บทที่ 3 ย้อนอดีต 3
บ้านกัญญาภรณ์เป็นบ้านไม้สองชั้นเนื้อที่ของบ้านราวๆ สี่สิบตารางวา อยู่ท่ามกลางสวนยางของครอบครัวจำนวนยี่สิบไร่ และที่ดินทำประโยชน์อย่างอื่นอีกสิบไร่ แน่นอนว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากการกรีดยางที่เวลานี้ยางราคาตกต่ำมาก ทำให้ต้องหารายได้จากส่วนอื่นมายังชีพ ความที่มีเนื้อที่เยอะจึงปลูกสัปปะรดเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ยังมีมังคุดที่ให้ผลผลิตปีละหนึ่งครั้งอีกหนึ่งไร่กว่า เมื่อสามปีก่อนพจน์ผู้เป็นบิดาปลูกข้าวแต่ไม่ใช่ไว้ขาย นำข้าวที่ได้ไว้กินทั้งปี ประหยัดเงินค่าข้าวได้มากทีเดียว
“สวัสดีจ้ะพ่อ แม่” เมื่อกัญญาภรณ์มาถึงบ้านก็พบกับบิดามารดานั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกลางบ้าน เธอพนมมือไหว้ทั้งคู่ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หวายอีกตัว “พ่อกับแม่มีอะไร เรียกหนูกลับมาบ้านด่วนทำไม”
“เอ็งมาเหนื่อยๆ อาบน้ำก่อนดีไหมหรือว่าจะนอนพักเอาแรงก็ได้ พักก่อนเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” พจน์บอกลูกสาว
“หนูไม่เหนื่อย พ่อพูดมาเถอะ” ความอยากรู้มันแน่นอก นอนพักก็คงไม่หลับ
“แต่แม่ว่า เอ็งพักก่อนก็ได้นะ” สายหยุดทำเหมือนกับว่ายังไม่อยากพูดเรื่องนี้ตอนนี้ และนั่นยิ่งทำให้กัญญาภรณ์อยากรู้มากขึ้น
“พูดมาเถอะแม่ ไม่ว่าจะพูดตอนนี้หรือตอนไหนก็พูดเหมือนกัน”
“ลุงกับป้าก็รีบๆ พูดมาเถอะน่า อยากรู้จะแย่อยู่แล้วเนี่ย”
ชุติมาพูดขึ้นหลังจากทนไม่ไหว
“มันเกี่ยวอะไรกับเอ็งฮะไอ้ยู นี่มันเรื่องในครอบครัวฉันนะ เอ็งกลับบ้านไปได้แล้ว หมดหน้าที่เอ็งแล้ว” พจน์ไล่ตะเพิดชุติมา
“ไม่กลับหรอก อยากรู้จนอกจะแตกอยู่แล้ว กลับบ้านไปก็ไม่รู้เรื่องน่ะสิ กลับให้โง่ทำไม” ชุติมาเถียงกลับนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
“เอ็งนี่มันสอดรู้เหมือนแม่เอ็งไม่มีผิด” สายหยุดเป็นพี่สาวสายใจ มารดาของชุติมา
“แหม เชื้อมันก็มาเป็นทอดๆ นั่นแหละ อย่างกับป้าไม่ชอบสอดรู้เรื่องคนอื่นงั้นแหละ” เจอย้อนเข้าไปสายหยุดจึงคว้าห่อกระดาษทิชชู่เขวี้ยงใส่ชุติมาที่รับมันไว้อย่างแม่นยำ
“ปากเอ็งนี่นะ เอาไม้ตีหัวดีไหมเนี่ย”
“เอาน่าแม่ ปล่อยๆ ยูไปเถอะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า ตกลงว่ามีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา” กัญญาภรณ์ทำท่าจริงจัง สองสามีภรรยามองหน้ากัน ก่อนที่พจน์จะเป็นคนพูด
“บ้านเราเป็นหนี้เถ้าแก่สันต์” กัญญาภรณ์มองหน้าคนพูด นึกในใจว่าเป็นหนี้เถ้าแก่สันต์ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เป็นหนี้เถ้าแก่สันต์เหรอพ่อ พ่อไปเป็นหนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บ้านเราพอกินพอใช้นะ ถึงไม่มีมากแต่ก็ไม่เดือนร้อน ฉันก็ส่งเงินให้พ่อกับแม่ทุกเดือนๆ ละห้าพัน ไหนจะไหมอีกรวมกันก็ได้หมื่นนึง ข้าวก็มีกินทั้งปี ผักก็มีเต็มสวน ไหนจะรายได้จากค่าสัปปะรดอีกล่ะ มังคุดด้วยมันก็น่าพอใช้นะพ่อ” กัญญาภรณ์พูดยาว “แล้วเป็นหนีเถ้าแก่สันต์เท่าไหร่”
