ชะตาฟ้าลิขิต (100%)
“ด้วยความยินดีครับ เจ้าชายตัวน้อยของแม่” ว่าพลางฝังจมูกลงจุมพิตแก้มนิ่มทั้งสองข้าง ก่อนจะโอบประคองร่างน้อยขึ้นรถเข็น และเข็นกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บุรุษพยาบาลเดินผ่านหน้าห้อง มัลลิกาจึงก้าวยาวๆ ไปวานให้อีกฝ่ายอุ้มลูกชายขึ้นมาวางบนเตียงให้ เพราะแดนไทยค่อนข้างหนัก และเธอก็เกรงว่าหากอุ้มลูกเองอาจจะพลาดพลั้ง จนทำให้อีกฝ่ายเจ็บหนักกว่าเดิม
“แม่ลิก้าครับ แดนเป็นอะไร ทำไมถึงต้องฉีดยาที่ท้องทุกวันด้วยครับ” แดนไทยเอียงคอถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย แรกๆ เขาก็กลัวเข็มจนร้องไห้โฮ แต่พอบ่อยเข้าพ่อหนุ่มน้อยก็ชักจะชิน คำถามใสซื่อทำให้มือบางที่ลูบศีรษะน้อย หยุดชะงักในชั่วพริบตา
“เอ่อ…” มัลลิกาถึงกับสะอึกไปชั่วขณะ หัวตาของคุณแม่คนสวยร้อนผ่าว ด้วยเกรงว่าถ้าลูกได้รู้ความจริงแล้วจะร้องไห้เสียใจ
“แม่ลิก้าบอกมาเถอะฮะ แดนอยากรู้ แดนสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้” เสียงน้อยเริ่มคะยั้นคะยอ แดนไทยพูดเหมือนเข้ามานั่งในใจของผู้เป็นแม่ ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะรู้ใจมัลลิกาได้มากกว่าแดนไทยอีกแล้ว ตัวกระเปี๊ยกแค่นี้ยังสามารถจับความรู้สึกผ่านทางสายตาของเธอได้
“แดนเป็นโรคเบาหวานครับลูก เพราะฉะนั้นแดนถึงต้องฉีดอินซูลินแบบนี้ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ถ้าแดนขยันกินยาและทำตามที่คุณหมอบอก อีกไม่นานแดนก็จะดีขึ้น และอาจจะไม่ต้องฉีดยาอีกเลยก็ได้” คนเป็นแม่พูดให้กำลังใจลูกได้อย่างน่าฟังทำให้แดนไทยถึงกับหูผึ่ง
“จริงเหรอครับ แม่ลิก้า!” ถามพร้อมทำตาลุกวาวจนคนมองต้องอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก็น่ารักน่าชังแบบนี้แล้วจะไม่ให้เธอหลงเสน่ห์พ่อคุณได้อย่างไรไหว
“จริงสิลูก” หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ พลางก้มลงจรดจมูกรั้นจุมพิตหน้าผากเกลี้ยงเกลาด้วยความรักใคร่อย่างสุดหัวใจ
“แล้วทำไมแม่ลิก้าต้องให้แดนพกลูกอมติดกระเป๋าตลอดเวลาด้วยครับ” คนที่ซบอยู่กับอกอันแสนอบอุ่นของแม่ผงกหัวขึ้นมาทำตาแป๋วถามไถ่
“เพราะถ้าแดนรู้สึกเหนื่อยก็ให้รีบอมไงล่ะครับ โรคจะได้ไม่กำเริบ แถมวันไหนได้ลูกอมใส่กระเป๋าติดตัวไปเยอะๆ ก็สามารถเอาไปฝากเพื่อนๆ ที่โรงเรียนได้ด้วย” มัลลิกามีศิลปะในการพูดให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้นแดนไทยจึงไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่มันหนักหนาสาหัส
“อย่างนี้นี่เอง แดนไม่รู้ก็เลยแจกเพื่อนตั้งแต่ไปถึงโรงเรียน หมดเกลี้ยงเลยฮะ” หนุ่มน้อยบอกแม่อย่างอายๆ พลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ จนมัลลิกาต้องยกมือขึ้นยีหัวด้วยความมันเขี้ยว
“งั้นวันหลัง ถ้าแดนได้ลูกอมติดกระเป๋าไปเยอะๆ ก็เอาไปฝากสาวๆ ที่โรงเรียนได้สิครับ แม่ลิก้า” วายร้ายตัวน้อยขยิบตาให้แม่ด้วยท่าทางก๋ากั่นทำให้มัลลิกาต้องยิ้มจนตาหยี
