยกันหาด้านนอกห้อง
แต่ทว่าทันทีที่เปิดประตูบานเก่าออกมาจากห้องนอน ก็พบเข้ากับผู้นำหมู่บ้านที่ยื่นทำหน้าคร่ำเคร่ง ถัดไปด้านหลังเป็นโจวเหยียนที่มองมาด้วยความรังเกียจอย่างชัดเจน และถัดไปอีกด้านก็พบกับหลานสะไภ้ที่ยืนกอดอก พลางยิ้มเยาะราวกับกำลังชมเรื่องสนุกอยู่
“หากฉันจะแจ้งความข้อหาบุกรุก และขู่กรรโชกทรัพย์ แบบนี้พอจะทำได้หรือไม่คะ?”เสียงใสพูดขึ้นทำลายความเงียบ ก่อนจะหันไปขอคำยืนยันจากหัวหน้าหมู่บ้าน
“ย่อมได้ ลุงจะเป็นพยานให้เองไม่ต้องห่วง”โจวเหวินรับคำหลานสะไภ้ในทันที เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องเงินชดเชยยายแก่เหยียนเพ่ยนั้นยอมง่ายเกินไป พอมาซุ่มฟังเมื่อครู่จึงได้รู้ว่าคนโลภอย่างไรก็เป็นคนโลภอยู่วันยังค่ำ
“ขอบคุณค่ะ”จางซิ่วอิงกล่าวขอบคุณผู้นำหมู่บ้าน ก่อนจะผุดรอยยิ้มหยันทอดมองสีหน้าคุณย่ากับหลานชายคนโปรดที่ซีดเผือดไม่ต่างจากไก่ต้ม
“โจวเหยียนช่วยพ่อจับสองคนนี้ไปส่งทางการ”ผู้นำหมู่บ้านออกคำสั่ง
จางซิ่วอิงเมื่อสบโอกาสมีหรือจะปล่อยให้คนชั่วลอยนวล มือเรียวทำทีล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้า ก่อนจะหยิบเชือกเส้นหนาที่ดูคงทนแข็งแรงพอดู ส่งให้ลูกชายของผู้นำหมู่บ้าน
เหยียนเพ่ยและหลานชายมีสีหน้าไม่สู้ดีทันทีที่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ตรงหน้าได้ แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว เพราะมือหยาบกร้านของโจวเหยียนกำลังมัดมือหญิงชราให้ไพล่หลังเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ไม่นะโจวเหวิน!!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของย่าหยางดังไปทั่วบริเวณ จึงเรียกความสนใจจากชาวบ้านที่เดินกลับมาจากบนเขาได้เป็นอย่างดี
“ลุงโจวเหวินจะจับผมกับย่าไม่ได้ หลักฐานไม่มี เช่นนี้เท่ากับผมไม่ได้ผิด”เขาร่ำเรียนมาจนป่านนี้ก็หาใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน อย่างไรก็ไม่ยอมมีประวัติด่างพร้อยเพราะเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน
“แค่มีเจ้าทุกข์ และพยานแก่ ๆ อย่างฉันก็เพียงพอแล้ว ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยฉันหน่อย”โจวเหวินอธิบายให้เด็กคราวลูกฟังอย่างใจเย็น ก่อนจะตะโกนขอกำลังเสริมจากด้านนอกเมื่อเห็นว่าหยางจางหมิ่นเริ่มขัดขืน ส่วนนางเหยียนเพ่ยนั้นทรุดกายลงไปนั่งร้องไห้คร่ำครวญ ดูแล้วสองคนพ่อลูกคงลากไปไม่ไหว
“ไม่นะ! ผมไม่ผิด ปล่อยสิวะ!”หยางจางหมิ่นโวยวายพยายามสะบัดกายให้หลุดจากการควบคุม แม้จะเป็นชายหนุ่มโตเต็มวัยแต่ก็ไม่ได้ทำงานหนักอย่างเช่นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน มีหรือที่เขาจะสู้แรงของคนที่จับจอบจับเสียมเป็นประจำได้
ก่อนออกจากประตูบ้านไปหญิงสาวหันไปสบตาอาฆาตพยาบาทของย่าสามีอยู่ครู่หนึ่ง เธอยิ้มหวานส่งกลับไป พร้อมโบกมือลาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยสุดขีด เรียกเสียงหวีดร้องก่นด่าหยาบคายจากหญิงชราได้เป็นอย่างดี
หลังจากส่งแขกและปิดประตูบ้านเรียบร้อย จางซิ่วอิงเร่งฝีเท้าเข้ามาหาคนในห้องนอนด้วความเป็นห่วง เขายังคงนั่งอยู่บนเตียงเช่นเดิม แม้ผ้าห่มจะดูยับย่น ข้าวของในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย เห็นดังนั้นก็อดรู้สึกโกรธคนทำไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหน้าของคนเป็นสามี พลันในใจก็แอบกลัวขึ้นมา “คุณโกรธฉันไหมคะ?”
“ไม่เลยครับ คุณทำถูกแล้ว”
ภรรยาเขาทำถูกแล้วที่ไม่เข้ามาช่วยเพียงลำพัง เพราะตัวเธอก็บอบบางแค่นี้ เขาเกรงว่าเธอจะถูกย่าทำร้ายไปด้วย ส่วนเรื่องที่ส่งไปให้ทางการเขาคิดว่าคนผิดก็ควรได้รับโทษ ต่อให้เป็นญาติผู้ใหญ่ แต่ผิดถูกก็ต้องว่ากันไปตามนั้น
“คุณเจ็บตัวอีกแล้ว ไหนขอฉันดูหน่อยสิคะ”ร่างบางทิ้งกายลงด้านข้างสามี ก่อนจะเอื้อมมือไปปาดเลือดที่ซึมอยู่มุมปาก สำรวจรอยปริแตกด้วยความห่วงใย ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่พอใจกับยายแก่นั่นไม่น้อย
หยางซีห่าวมองการกระทำของผู้เป็นภรรยาเงียบ ๆ แววตาห่วงใยที่เธอแสดงออกเขาล้วนรับรู้ทั้งหมด และยอมรับว่ามีความสุขกับสิ่งเหล่านี้มากทีเดียว
“เดี๋ยวเราทานมื้อเที่ยงกันก่อนนะคะ เสร็จแล้วฉันทำแผลให้”หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้นก็ผละกายออก ก่อนจะเดินเข้าครัวไปด้วยความรีบร้อน เพราะนี่ก็เลยเที่ยงมาสักพักแล้ว ไหนสามีจะต้องทานยาให้ตรงเวลาอีก
ร่างหนามองตามแผ่นหลังภรรยาไปอย่างแสนเสียดาย ในตอนได้ใกล้ชิดเขาแอบสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของภรรยาอย่างเคลิบเคลิ้ม พอเธอจากไปแม้จะมีกลิ่นติดที่นอนอยู่บ้าง แต่จะเทียบเท่ากลิ่นจากตัวเธอได้อย่างไรกัน
ครุ่นคิดอยู่นาน พลันมองไปที่ขาข้างที่บาดเจ็บก็นึกอยากให้หายเสียวันนี้พรุ่งนี้ เขาห่างภรรยาไปนานนับเดือน เพียงแค่ใกล้ชิดเล็กน้อยก็รู้สึกทรมานร่างกายส่วนล่างมากแล้ว
