ตอนที่ 1 ข้ายิ่งกว่าเต็มใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกไม่แต่งนะเจ้าคะ ตอนนี้ตระกูลเราร่ำรวยออกจะตาย เหตุใดต้องไปแต่งให้คนยากคนจนอย่างนั้นด้วยเล่า อย่างลูกตอนนี้ แม้แต่บุตรชายท่านโหวยังแต่งได้เลยนะเจ้าคะ”
พอได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนั้น ฉวีกู้ก็ชักจะเริ่มเอนเอียง ฉวีฮูหยินจึงรีบเอ่ยสำทับ
“ท่านพี่ ลี่เอ๋อพูดถูกนะเจ้าคะ สัญญาหมั้นหมายอะไรนั่นก็ให้มันเป็นโมฆะไปเถิดเจ้าค่ะ เวลานี้บ้านเราฐานะสูงส่ง เรื่องอะไรต้องไปแต่งกับคนพวกนั้น อีกอย่าง ฮั่นหยางผู้นั้นยังมีข่าวลือว่า.. เอ่อ... ”
“ใช่ขอรับท่านพ่อ ลูกก็เห็นด้วยกับท่านแม่ เพราะข่าวลือนั่นไม่ใช่แค่ข่าวลือ แต่มันเป็นเรื่องจริง หากปล่อยให้น้องแต่งกับเจ้าหลัวฮั่นหยางไป นางก็เหมือนตกนรกนะขอรับ”
นั่งฟังทั้งลูกทั้งภรรยามานาน ในที่สุดนายท่านกู้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม
“เฮ้อ! เกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น เรื่องที่ข้ากับหลัวป่าตู้เป็นสหายสนิทกันกับเรื่องที่หมั้นหมายลี่เอ๋อให้ฮั่นหยางไว้ตั้งแต่เด็ก ผู้คนต่างรู้กันทั่ว ตอนนี้ฮั่นหยางมาทวงสัญญา ชาวบ้านก็รับรู้กันหมดแล้ว หากมากลับคำตอนนี้ จะไม่ถูกผู้คนนินทาเอาหรือ ตระกูลเราอุตส่าห์สร้างเนื้อสร้างตัวสะสมชื่อเสียงอันดีงามมานานหลายปี มิอาจปล่อยให้เสื่อมเสียเพราะเรื่องนี้ได้”
พอนายท่านฉวีเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ทั้งห้องก็เกิดความเงียบ ฉวีเซียวลี่ได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงมองไปทางมารดาที ทางพี่ชายที หวังให้ทุกคนช่วยพูด
สิบสองปีก่อน ตอนที่ฉวีกู้ยังมีฐานะยากจน ได้หมั้นหมายบุตรีวัยสามปีให้แก่บุตรชายวัยแปดปีของสหายที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อหวังพึ่งพิง
แต่เวลานี้กลับกัน กลายเป็นตระกูลหลัวยากจน มิหนำซ้ำหลัวป่าตู้ยังมาตาย ทิ้งไว้เพียงภรรยาป่วยติดเตียงกับบุตรชายที่ส่วนนั้นใช้การไม่ได้เอาไว้ เมื่อฉวีเซียวลี่ครบวัยปักปิ่น หลัวฮั่น หยางก็เลยนำสัญญาหมั้นหมายมาทวงสัญญา เป็นเหตุให้คนตระกูลฉวีต้องมานั่งกลัดกลุ้มกันอยู่อย่างนี้
อยู่ๆ ฉวีเซียวลี่ก็นึกอะไรออก “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ ลูกมีวิธีแล้วเจ้าค่ะ” เซียวลี่ยกยิ้มชั่วร้าย มองผ่านหน้าต่างห้องโถงออกไปยังร่างเด็กสาวที่กำลังเดินอยู่ในสวน ทำให้ทั้งครอบครัวต้องพากันลุกมามองตามสายตาของนาง ก่อนจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “ฉวีมี่อิง!”