“เซี้ยวใหญ่แล้วพ่อตัวแสบ แม่อนุญาตให้หลีสาวได้ แต่ห้ามทำเจ้าชู้มือไวนะครับ เพราะผู้หญิงเขาชอบผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษ” เสียงหวานพร่ำบอกและสอนลูกชายอย่างใจเย็น ครั้นจะเคร่งครัดก็ใช่ที่ เพราะนี่คือโลกตะวันตก เธอพาลูกมาใช้ชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่อิสระเสรีในทุกๆ ด้าน ฉะนั้นจะต้องทำใจให้กว้างเข้าไว้
“แดนจะเป็นสุภาพบุรุษครับผม” หนุ่มน้อยยืดอกบอกอย่างกล้าหาญ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักให้ดังลอดออกมาจากปากอิ่มสีระเรื่อได้เป็นอย่างดี
“ดีมากลูก” มัลลิกาชมเปาะพร้อมทั้งระบายยิ้มหวานออกมาเต็มใบหน้างดงาม ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น สักพักคนเป็นแม่ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงเชยคางลูกชายขึ้นมามองหน้า
“แดนหิวหรือยังครับลูก” ขยับริมฝีปากเต็มตึงถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทันที เพราะมื้อเที่ยงเห็นพ่อหนุ่มน้อยกินข้าวเข้าไปได้เพียงนิดเดียว
“หิวแล้วครับ แม่ลิก้า แต่แดนไม่อยากกินอาหารของโรงพยาบาล มันไม่อร่อย”
มัลลิกาดุลูกชายไม่ลงเพราะอาหารที่พยาบาลยกมาเสิร์ฟเด็กน้อยไม่อร่อยจริงๆ จากที่เธอได้ลองชิมดูในเช้าเมื่อวาน มันจืดชืดจนแทบคิดว่าทางโรงพยาบาลขาดแคลนน้ำปลา นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าทางโรงพยาบาลต้องการให้คนไข้กินอาหารอ่อนๆ จะได้ง่ายต่อระบบย่อยและระบบขับถ่าย
“แล้วแดนอยากกินอะไรล่ะครับ แม่จะได้ไปซื้อให้” เสียงหวานละมุนเอ่ยถามคนป่วยตัวจ้อยอย่างเอาใจ พลางรีบฉวยกระบอกน้ำเปล่าขึ้นมารินใส่แก้วให้ เมื่อเห็นลูกชายมองน้ำตาละห้อย
“แดนอยากกินพิซซ่าครับ แม่ลิก้า” หลังจากดื่มน้ำไปหลายอึกจนคลายอาการกระหาย แดนไทยก็บอกถึงอาหารที่ตนอยากกินเสียงใสแววตาเป็นประกาย
“งั้นแดนรออยู่นี่นะลูก แม่ออกไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมา” ขณะที่ปากขยับบอกเจ้าตัวน้อย ร่างเพรียวระหงของคุณแม่คนสวยก็เคลื่อนไปหยิบกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลใบย่อมที่บรรจุกระเป๋าเงินใบจิ๋วและโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“แดนเปลี่ยนใจไม่กินพิซซ่าแล้วครับ แม่ลิก้า” สายตาคมคายเห็นผู้เป็นแม่กำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอกตามที่ได้พูด แดนไทยก็ส่งเสียงบอกเร็วไว
“อ้าว…ทำไมล่ะครับ คนดี ไหนแดนบอกอยากกินพิซซ่าไงลูก” มัลลิกาลดมือที่กำลังบิดลูกบิดประตูลงแนบลำตัว แล้วเดินกลับมาหาลูกชายด้วยสีหน้าสงสัย
“แดนไม่อยากอยู่คนเดียวครับ แดนกลัว” แดนไทยปล่อยโฮออกมาทันทีที่กล่าวจบประโยค มัลลิการีบเข้าไปกอดร่างที่กำลังสะอื้นจนตัวโยนเพราะเสียขวัญ
“โอ๋…ไม่เอาไม่ร้องนะครับ ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง” เสียงหวานเอ่ยปลอบประโลมคนที่กำลังสะอื้นฮักอยู่แนบอก พลางลูบไล้ศีรษะน้อยเบาๆ
“แต่แดนกลัวครับ แม่ลิก้า ผู้ชายคนนั้นจะฆ่าแดน” เพียงแค่สมองน้อยๆ กระหวัดคิดไปถึงชายหน้าเหี้ยมที่เข้ามาทำร้ายโดยการจับหมอนกดจนเขาดิ้นทุรนทุราย แดนไทยก็ถึงกับหน้าซีดเผือด ร่างน้อยสั่นเทาราวลูกนกตกน้ำด้วยความหวาดผวาและตื่นกลัวสุดขีด
