ชะตาฟ้าลิขิต (30%)
เมื่อโชคชะตาไม่เข้าข้างคนอับจนหนทางอย่างมัลลิกา แดนไทยก็มีอันต้องได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม ทั้งโดนลอบทำร้ายและมีแผลที่เท้าปรากฏขึ้นมาอีก และคราวนี้หมอก็ลงความเห็นแล้วว่าจะต้องใช้ยาอิมมูโนไคน์รักษาแดนไทย ไม่อย่างนั้นเชื้อโรคก็จะลุกลามและขยายวงกว้างให้ยากต่อการรักษา และอาจจะต้องตัดนิ้วเท้าทิ้งในที่สุด ซึ่งมัลลิกาก็ได้ลั่นวาจาให้คุณหมอทำการรักษาได้เลย ค่ารักษาพยาบาลมากเท่าไรเธอก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงให้แดนไทยหายเป็นปกติก็พอ
หลังจากที่กล่อมลูกชายจนหลับไป มัลลิกาก็ออกมาเดินปลดปล่อยอารมณ์ที่ด้านนอกห้องคนป่วย จนเตลิดมาถึงสวนหย่อมเล็กๆ ที่บริเวณด้านหลังของโรงพยาบาล หัวคิ้วเรียวสวยย่นเข้าหากันจนแทบจรด ด้วยความแปลกใจที่คนร้ายซึ่งตามเอาชีวิตของแดนไทยหายไปกว่าสามปีกลับมาอีกครั้ง มันนานเสียจนเธอกับลูกสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ พอๆ กับที่พูดภาษาสวีเดนได้คล่องปรื๋อราวกับเป็นเจ้าของภาษา
ใครจะรู้ว่าชีวิตของมัลลิกา เรืองวัฒนา สาวสวยวัยยี่สิบเจ็ดปี จะผกผันจนต้องมานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บริเวณสวนหย่อมหลังโรงพยาบาล หากไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในวันนี้ หญิงสาวก็ชักจะลืมเลือนไปแล้วว่าเหตุไฉนเมื่อห้าปีก่อนตนถึงต้องหอบเด็กชายแดนไทย เรืองวัฒนา ระเห็จจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยอยู่กับญาติห่างๆ อย่างคุณครูมารีญาที่ประเทศสวีเดน
แดนไทยเป็นลูกชายของเจนสิทธิ์ กับ มาลินี อริยโภคทรัพย์ ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของมัลลิกา มาลินีเป็นผู้หญิงน่าสงสารที่ถูกสามีไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิด สุดท้ายเธอก็ตรอมใจตายหลังจากที่คลอดแดนไทยได้เพียงสามเดือน ส่วนเจนสิทธิ์ก็โดนลอบสังหาร จบชีวิตลงหลังจากที่มาลินีจากไปยังไม่ทันจะถึงเดือน ทำให้มัลลิกาต้องรับแดนไทยมาเป็นลูกของตัวเอง ยอมให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อ ทั้งที่เพิ่งจบมัธยมหมาดๆ แต่ยังดีที่ตอนนั้นป้าของเธอได้ช่วยเลี้ยงดูแดนไทยอีกแรง ทำให้มัลลิกาฝ่าฟันความยากลำบากในช่วงเรียนปริญญาตรีมาได้สำเร็จ
จากประเทศไทยมาอาศัยอยู่ในต่างแดน ใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ มาเป็นเวลาห้าปีเต็ม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นเพราะว่าคนในตระกูลอริยโภคทรัพย์ต้องการชีวิตของแดนไทย เด็กน้อยผู้มีสายเลือดของอริยโภคทรัพย์อยู่ครึ่งตัว เพียงเพื่อหวังว่าทายาทนอกคอกอย่างแดนไทยจะได้ไม่มีส่วนแบ่งในมรดกนับพันล้าน ทั้งที่มัลลิกาให้ลูกชายใช้นามสกุลของตัวเองแล้ว แต่เหตุไฉนคนชั่วพวกนั้นยังตามราวีเธอกับแดนไทยไม่เลิก
