29
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า” หมอทัพพ์เอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงแสดงออกถึงความห่วงใยไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่หล่อนไม่สบายสมัยที่ยังเป็นเด็ก…….เขายังไม่ได้ถามต้นสายปลายเหตุเพราะหลังจากที่ทำการปฐมพยาบาลแล้ว บุ้งกี๋ก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จนกระทั่งถึงตอนนี้ หล่อนเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาคุยกับเขาแต่ก็เบาใจได้ว่าหน้าตาหล่อนเริ่มมีสีสัน ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อแย้มยิ้มให้ชื่นใจทันทีที่ได้สติ
“ไม่เจ็บค่ะ......หนูคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่หมออีกแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกเขาเสียงอ่อนระโหย
“ฉันไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรไปหรอกนะ” ชายหนุ่มโน้มตัวไปจูบหน้าผากเบา ๆ ก่อนจะมองตาคนป่วยหวานเชื่อม
“รักหนูเหรอคะ” แทนที่จะอียงอายหลบสายตา กลับถามพลางยิ้มใส่ตาหวานฉ่ำไม่แพ้กัน
“ขี้เกียจหาเมียใหม่” หมอทัพพ์แกล้งยีผมยัยเด็กแสบ พอฟื้นขึ้นมาได้ก็เริ่มท้าทายกันอีกแล้ว มิหนำซ้ำยังแทนตัวเองว่าหนูอย่างนั้นอย่างนี้แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ.....หึหึ...หนูของป๋า....ชายหนุ่มกลั้นยิ้มหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูและลำคอ
“แหมมมมม...ไม่ต้องเขินหรอกน่า ถ้าหนูตายเร็วพี่หมออดบอกรักหนูไม่รู้ด้วยน๊า......” บุ้งกี๋ได้ทีรุกไล่ไม่ยั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายพลาดพลั้ง ไม่รู้จะปากแข็งไปถึงไหน แต่หล่อนก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ถึงเขาไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ แต่ก็รู้ว่ารักแหละ......สะดวกคิดแบบนี้อ่ะ......
“ไม่ต้องพูดมากเลย เล่ามาทำไมถึงไปติดอยู่ในนั้น” หมอทัพพ์ทำเป็นถามเสียงเข้มกลบเกลื่อน
บุ้งกี๋ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง และเริ่มเล่าเหตุการณ์ก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าไปเจออย่างละเอียด......หล่อนเข้าไปหาแฟ้มเอกสารในนั้น เมื่อได้ของที่ต้องการและกำลังจะออกไป กลับพบว่าประตูถูกล็อกจากข้างนอก...หล่อนพยายามทุบประตูและตะโกนเรียกคนข้างนอกแต่ก็รู้ว่าความหวังน้อยเต็มทีเพราะเป็นห้องที่อยู่ริมสุดของตึกต่อจากห้องน้ำ อีกทั้งยังลืมหยิบโทรศัพท์มาด้วยอีกต่างหาก จึงเหลือทางเดียวที่ทำได้คือ ตะโกนเรียกต่อไปเผื่อจะมีใครสักคนเดินมาเข้าห้องน้ำ เวลานั้นหล่อนคิดถึงพี่หมอจับใจจนกระทั่งอ่อนล้ารูดลงนั่งพิงฝาผนังอย่างหมดแรงทั้งเหงื่อทั้งน้ำตาไหลปนเปกันจนแยกไม่ออกได้แต่หวังให้พี่หมอออกมาตามหา......ซึ่งก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว อย่างน้อยคุณไกรวิทย์ก็รู้ว่าหล่อนมาที่นี่.......
