บทย่อ
สองหญิงสาวที่เกิดในสลัม มีแม่แท้ๆ เป็นโสเภณีติดการพนัน เลยทำให้เธอตกกระไดพลอยโจน ต้องตกเป็นสมบัติของเสี่ยมาเฟียที่มีนิสัยดิบเถื่อนอย่างไม่ยินยอม เพื่อแลกกับการใช้หนี้ขัดดอกแทนแม่ของเธอ “จะรีบไปไหน งานของเธอยังไม่เสร็จ” เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มด้วยความหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังเตรียมตัวจะไปจากเขา “ฉันยังไม่พอ ฉันจะเอาเธออีก!” “แต่หนูไม่ไหวแล้ว ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ”
ครอบครัวของโฉมฉาย
สลัมแห่งหนึ่ง
ในตรอกคับแคบ สองข้างทางถูกปกคลุมด้วยหญ้ารกทึบสลับกับบ้านเรือนของผู้คนนับร้อยนับพันหลัง และสิ่งแวดล้อมบริเวณรายล้อมเต็มไปด้วยมลพิษ พื้นที่ตรงนี้เป็นชุมชนแอดอัดที่ตั้งอยู่แถวๆ ชานเมือง มีประชากรรากหญ้านับพันคนอาศัยอยู่ รวมถึงครอบครัวของโฉมฉาย หญิงหม้ายวัยกลางคนที่มีลูกติดถึงสามคน ลูกคนโตและคนรองเกิดจากพ่อเดียวกัน ส่วนลูกคนสุดท้องมาจากคนละพ่อ
เพราะเธอมีอาชีพค้าประเวณี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นเลยรู้จักเธอเป็นอย่างดี โฉมฉายมีนิสัยติดเหล้าและการพนันอย่างหนัก วันๆ เลยเอาแต่เข้าบ่อน พอตกกลางคืนก็ไปขายตัว แล้วเงินที่ได้จากการขายตัวก็เอามาเข้าบ่อนซะส่วนใหญ่ ทำให้เธอไม่มีเงินเก็บ แล้วลูกๆ ก็ได้เรียบจบแค่มัธยมปลายเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้เข้ามหาวิทยาลัย เพราะโฉมไม่ให้เรียน บังคับให้ลูกออกมาทำงานเลี้ยงดูตัวเอง
“ยัยหนึ่ง ยัยหนึ่ง อีหนึ่งเว้ยยยยย!” โฉมฉายแผดเสียงตะโกนเรียกลูกสาวคนโต ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเพราะเพิ่งเสียพนันไปหมาดๆ
“จ๋าแม่” หญิงสาวตะโกนรับ พร้อมกับวางงานที่ทำอยู่ แล้วลุกขึ้นไปหาผู้เป็นแม่อย่างรีบร้อน เมื่อได้ยินเสียงเรียก
“ฉันแหกปากเรียกแกตั้งนานทำไมไม่ตอบ หูตึงหรือไงวะ!?” พูดจบโฉมก็เดินเข้าไปดึงหูของลูกสาวคนโตอย่างแรง
คนโตเป็นผู้หญิงชื่อหนึ่งอายุ20
คนรองเป็นผู้หญิงชื่อสองอายุ19
และน้องเล็กสุดเป็นผู้ชายชื่อสามอายุ4ขวบ
พ่อของลูกทั้งสาม ได้ทิ้งพวกเขาไปตั้งแต่เด็ก โฉมเลยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและทำตัวประชดชีวิตเรื่อยมา
“หนึ่งล้างจานอยู่หลังบ้านน่ะแม่ เลยไม่ได้ยิน” ร่างบางตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะเธอรู้ดีว่าผู้เป็นแม่มีอารมณ์ร้ายขนาดไหน ถ้าเกิดว่าทำอะไรให้ไม่ถูกใจเธอกับน้องก็มักจะถูกทุบตีอยู่เป็นประจำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็เป็นมาจากผลพวง ที่โฉมเกลียดพ่อของลูกๆ ที่ทิ้งเธอไป
“ไม่ต้องลงต้องล้างมันแล้ว ไปอาบน้ำเตรียมตัว ฉันจะพาแกไปทำธุระ” โฉมเอ่ย ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงขัดสมาธิอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บนพื้นไม้ที่เริ่มจะผุพังอยู่
ร่อมร่อ
“ไปไหนหรอแม่?”