“ชู่ว์…ไม่เอาครับลูก ไม่พูดถึงมันแล้ว แม่สัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับแดนอีก” เธอจะปกป้องเด็กน้อยอย่างสุดความสามารถ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตคนพวกนั้นก็จะไม่อาจมาทำอะไรลูกชายของเธออย่างเช่นวันนั้นได้อีก
“แดนรออยู่นี่นะครับ แม่จะไปเรียกคุณพยาบาลมาอยู่เป็นเพื่อน” บอกลูกชายแล้ว หญิงสาวก็ต่อสายไปถึงเคาน์เตอร์ข้างหน้าที่พยาบาลนั่งประจำอยู่ แล้ววานให้พยาบาลสาวที่คุ้นเคยกับลูกชายมาอยู่เป็นเพื่อนแดนไทย จากนั้นก็เดินไปฉวยกระเป๋าที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้ตอนลูกน้อยงอแงไม่ยอมให้ออกจากห้อง
“แม่ลิก้าจะไม่ทิ้งแดนใช่ไหมครับ” ใบหน้าน้อยๆ ที่เปื้อนคราบน้ำตาเงยขึ้นมามองแม่ด้วยสายตาหวั่นวิตก พลางขยับตัวเข้าไปโอบรอบเอวคอดของคนที่ยืนชิดขอบเตียง
“เรามีกันแค่สองคน แม่จะทิ้งลูกชายสุดหล่อของแม่ได้อย่างไรครับ คนดี เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้วลูก” แขนเรียวข้างขวาวาดไปโอบร่างสั่นเทาเข้าแนบอก แล้วยกมือข้างที่ว่างลูบหัวน้อยเบาๆ
“งั้นแม่ลิก้า รีบกลับมานะครับ” เด็กชายแดนไทยเงยหน้าบอกแม่อย่างจริงจัง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะทิ้งตนไว้คนเดียวนานๆ
“ครับลูก แม่จะรีบกลับมานะครับ” มัลลิกาเอ่ยปากสัญญากับลูกชายอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะอยากจะออกไปซื้อของกินให้เขา อยากให้ลูกทานอาหารได้เยอะๆ จะได้หายเร็วๆ
“แม่ลิก้าใส่เสื้อกันหนาวด้วยนะครับ ข้างนอกมันหนาว” เสียงน้อยร้องเตือนผู้เป็นแม่เบาๆ แววตาที่ทอดมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนคนถูกมองถึงกับน้ำตาซึม แววตาคู่นี้ช่างเหมือนเวลาที่มาลินี พี่สาวผู้ล่วงลับไปแล้วมองเธอยิ่งนัก ลูกชายของเธอถอดแบบผู้เป็นแม่แท้ๆ อย่างมาลินีมาแม้กระทั่งสีของดวงตา
“จ้ะลูก” เสียงเครือตอบลูกเบาๆ เห็นเจ้าตัวน้อยเอาแต่ซบหน้านิ่งกับอก มัลลิกาก็รีบยกปลายนิ้วขึ้นกรีดน้ำใสๆ ออกจากหางตาเร็วไว ด้วยเกรงว่าลูกชายจะเห็นความอ่อนแอของตัวเอง ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเนียนใสทั้งสองข้าง แล้วสองแม่ลูกก็โบกมือให้แก่กัน
เมื่อความหนาวเริ่มเข้ามาปกคลุมเรือนกาย ส่วนที่หนาวที่สุดในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นมือน้อยทั้งสองข้าง เพราะลืมหยิบถุงมือมาด้วยจึงต้องซุกมันลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวใหญ่ เมื่อเผลอไปสะกิดเข้ากับกระดาษแผ่นน้อยหัวคิ้วเรียวสวยก็ย่นเข้าหากันด้วยความสงสัย หยิบออกมาดูถึงได้รู้ว่ามันคือนามบัตรของมาร์โบโล คอฟอร์ด เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลทั้งทางการเงินและอำนาจ ถึงเขาจะให้นามบัตรใบนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่เธอก็ไม่ได้หยิบมันออกมาดู เพราะเพิ่งใช้เสื้อโค้ทตัวนี้เป็นครั้งแรกในรอบสามปี