“คุณเลขาไม่ได้บอกพี่หมอหรือคะว่าบุ้งกี๋อยู่ที่นี่” หญิงสาวถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเขาสักหน่อยที่จะต้องคอยรายงานเจ้านายว่าหล่อนไปไหนมาไหน
“อืม...คิดว่าออกไปแล้ว” หมอทัพพ์ตอบสั้น ๆ ไม่อยากลงรายละเอียดให้ขุ่นใจ ว่าใคร ๆ เขาดูออกว่ายัยเด็กแสบมักชอบไปที่ร้านกาแฟนั่นประจำ
“ช่างเถอะ ยังไงบุ้งกี๋ก็ปลอดภัยแล้วเพราะคิดถึงพี่หมอตลอดๆ ๆ” หญิงสาวยิ้มจนตาหยี ไม่ได้คิดอะไรมาก
“วันหลังอย่าไปที่แบบนั้นคนเดียวอีกนะ” หมอทัพพ์โอบกอดคนบนเตียงพลางหอมแก้มฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว เด็กนี่เพิ่งจะผ่านความเป็นความตายมา ไม่ได้กลัวเลยหรือไง ยังยิ้มหน้าเป็นอยู่ได้
“บุ้งกี๋ไม่รอบคอบเองแหละค่ะ ถ้าหาป้ายเอาไปแขวนไว้หน้าห้องก็คงไม่มีใครเข้าใจผิดแล้วปิดล็อคประตูอย่างนั้นหรอก”
“แน่ใจเหรอว่าเป็นเพราะเหตุผลนั้น.....ไม่สงสัยว่าอาจจะโดนกลั่นแกล้งหรือไง”
“คะ?” บุ้งกี๋ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องสงสัยใคร หล่อนคิดว่าคนทำคงไม่ได้ตั้งใจมากกว่าจะเป็นการจงใจขังหล่อนไว้ในนั้น
“ไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนบ้างหรือเปล่า”
“โอ้ยยย...ไม่มีหรอกค่ะ...อ่อลืมไป.....มีคุณป้าจีรณาคนเดียวเท่านั้นแหละ ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูคู่กัด แต่ก็ขำ ๆ เขาคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอกค่ะ” บุ้งกี๋ยังเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุในขณะที่อีกฝ่ายนิ่งคิด ใบหน้าเรียบเฉย
“เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ กล้องวงจรปิดหน้าห้องก็ดันมาเสีย...ให้มันได้อย่างนี้สิน่า” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเอง
“พี่หมอขา บุ้งกี๋อยากกลับบ้านแล้วค่ะ” หญิงสาวงอแงขอกลับ หล่อนไม่อยากนอนเป็นคนป่วย ทั้งที่ร่างกายหายดีแล้ว
“หายแล้วเหรอ นอนที่นี่สักคืนไม่ดีกว่ารึ” ชายหนุ่มบอกอย่างห่วงใย
“หายแล้วค่ะ....นะคะพี่หมอหนูอยากกลับไปนอนที่ห้อง......” ไม่พูดเปล่ายังจับมือใหญ่ไปแนบแก้มอีกต่างหาก...เด็กขี้อ้อน.....
“นอนอยู่โรงพยาบาลน่ะปลอดภัยดีแล้วกลับไม่ชอบ” ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับความดื้อที่เขาต้องยอมตามใจเหมือนเคย
“อยู่ที่ห้องก็ปลอดภัยเหมือนกันค่ะ เพราะคุณหมอใหญ่นอนเฝ้าอย่างใกล้ชิดอยู่แล้วนี่คะ” บุ้งกี๋ยิ้มซุกซนให้กับคุณหมอจอมเขินที่ตัวแดงเป็นกุ้งต้ม เพราะอย่างนี้แหละหล่อนถึงชอบแกล้งเขา
“ทะลึ่ง !!...”
20.00 น.
บุ้งกี๋จำต้องเข้านอนแต่หัวค่ำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักเพราะผู้ปกครองหนุ่ม ดูแลราวกับหล่อนเป็นคนไข้ของเขา อะไรจะประคบประหงมขนาดนั้น ความจริงก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่เสียดายที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกตั้งหลาย ชั่วโมงกว่าจะเช้า....เฮ้อ...ยัยสาวคลั่งรัก....บุ้งกี๋นักเลงพอไม่ต้องรอให้ใครมาว่า...ยอมรับอย่างแมน ๆ นี่แหละว่ารัก ๆ ๆ ๆ ใครจะทำไม.......