“อย่าถามมากได้มาก ฉันสั่งอะไรก็ไปทำ!”
“ดะ...ได้จ่ะแม่ ถ้างั้นแม่รอหนึ่งแป๊บนึงนะ”
“เออๆ รีบๆ ด้วยล่ะ เวลาเป็นเงินเป็นทอง”
“......” หนึ่งทำหน้างุนงงเล็กน้อย เธอสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะกลัวว่าจะถูกดุเหมือนอย่างเคย
“เสร็จแล้วจ่ะแม่” หนึ่งเดินออกมาจากห้องในชุดเดรสกระโปรงยาวสีชมพู นี่เป็นชุดดูดีที่สุดที่เธอมี
“อะไรของแก เสื้อผ้าดีๆ กว่านี้ไม่มีแล้วหรือไง!?”
“นี่ก็ดีสุดแล้วนะแม่”
“แล้วผมเผ้าทำไมยุ่งเหยิงแบบนี้!”
“ก็แม่บอกให้หนึ่งรีบไม่ใช่หรอจ๊ะ หนึ่งก็เลยไม่ได้ทำผม”
“เออๆ ใส่ชุดนี้ไปก็ได้”
“แล้วน้องไม่ไปด้วยหรอแม่?” หนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อต้องออกจากบ้านแล้วแม่ของเธอไม่ได้พาน้องทั้งสองไปด้วย
“แกไปกับฉันสองคนนี่แหละ ส่วนยัยสองให้มันอยู่เฝ้าบ้าน”
“แล้วแม่จะพาพี่หนึ่งไปไหนหรอจ๊ะ?” สองที่นั่งซักผ้าอยู่หน้าบ้านเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่สาวและแม่กำลังจะเดินออกไปจากบ้าน
“ไปไหนมันก็เรื่องของฉัน แกอย่าสาระแนได้ไหมนังสอง แล้วอย่าลืมป้อนข้าวไอ้สามด้วยล่ะ!”
“ได้จ่ะแม่” สองขานรับคำสั่ง ก่อนจะมองตามพี่สาวและแม่ที่เพิ่งเดินออกจากบ้านไป
“แม่พาฉันมาที่นี่ทำไมหรอ?” หนึ่งเอ่ยถามเมื่อแม่พาเธอมาหยุดยืนอยู่ที่อาคารแห่งหนึ่งที่มีความสูงประมาณห้าชั้น บริเวณรายรอบเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ชุดดำที่เดินวนเวียนขวักไขว่เต็มไปหมด
“ตามฉันมา เดี๋ยวแกก็รู้เอง”
“......” หนึ่งเงียบแล้วยอมเดินตามผู้เป็นแม่เข้ามาในอาคารอย่างว่าง่าย
“มาหาใคร!?” ชายฉกรรจ์ชุดดำรีบเดินมาขวางหน้าของเธอทั้งสองไว้
“มาหาเสี่ย” โฉมตอบ เสี่ยที่ว่าคือคนที่มีอิทธิพลและเป็นเจ้าของคาสิโนที่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงอีกมากมายหลายสาขา
“ได้นัดไว้หรือเปล่า!?”
“เปล่า ไม่ได้นัด”
“ถ้าไม่ได้นัด ก็เข้าไม่ได้!”
“ฉันขอร้องเถอะนะ ฉันขอพบเสี่ยหน่อยนะ” โฉมส่งสายตาอ้อนวอนเมื่อเห็นว่าลูกน้องของเสี่ยไม่ยอมปล่อยให้เธอได้เข้าไปได้ง่ายๆ
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ ไสหัวไป!”
พรึ่บ! ร่างของโฉมลงล้มอย่างแรงเมื่อถูกเหวี่ยงออกมาจากอาคาร เมื่อเห็นดังนั้นหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองผู้เป็นแม่ด้วยความตกใจ
“มะ...แม่!”
“แต่ฉันเดือดร้อนจริงๆ นะ แล้วเสี่ยก็เป็นคนเดียวที่จะช่วยฉันได้” โฉมยกมือไหว้อย่างอ้อนวอน
“ที่นี่ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ พวกแกจะไปขอทานที่ไหนก็ไป!”