คิดถึงคำพูดของหมอแล้วเธอก็เศร้าใจยิ่งนัก แดนไทยยังเด็กอยู่แท้ๆ จะมาถูกตัดนิ้วเท้าข้างขวาทิ้งไปตั้งสองนิ้ว แล้วเด็กน้อยจะทำใจได้หรือ แล้วเธอจะปลอบลูกว่าอย่างไร ตอนแรกคิดว่าคงไม่ต้องใช้ยาของคนเป็นมะเร็งรักษาแดนไทยแล้ว แต่เมื่อเขาถูกทำร้ายอย่างนี้ แผลที่เพิ่งตกสะเก็ดก็กลับมาเหวอะหวะอีกครั้ง ออกจากโรงพยาบาลยังไม่ทันจะครบอาทิตย์แดนไทยก็ต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีกรอบ
“สองอาทิตย์ เราจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกัน” เสียงหวานบ่นงึมงำกับตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม แต่ถึงอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมให้แดนไทยถูกตัดนิ้วเท้าไปอย่างแน่นอน ลูกชายของเธอต้องมีอวัยวะครบสามสิบสองส่วน ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคตวันข้างหน้า
“ไม่ว่ายังไงแดนไทยก็ต้องไม่ถูกตัดนิ้วเท้า ลูกของเราจะต้องครบสามสิบสองส่วน” มัลลิกาพร่ำบอกกับตัวเองอย่างนี้หลายครั้งหลายคราราวกับคนเสียสติ บ้างก็น้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น ความกดดันที่กำลังบีบคั้นหัวใจทำให้เธออยากจะเจ็บแทนลูกเสียเองถ้าสามารถทำได้
“เฮ้อ…ฉันควรทำยังไงกับชีวิตดีนะ” หลังจากนั่งทอดอาลัยมาพักใหญ่ มัลลิกาก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังพรืด ก่อนที่ริมฝีปากสีกุหลาบจะขยับรำพันด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว ใบหน้างามมีแววอมทุกข์อย่างเห็นได้ชัด
“ฉันคงต้องไปหางานเสริมอีกแล้วสินะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจหาทางออกให้กับตัวเองได้ งานเสริมที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นการทำงานในผับ เพราะงานกลางคืนค่อนข้างให้ค่าตอบแทนสูงเพียงแค่ทำงานไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะตัดสินใจโทร.ไปสอบถามตำแหน่งที่ว่างในผับหรูแห่งหนึ่งที่เพื่อนร่วมงานแนะนำมา
หลังจากที่ถูกผู้จัดการผับไล่ออก เพราะผู้ชายกักขฬะและหื่นจิตอย่างแอรอน มอร์แกน เป็นต้นเหตุ มัลลิกาก็เดินย่ำต๊อกหาสมัครงานทั่วไป แม้กระทั่งหน้าที่เด็กล้างจาน เพราะลำพังงานประจำในตำแหน่งมัณฑนากรที่เธอทำอยู่ในบริษัทเอกชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มันไม่พอกับค่าใช้จ่ายมากมาย แต่ก็ยังไม่มีตำแหน่งว่างสำหรับเธอเลย ทุกที่ตอบเพียงว่าหากมีตำแหน่งว่างจะติดต่อกลับ ทำให้มัลลิกาแทบหมดกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อไป
หากแต่ในความมืดมิดและสิ้นหวังนั้น อยู่ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เธอร่อนใบสมัครไว้เมื่อเดือนที่แล้วก็เรียกตัวไปสัมภาษณ์ในตำแหน่งมัณฑนากร ดังนั้นวันนี้มัลลิกาจึงได้มายืนอยู่ที่ลักษณ์ณารา เดคเคอเรต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของตระกูลคอฟอร์ด ที่มีลักษณ์ณารา คอฟอร์ด นั่งแท่นเป็นประธาน แต่ข่าววงในบอกว่าช่วงนี้เธอกำลังท้องอ่อนๆ ฉะนั้นสามีอย่างมาร์โบโล คอฟอร์ด จึงขันอาสามารับหน้าที่ดูแลแทนภรรยาสุดที่รักทั้งหมด