ร่างบอบบางที่กำลังเดินเยื้องย่างเหมือนนางเอกหนังจีน ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังตกอยู่ในสายตาผู้คน
โบ๊ะแทบจะไม่จำเป็นต้องมานั่งฝึกฝนเรื่องการใช้ภาษาหรือการวางตัว เพราะสามารถเข้าใจได้จากความทรงจำดั้งเดิม ส่วนเรื่องกิริยาท่าทาง สาวโบ๊ะออกจะทำได้ดีกว่าฉวีมี่อิงตัวจริงเสียอีก แต่ผู้ที่กำลังเลียนแบบองค์หญิงในซี่รี่ย์ก็ต้องถูกขัดจังหวะ
“นี่! มัวมาเดินทำอะไรอยู่แถวนี้! นายท่านให้มาตามเจ้าไปพบที่ห้องโถง!”
ได้ยินเช่นนั้น สาวโบ๊ะ รู้สึกหมดอารมณ์สนุกขึ้นมาทันที รีบดึงสติตัวเองให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน ร่างผอมบางยกชายกระโปรงสาวเท้าไปยังห้องโถงที่ว่าโดยไม่รอให้สาวใช้ที่มาตามเป็นคนเดินนำ
พอเข้ามาได้ โบ๊ะก็มองสำรวจสีหน้าท่าทางของทุกคนอย่างละเอียด ก่อนจะหัวเราะในใจอย่างบ้าคลั่ง ฮ่าๆ คนพวกนี้นี่มันเหมือนตัวร้ายในซีรี่ชัดๆ เลย ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นตัวจริง ดีจังๆ อ๊า นั่น ผู้ชายผมยาว ว๊าววว หนูช๊อบ ชอบ ฮะๆ อุ๊ย เขิลลล ว้อย
เพราะมัวแต่ยืนยิ้มมองคุณชายใหญ่ตระกูลฉวีเหมือนคนบ้า เสียงตะคอกก็เลยดังขึ้น “นี่! นังมี่อิง บ้าไปแล้วหรือไร อย่ามามองพี่ชายข้าอย่างนั้นนะ!”
ฉวีเซียงที่แอบพอใจในตัวมี่อิง รีบเอ่ยห้ามปรามน้องสาว “ลี่เอ๋อ ไม่เอาน่า อย่าดุ อิงเอ๋อสิ” พอเอ่ยจบร่างสูงก็ลุกไปหาเด็กสาวที่ยังยืนยิ้มมองตัวเองอยู่ ผายมือให้อีกฝ่ายไปนั่งเก้าอี้ด้านข้าง “วันนี้อิงเอ๋อดูอารมณ์ดีนะ ไปนั่งก่อนไป ท่านพ่อมีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“เจ้าค่ะ” โบ๊ะเขินจนตัวแทบแตก บิดชายแขนเสื้อจนขาดติดมือถึงได้สติกลับมา รีบเดินตามชายหนุ่มไปลงนั่งที่เก้าอี้ แต่สายตายังไม่ยอมละไปจากผู้ชายผมยาว แม่จ๋า หนูอยากมีผัว
“อะแฮ่ม!” กระทั่งนายท่านฉวีต้องกระแอมกระไอเสียงดัง เด็กสาวถึงได้หันมามองที่เก้าอี้ประธาน
“อิงเอ๋อ หลังจากที่ครอบครัวบ้านใหญ่ล่มสลาย อาอย่างข้าอุตส่าห์มีน้ำใจรับเจ้ามาเลี้ยงดูให้ที่อยู่ที่กิน ยามนี้ครอบครัวเรากำลังเดือดร้อน อยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน่อย” ฉวีกู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดัน อย่างไม่ยอมให้เด็กสาวปฏิเสธ
เดิมที โบ๊ะไม่ได้สนใจเรื่องที่คนตระกูลบ้านสายรองทำกับฉวีมี่อิงเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นท่าทางของฉวีกู้ ก็อดที่จะไม่พอใจไม่ได้
แต่คร้านจะสนใจ เพราะกะเทยควายอย่างเธอไม่ใช่คุณหนูมี่อิงผู้อ่อนแอคนเดิม คนพวกนี้อย่าว่าแต่รังแกเธอเลย อยู่อย่างสงบให้ได้ก่อนเถิด คิดได้เช่นนั้น ฉวีมี่อิงก็ยกยิ้มไร้เดียงสาไปให้ผู้มีศักดิ์เป็นอาห่างๆ “จะให้ช่วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ท่าทางของเด็กสาวสร้างความพอใจให้แก่พ่อแม่ลูกตระกูลฉวีเป็นอย่างมาก แต่ยกเว้นฉวีเซียง ชายหนุ่มอยากจะเอ่ยขัด แต่ยังช้ากว่าน้องสาว
“เจ้าต้องแต่งงานกับตระบุตรชายตระกูลหลัวเพื่อตอบแทนบุญคุณ!”