“พวกเราไม่ใช่ขอทานนะ!” ร่างบางตอบกลับเสียงแข็ง พร้อมมองหน้าชายหนุ่มชุดดำที่ทำร้ายแม่ของเธอ
“หุบปากของแกไปเลยอีหนึ่ง อย่าทำให้ฉันเสียการเสียงาน!”
“แต่พวกเขา...”
“ฉันบอกให้หุบปาก แล้วออกไปนั่งรอฉันอยู่ตรงนู้น”
“แล้วแม่ไม่ออกไปพร้อมกันกับหนึ่งหรอ?” หนึ่งถามด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งๆที่พวกเขาทำร้ายแม่ แต่แม่ก็ไม่ยอมพาเธอออกไปจากที่นี่
“ฉันมีเรื่องต้องทำ แกออกไปก่อนไป”
“......”
“บอกให้ไปก็ไปสิวะ ออกไป!” เมื่อเห็นท่าทางดื้อดึงของหนึ่ง โฉมจึงผลักอกลูกสาวจนเซถลาออกไป
“หนึ่งไม่ไป หนึ่งจะอยู่กับแม่”
“นี่พวกแกจะยืนพร่ำอีกนานไหม ไสหัวออกไปได้แล้ว ขืนนายออกมาเห็นจะพาลเดือดร้อนไปกันหมด” ชายฉกรรจ์อีกคนเอ่ย
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะได้พบเสี่ย” โฉมยังยืนยันคำเดิม เธอมุ่งมั่นตั้งใจไว้แล้วว่าต้องมาพบเสี่ยให้ได้ แล้วเธอก็จะไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้พบเขา
“นี่แกพูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ เดี๋ยวปั๊ด!”
“อย่าทำอะไรแม่ฉันนะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วย” หนึ่งรีบวิ่งไปขวางเอาไว้ เมื่อเห็นว่าชายชุดดำคนนั้น กำลังจะเอาด้ามปืนตบแม่ของเธอ
“แจ้งตำรวจงั้นหรอ?” พวกชายฉกรรจ์ชุดดำที่ยืนอยู่แถวนั้นต่างหันมามองเมื่อได้ยินร่างบางบอกว่าจะแจ้งตำรวจ พวกเขาต่างหันหน้ามองกันด้วยความเลิ่ก
ลั่ก
“ใช่! ถ้าพวกพี่ทำร้ายแม่ฉันอีก ฉันจะไปแจ้งตำรวจ!” หนึ่งยังคงยืนยันเสียงแข็ง เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ที่อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ยังเกรงกลัวกฏหมายอยู่บ้าง
“ฮ่าๆๆๆๆ ไปแจ้งดิ ไปแจ้งเลย พวกกูไม่กลัวหรอกเว้ย” พวกเขาต่างพากันหัวเราะตะโกนกันจนสุดเสียงเมื่อได้ยินประโยคที่ไร้สาระนั่น มันไม่ได้เป็นอย่างที่หนึ่งคิด พวกเขาไม่ได้กลัวคำขู่ของเธอ
แกร้ก~ เสียงประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก ก่อนจะปรากฎร่างของใครบางคน เขามีความสูงราวๆ 190เซนติเมตร รูปร่างสูงโปร่ง สีผมดำขลับตัดกับสีผิวขาวซีดราวกับคนไม่มีเลือดมีเนื้อ
“พวกมึงแหกปากอะไรกัน!?”
พอได้ยินน้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้เป็นนาย บริเวณโดยรอบก็เงียบสงัดลงในทันทีราวกับว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างพากันก้มหน้าไม่มีใครกล้าเอ่ยปากใดๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตะคอกหรือส่งเสียงดัง แต่ก็สามารถทำให้คนที่ได้ยินต้องเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
เขาตวัดสายตาคู่คมมองมาทางเธอกับแม่ที่ยืนอยู่เพียงครู่ ก่อนจะหันกลับไป หนึ่งยืนจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายที่ยืนห่างจากเธอไปราวๆ 20เมตร แต่ ความหล่อของเขายังคงแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน ถึงแม้เขาจะดูดีมากในสายตาเธอ แต่เขาก็ดูอันตรายมากเช่นกัน