ถึงแม้ที่นี่จะเพิ่งเปิดตัวมาได้แค่สามปีเต็ม แต่ก็สามารถผงาดขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ด้วยรูปแบบการทำงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งลักษณ์ณาราได้นำความรู้ความสามารถในฐานะจิตรกรมาประยุกต์ใช้ บวกกับการเฟ้นหาคนเก่งๆ มาร่วมงาน ดังนั้นการตกแต่งบ้านจึงเน้นไปทางงานศิลปะเป็นหลัก ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจและนิยมชมชอบในหมู่ผู้คลั่งไคล้บ้านสไตล์อาร์ทๆ
“เฮ้ย…คุณมัลลิกานี่หว่า” คนที่เพิ่งมาถึงบริษัทในตอนสายของวันจันทร์อุทานออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจ พลางหรี่ตาลงมองสาวเอเชียร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“นายว่าอะไรนะครับ” ผู้ที่เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเลขาฯ แทนคาร์ลอสถามเจ้านายด้วยความไม่แน่ใจ พร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่น เพราะเมื่อกี้เขาไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
“ผู้หญิงคนนั้นมาทำอะไรที่นี่วะ ไอ้ฟรานซิส” เจ้าของร่างทรงพลังขยับปากหยักถามไถ่ลูกน้องคนสนิท พลางทอดนัยน์ตาสีควันบุหรี่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปไม่ขาดระยะ
“คนไหนครับนาย” เลขาฯ หนุ่มทำหน้าเหลอหลา เพราะไม่ทราบว่าเจ้านายของตัวเองกำลังพูดถึงผู้หญิงคนไหนกันแน่ เวลานี้ในโถงของบริษัทมีผู้หญิงอยู่เป็นสิบ และสายตาของเจ้านายเขาก็ดูนิ่งเฉยจนจับความรู้สึกไม่ได้ ถ้าเป็นเวลามองนายหญิงก็ว่าไปอย่าง
“คนที่เดินตามหลังหัวหน้าแผนกมัณฑนากรโน่นไง” มาร์โบโลว่าพลางพยักพเยิดไปยังเบื้องหน้า แล้วฟรานซิสก็ได้รู้ว่าคนที่เจ้านายกล่าวถึงและดูให้ความสนใจคือใคร
“อ๋อ…เธอคงจะเป็นมัณฑนากรคนใหม่ล่ะครับ เพราะเห็นนายหญิงสั่งประกาศรับสมัครไปเมื่อเดือนที่แล้ว นี่คงเพิ่งจะคัดเลือกเสร็จ” สันนิษฐานจากการได้รับรู้จากหัวหน้าฝ่ายบุคคลมาคร่าวๆ
“แกไปเอาประวัติเธอมาให้ฉันด้วยนะ” กล่าวเพียงสั้นๆ แล้วก้าวขาเข้าไปในลิฟต์สำหรับผู้บริหาร เพื่อไปยังห้องทำงานบนชั้นสูงสุดของอาคารคอฟอร์ด ทาวเวอร์
“เอ่อ…ไม่ทราบว่านายสนใจเธอเหรอครับ” คนปากไม่เคยอยู่เป็นสุขเริ่มเรียบๆ เคียงๆ ถามไถ่เจ้านายหนุ่มอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไอ้เวรฟรานซิส แกจะหาเรื่องปวดกบาลมาให้ฉันหรือยังไงวะ อย่าไปพูดให้เมียฉันได้ยินเป็นอันขาด” เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเลบอลติกถึงกับสบถใส่หน้าลูกน้อง ท้ายประโยคกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะไม่ต้องการมีเรื่องผิดใจกับเมียรัก
“ถ้านายไม่สนใจเธอ แล้วให้ผมไปเอาประวัติมาให้ดูทำไมครับ” เลขาฯ หนุ่มยังคงซักไซ้ไล่เลียงราวกับอีกฝ่ายตกเป็นจำเลย ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มฉุนเฉียวขึ้นมาทันควัน