“ลี่เอ๋อ! ไหนน้องบอกว่าจะให้อิงเอ๋อตัดสินใจเองอย่างไรเล่า!” ฉวีเซียงหันไปดุน้องสาวทันทีที่นางเอ่ยจบ แต่พอหันหน้ากลับมาหามี่อิง ก็ต้องชะงักค้าง เพราะเวลานี้ฉวีมี่อิงนั่งยิ้มกว้างในตาเป็นประกาย “ เจ้าบ่าวหล่อไหม แล้วใช่แต่งงานแบบที่ใส่ชุดสีแดง รอให้เจ้าบ่าวขี่ม้าเอาเกี้ยวมารับอย่างนั้นหรือเปล่า!”
วาจาของเด็กสาวทำให้ครอบครัวตระกูลฉวีต้องมองหน้ากันไปมา ก่อนที่ฉวีฮูหยินจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ และเจ้าบ่าวยังหล่อเหลามากด้วย เจ้าจะ....
“ข้าเต็มใจ”
“__”
ฉวีฮูหยินยังเอ่ยไม่ทันจบ ร่างบอบบางก็แทบจะกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตอบเสียงดังฟังชัด ซ้ำยังคล้ายกลัวว่าคนในห้องจะไม่เชื่อ ยังตะโกนสำทับมาอีกหนึ่งประโยค “เชื่อข้าเถิด ข้ายิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก”
“ดีๆ เจ้าช่างเป็นเด็กรู้คุณคน ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเร่งให้หลัวฮั่นหยางมาแต่งเจ้าภายในสามวันก็แล้วกัน”
ที่ฉวีกู้ต้องรีบจัดการก็ไม่ใช่อะไร เพราะกลัวว่ามี่อิงจะเปลี่ยนใจ หากไปรู้ความจริงเรื่องของเจ้าบ่าว
สรุปว่า ผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวอีกสามวันข้างหน้าก็คือฉวีมี่อิงคุณหนูผู้ตกอับ
จากที่อยู่ห้องเก็บของ มี่อิงก็ได้ย้ายมาอยู่ในเรือน ซ้ำยังต้องวุ่นวายกับการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ด้วยความที่กลัวความลับจะแตก ตระกูลฉวีจึงไม่กล้าเอาสินเดิมออกจนหมด เพียงใส่ของไร้ค่าเข้าไปปะปนจนค่อนหีบ มีของจริงเพียงสี่ห้าชิ้นเท่านั้น
ส่วนสาวโบ๊ะก็แทบจะทนรอไม่ไหวที่จะได้มีผัว
จนกระทั่งถึงวันงาน ขบวนเจ้าบ่าวที่มีเพียงคนสิบกว่าคนพร้อมเกี้ยวสี่คนหามหลังเล็กก็มารับเจ้าสาว ชายหนุ่มชุดแดงบนหลังม้านับว่าหล่อเหลาไม่น้อย แต่หน้าแปลกที่กลับไร้คนสนใจ
ฝั่งตระกูลฉวีเองก็เช่นกัน ทั้งบ้านไม่ยอมเชิญแขกเหรื่อ เพียงแค่เปิดประตูรับขบวนขันมากที่มาถึงพร้อมแม่สื่อ จากนั้นก็รีบส่งตัวเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว
คนอื่นจะคิดอย่างไรนั้น เจ้าสาวไม่รับรู้ เพราะเวลานี้โบ๊ะดีใจจนเนื้อเต้น
“ต้องขออภัยท่านแม่ข้าหน่อยป่วยอยู่ ที่บ้านก็ไม่มีเงินทองจะจัดงานเลี้ยง พวกเราแค่กราบไหว้ฟ้าดินกันก็พอ”
ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มนุ่ม สาวโบ๊ะก็ยิ่งใจละลาย ไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเจ้าบ่าวพูดว่าอะไร
หลังจากผ่านการกกราบไหว้ฟ้าดิน ทั้งจวนตระกูลหลัวก็เหลือเพียงเจ้าบ่าวและเจ้าสาว หลัวฮั่นหยางจูงภรรยาพาเข้าไปในห้องนอน ไม่ใช่ว่าต้องการเข้าหอหรืออะไร เพียงต้องการเปิดผ้าคลุมหน้าดื่มเหล้ามงคล จากนั้นจะได้พาภรรยาไปพบมารดา