“ฉันลืมคุณไปได้ยังไงนะ มิสเตอร์มาร์โบโล คอฟอร์ด” มัลลิกาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ดวงตากลมใสส่องประกายเรืองรองไปด้วยความหวัง แต่ไม่นานก็พลันหม่นแสงลง เพราะถึงแม้ตอนนี้เธอจะทำงานอยู่ที่บริษัทของมาร์โบโล และที่สำคัญหญิงสาวก็ขึ้นชื่อว่าเคยมีบุญคุณอันใหญ่หลวงกับภรรยาและลูกของเขา แถมเมื่อสามปีก่อน เขายังยื่นนามบัตรให้พร้อมเสนอความช่วยเหลือด้วยท่าทางเป็นมิตรระคนจริงใจ หากแต่มัลลิกาก็ยังไม่ไว้ใจมาร์โบโล คอฟอร์ด อยู่ดีนั่นแหละ เพราะคนเรารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ
อีกทั้งการถูกไล่ล่าจากคนร้ายจนนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เธอเกิดความหวาดระแวงและวิตกกังวลจนไม่อาจไว้ใจใครได้ง่ายๆ และหากจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ มัลลิกาก็ขอได้สืบประวัติของเขาจากเพื่อนร่วมงานไปทีละนิด และคอยสังเกตพฤติกรรมของเจ้าพ่อหนุ่มให้นานๆ กว่านี้ก่อน เพราะถ้าตัดสินใจผิดพลาด ผลที่ตามมาก็อาจจะหมายถึงชีวิตของแดนไทย และหากเป็นเช่นนั้นหัวใจคนเป็นแม่อย่างเธอคงแหลกเป็นผุยผง
“เฮ้อ…อยากมีฮีโร่อย่างคุณมาคอยดูแลฉันกับลูกบ้างจัง มิสเตอร์แบล็กแมน” ร่างบางยืนถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ตรงโถงทางเดินไม่ไกลจากห้องคนป่วยมากนัก
อยู่ๆ หัวสมองน้อยที่กำลังตัน เพราะหาทางออกให้กับปัญหาไม่เจอ ก็พลันผุดภาพในหลายอริยาบถของชายชุดดำปริศนา ที่มีพาหนะเป็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำ ซึ่งเธอจำเลขทะเบียนได้ขึ้นใจว่ามันคือ AM-999 มัลลิกาจึงรำพันออกมาอย่างเพ้อฝันกับตัวเองเบาๆ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างแปลกประหลาด
ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋าทำให้คนที่กำลังจะก้าวขาข้ามถนนต้องถอยหลังกลับมาตั้งหลักบนริมฟุตบาทดังเดิม หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นเบอร์ไม่คุ้นโชว์หราอยู่ที่หน้าจอ ปล่อยให้โทรศัพท์เครื่องจิ๋วกรีดร้องสักพักด้วยกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะรับดีไหม สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ” กรอกเสียงลงไปในสายด้วยความสุภาพ เพราะไม่รู้ว่าบุคคลนิรนามคือใคร จากนั้นก็ตั้งใจเงี่ยหูฟังว่าคนโทรมาจะมีธุระอะไร ใจหนึ่งก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นสายไม่พึงประสงค์ที่คอยตามมาราวีเธอกับแดนไทยไม่หยุดหย่อนในช่วงนี้
“ฉันโทรมาจากผับลิเวอร์ฟรองซ์นะคะ ทางเรารับคุณเข้าทำงานแล้วค่ะ วันพรุ่งนี้ผู้จัดการให้คุณมาเริ่มงานได้เลย” ต้นสายบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบฟังดูสุขุม แต่ปลายสายกำลังใจเต้นด้วยความยินดีปรีดาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ใจจริงหากไม่เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทมัลลิกาจะตะโกนออกมาให้ลั่นเลยเชียว
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ” เสียงหวานละล่ำละลักขอบคุณอีกฝ่ายทั้งน้ำตา นี่ถือเป็นข่าวดีในรอบสามเดือนของเธอเลยก็ว่าได้ หญิงสาวหวังเพียงว่ามรสุมชีวิตจะค่อยๆ พัดผ่านเลยไป และความสุขสดใสจะกลับเข้ามาแทนที่