“ฉันเป็นเจ้านาย ไม่ใช่ลูกไล่ของแกนะโว้ย!” มาร์โบโลโวยลั่น ใบหน้าคร้ามคมถมึงทึง อยากจะเตะไอ้ลูกน้องตัวแสบให้กระเด็นออกจากลิฟต์ยิ่งนัก โทษฐานที่มันยียวนกวนบาทาไม่เลิก
“ถ้านายไม่บอกมาดีๆ ผมจะไปฟ้องนายหญิงว่านายแอบมีอีหนู” ได้ทีฟรานซิสก็ยกภรรยาของเจ้านายขึ้นมาข่มขู่อย่างเป็นต่อ
“ไอ้ห่าฟรานซิส ฉันไม่ได้มีอีหนูโว้ย ฉันรักเดียวใจเดียว ที่ฉันสนใจเธอก็เพราะว่าเธอเคยช่วยชีวิตเมียกับลูกฉันเอาไว้” กระชากคอเสื้อเลขาฯ หนุ่ม พลางง้างหมัดขึ้นกลางอากาศหวังจะซัดลงที่ปากหาเรื่องสักที แต่ก็ต้องสูดลมหายใจระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดปุดๆ เอาไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนจะตะเบ็งเสียงห้าวกระด้างใส่หน้าลูกน้องด้วยความกราดเกรี้ยวสุดขีด
“ถ้านายพูดอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกเรื่องก็จบ” เลขาฯ หนุ่มไหวไหล่เบาๆ ได้อย่างน่าประเคนลูกถีบงามๆ ให้สักทีสองทียิ่งนัก
“แล้วอย่าลืมไปทำตามที่ฉันสั่งล่ะ” เจ้าพ่อหนุ่มสั่งเสียงเข้มติดจะดุ ยิ่งแต่งตั้งมันขึ้นมาเป็นเลขาฯ แทนคาร์ลอสที่ต้องไปประจำอยู่บนเรือสำราญแกรนด์เพิร์ล เขายิ่งรู้สึกจะเป็นประสาท ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ไม่ให้ฟรานซิสลงเรือไปพร้อมกับคาร์ลอส
“ได้เลยครับเจ้านาย” ค้อมหัวรับคำด้วยมาดทะเล้น ก่อนที่เลขาฯ หนุ่มจอมกวนประสาทเป็นที่หนึ่งจะเดินผิวปากฮัมเพลงออกจากลิฟต์ตามหลังเจ้านาย
เมื่อกลับถึงบ้าน มาร์โบโลก็รีบขึ้นไปหาภรรยาที่ชั้นสองของคฤหาสน์คอฟอร์ดทันที หลังจากเปิดประตูก็สืบเท้าเข้าไปหาร่างที่นอนตะแคงหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ร่างทรงพลังของเจ้าพ่อหนุ่มมาดเข้มก็ค่อยๆ ลงไปนอนซ้อนแผ่นหลังบอบบาง วาดแขนกำยำไปตระกองกอดร่างนุ่มนิ่มของเมียรัก ก่อนจะทักทายเจ้าตัวน้อยด้วยการวางมือทาบลงที่หน้าท้องแบนราบแล้วลูบไล้เบาๆ ด้วยความรักใคร่อย่างสุดหัวใจ หากแต่การกระทำอันแสนแผ่วพลิ้วกลับสามารถปลุกให้คนตัวเล็กตื่นจากภวังค์หวานได้ แต่แทนที่ลักษณ์ณาราจะลุกขึ้นมาทักทายสามีด้วยจุมพิตหวานๆ เหมือนอย่างเช่นเคย เธอกลับพลิกมาซุกตัวในซอกอกอุ่น แล้วผ่อนลมหายใจเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
“เมียจ๋า…” เสียงหวานกระซิบชิดดวงหน้าพริ้มเพราอย่างอ้อนๆ ก่อนที่จะแกล้งเป่าลมหายใจผ่าวระอุราดรดต้นคอขาวเนียนแผ่วพลิ้ว สร้างความซ่านสยิวให้แก่คนถูกกระทำอยู่ไม่น้อย หากแต่เจ้าของร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวลก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมาเสวนากับคนตัวโตอยู่ดี
“ฮื้อ…อย่ากวนสิคะ น้ำจะนอน” เสียงขุ่นครางขู่ในลำคอน้อยด้วยความขัดใจ พลางพลิกกายกลับไปนอนตะแคงหันหลังให้สามีตัวโตดังเดิม
“ลุกขึ้นมาคุยกันหน่อยไม่ได้เหรอทูนหัว ไม่ได้คุยกับคุณตั้งครึ่งวัน ผมเหงาปากจะตาย” ขยับเรือนกายใหญ่เข้าประชิดร่างเย้ายวน ก่อนจะก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น พร้อมงึมงำเย้าแหย่อย่างนึกสนุก