ห้องหับถูกตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเก่าๆ คล้ายว่าทำพอเป็นพิธี ไม่ได้หรูหราอะไร แต่นั่นกลับไม่มีผลกับเจ้าสาวที่กำลังถูกฝ่ามือใหญ่จับจูง จุดสนใจของสาวโบ๊ะเวลานี้อยู่ที่มือเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งถูกพาไปนั่งลงบนเตียง
ในตอนที่ผ้าคลุมหน้าถูกเปิดออก เวลาก็คล้ายถูกหยุด โบ๊ะแทบจะเลือดกำเดากระฉูด นั่งอ้าปากน้ำลายยืดมองผู้ชายตรงหน้าตาค้าง เชี้ยยยยย! หล่อกว่าพระเอกในซี่รี่ย์อีก เมิง โอ๊ยๆ กุจะตายแล้ว ผัวขา อุ๊ยๆ
ส่วนที่อีกคนตกตะลึงนั้นก็ไม่ใช่อะไร เพราะเจ้าสาวไม่ใช่ฉวีเซียวลี่ คิ้วเข้มเริ่มขมวดมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของภรรยาที่พึ่งกราบไหว้ฟ้าดินมาด้วยกัน “เจ้าเป็นใคร?”
“หะ! เอ่อ.. น้องก็เป็นเมีย.. เอ้ยไม่ใช่ ภรรยาท่านแล้วไง เมื่อครู่ พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินกันแล้วนี่” โบ๊ะก้มหน้าตอบอย่างเขินอาย บิดกระโปรงไปมา
“ข้าหมายถึงชื่อของเจ้า”
“อ้อ! มี่อิงเจ้าค่ะ ฉวีมี่อิง ท่านพี่เรียกน้องอิงเอ๋อก็ได้”
ฮั่นหยางพิจารณาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาด้วยความรู้สึกประหลาด งดงามน่ะ ก็งดงามอยู่ แต่เหมือนมันมีอะไรแปลกๆ แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน อีกอย่าง หลัวฮั่นหยางหาใช่คนโง่ แค่นี้ก็รู้เจตนาของฉวีกู้แล้ว
สหายบิดาผู้นี้โกงสมบัติของตระกูลหลัวไปจนหมด ทั้งยังเป็นสาเหตุให้บิดาเขาตาย ฉวีกู้คงนึกว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ฮั่นหยางและมารดากลับรู้เรื่องนี้ดี ทั้งยังมีหลักฐานที่บิดาทิ้งไว้ให้จนครบ แต่เพราะฉวีกู้มีเส้นสายมากมาย ฮั่นหยางจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บความแค้นเอาไว้ รอจนฉวีเซียวลี่ถึงวัยปักปิ่นค่อยไปทวงสัญญา
ไม่นึกเลย ว่ากลับได้เด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาแทน ในเมื่อไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ก็คงต้องยอมรับนางแล้วรอไปก่อน อย่างน้อยฉวีมี่อิงผู้นี้ก็คือหลักฐานชั้นดีอีกชิ้นหนึ่ง ที่บ่งบอกถึงการไม่รักษาสัตย์ของตระกูลฉวี
“ดื่มเหล้ามงคลก่อนเถิด ข้าจะพาไปพบท่านแม่”
“พวกเราไม่เข้าหอหรือเจ้าคะ”
ร่างสูงที่กำลังหมุนตัวจะไปเทสุรา ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ร่างกายเครียดขึงขึ้นมาทันที แต่เพียงครู่เดียวฝ่ามือที่เผลอกำเป็นหมัดก็คลายออก ก้าวต่อไปยังโต๊ะ ยกกาสุราขึ้นมารินใส่จอก “เจ้าคงไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องของข้ากระมัง”
“เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“ช่างเถิด เอาไว้ไปพบท่านแม่ก่อน พวกเราค่อยกลับมาคุยกัน”