“พ่อเอ็งเอาไปลงทุนทำอย่างอื่นไง อยากรวย ไม่อยากลำบาก” สายหยุดพูด “พ่อแกเลยเอาที่ดินทั้งหมดไปจำนองกับเถ้าแก่สันต์ รวมๆ แล้วก็เป็นหนี้สิบล้าน”
“หา! สิบล้าน” กัญญาภรณ์ตกใจกับจำนวนหนี้สิน ไม่คิดว่าจะสูงลิบลิ่วขนาดนี้ คนที่ตกใจอีกคนคือชุติมาที่อ้าปากค้าง “ที่ดินทั้งหมดของบ้านเราได้ราคาสูงขนาดนี้เลยเหรอพ่อ สิบล้านไม่ใช่น้อยๆ นะ พ่อเอาเงินไปทำอะไร”
“พ่อเอาไปทำบ่อน” พจน์ตอบเสียงเบา ไม่กล้าสบตาลูกสาว
“ทำบ่อน” กัญญาภรณ์ย้ำเสียงสูง “ทำบ่อนอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่”
“ทำที่กระบี่ บ่อนถั่ว เสือมังกร ป๊อกเด้งแล้วก็ตู้ปลา ทำมาสองปีแล้วแต่ไม่ได้บอกเอ็ง ทำบ่อนมันต้องใช้เงินเยอะ ไหนจะค่าเช่าที่ ให้ตำรวจ ให้นักเลงในพื้นที่อีก แต่ละเดือนก็หลายแสน พ่อเลยเอาที่ดินไปจำนองไว้กับเถ้าแก่สันต์ นำเงินทั้งหมดที่ได้มาลงในบ่อน เพราะเงินหมุนเวียนต้องมี แรกๆ ก็ดีหรอก หลังๆ นี่สิในที่สุดก็เลยเจ๊ง”
กัญญาภรณ์ได้ยินคำตอบแล้วถึงกับถอนหายใจ กลุ้มหนักมากไม่คิดว่า บิดาจะกล้าทำเปิดบ่อน และที่สำคัญปิดเงียบโดยที่เธอไม่ระแคะระคายสักนิดเดียว เธอพอรู้เรื่องนี้บ้างว่า การเปิดบ่อนต้องมีเงินทุน มีเงินสำรองเพราะต้องจ่ายหลายทาง ทว่าบางบ่อนก็อยู่ได้และอยู่ได้นานด้วย
“เถ้าแก่สันต์บอกว่า ถ้าเราไม่เอาเงินไปคืนภายในวันมะรืนเถ้าแก่จะยึดที่ดินทั้งหมดแล้วก็ยึดของสายใจด้วย เพราะพ่อแกเอาที่ดินของน้าสายใจไปจำนองไว้พร้อมกัน”
คราวนี้ความตกใจเกิดขึ้นกับกัญญาภรณ์อีกทำนบ ชุติมาก็ตกใจเช่นกันที่รู้ว่า ที่ดินของมารดาก็ถูกพจน์นำไปจำนองไว้กับเถ้าแก่สันต์
“ทำไมพ่อทำแบบนี้ล่ะ ที่ดินของน้าใจเป็นที่ดินที่ยายให้น้าใจเอาไว้ทำกิน พ่อทำแบบนี้ได้ไง”
กัญญาภรณ์โวยบิดา ลำพังเอาทรัพย์สมบัติของบ้านไปจำนองว่าแย่แล้ว ยังจะเอาของคนอื่นไปอีก คนพูดถึงกับกลุ้ม
“ยังไม่หมดนะ พ่อเอ็งเอาที่ดินที่ภูเก็ตไปจำนองไว้ด้วย พ่อแกเลยได้เงินมาถึงสิบล้านไง”
สายหยุดบอกเพิ่มเติม เป็นการบอกที่ทำให้กัญญาภรณ์ตกใจอีกรอบ ที่ดินที่สายหยุดพูดคือที่ดินหนึ่งร้อยตารางวามรดกที่ปู่มอบให้ก่อนเสียชีวิต ราคาที่ดินอาจไม่สูงมากทว่าคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดกับที่ดินผืนนี้ต้องการทำเพิ่มอีกโครงการหนึ่งจึงคว้านซื้อที่ดินใกล้ๆ หนึ่งในที่ดินที่คอนโดอยากได้คือที่ดินของปู่เธอ
“พ่อนะพ่อ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ อยากรวยอะไรหนักหนา สุดท้ายก็เป็นหนี้เป็นสินขนาดนี้”
“เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เอ็งมาโวยวายนะ เอ็งต้องช่วยพ่อ ช่วยบ้านของเรา” พจน์ไม่สนใจคำต่อว่าของบุตรสาวคนโต เขารีบเข้าเรื่องสำคัญ “เถ้าแก่จะยึดที่ดินทั้งหมดของเรา รวมทั้งบ้านหลังนี้ด้วย”
“แล้วหนูจะช่วยอะไรได้ อย่าบอกนะว่าให้หาเงินสิบล้านน่ะ ไม่มีปัญญาหาให้หรอก” กัญญาภรณ์ตอบกลับทันควัน
“ช่วยได้สิ ตามข้อเสนอของเถ้าแก่สันต์” สายหยุดรีบพูด
“ข้อเสนออะไรแม่”
“แกต้องไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ ลูกชายของเถ้าแก่สันต์” คนตอบคือพจน์
“พ่อว่าอะไรนะ จะให้ฉันไปเป็นเมียลูกชายเถ้าแก่สันต์เหรอ” น้ำเสียงกัญญาภรณ์บอกถึงความตกใจ ตกใจเรื่องจำนวนหนี้สินยังน้อยกว่าได้ยินวิธีการชำระหนี้ “ไม่เอาหรอก หนูไม่มีทางไปเป็นเมียลูกชายเถ้าแก่สันต์เด็ดขาด”
“เออเอ็งไม่ต้องไปก็ได้ ข้าจะส่งไหมไปแทน” พจน์เอ่ยเสียงเรียบ
“พ่อทำแบบนั้นไม่ได้นะ เดือนหน้าไหมจะแต่งงานแล้ว ทำอย่างนี้ทำร้ายจิตใจไหมมากเลยนะ” กัญญาภรณ์รีบค้านความคิดบิดา
“แล้วจะให้ทำยังไง เอ็งก็ไม่ยอมทำตามที่เถ้าแก่บอกก็ต้องให้ไหมไปเป็นเมียนายหัวสิงห์แทน ไม่งั้นเราไม่เหลืออะไรแน่”
พจน์กลัดกลุ้มไม่น้อย นึกโทษตัวเองที่ไม่น่าหวังรวยทางลัดและเชื่อคำพูดของป๋าจิตมากเกินไป หลงลมจนตั้งบ่อนขึ้นมา
“เรื่องหนี้เจรจาไม่ได้เหรอพ่อ ขอผ่อนผันเขาไปก่อน”
ผู้พูดพยายามทำใจเย็นและทำให้ตัวเองมีสติมากที่สุดมีความคิดที่ว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้
“ถ้าเจรจาได้จะเรียกเอ็งกลับมาบ้านทำไม ไม่จนปัญญาก็คงไม่กวนเอ็งหรอก” พจน์ทำหน้าเครียดจัด “เถ้าแก่เป็นคนดีมาก ผัดผ่อนให้หลายครั้งแล้ว ให้จ่ายแต่ดอก แต่ที่ต้องยึดเพราะสัญญาระบุไว้ว่า ภายในหนึ่งปีครึ่งถ้าหาเงินต้นมาให้ไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่ดินทั้งหมดจะถูกยึด แล้วก็ถึงกำหนดแล้วด้วย”
น้ำเสียงพจน์เศร้าหนักขึ้นไปอีก
“พ่อเอ็งก็กลุ้มนะ ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหน ไปหยิบยืมใครจะมีเงินตั้งสิบล้าน พอดีเถ้าแก่เสนอวิธีนี้ แม่ก็เลยเรียกเอ็งกลับบ้านไง” สายหยุดรู้นิสัยลูกสาวคนโตดีว่าดื้อรั้นมากแค่ไหน ไม่ยอมคนถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ยิ่งเรื่องที่ให้ไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ คนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ายิ่งยากเพิ่มหลายเท่า “ก็อย่างที่พ่อเอ็งพูด ถ้าแกไม่ยอมก็คงต้องส่งไหมไปแทน ส่วนเรื่องแต่งงานก็ช่างมันล้มเลิกได้นี่ ที่สำคัญถ้าทางโน้นรู้ว่า บ้านเรามีหนี้สินเป็นสิบล้านก็คงไม่อยากให้แต่งงานด้วย”
“พ่อกับแม่ทำอย่างนี้ไม่นึกถึงใจหนูกับใจไหมบ้างเลย หนูเป็นลูกนะไม่ใช่ผลไม้ที่จะประเคนให้ใครกินก็ได้” ไม่ใช่ว่ากัญญาภรณ์ไม่อยากช่วยบิดามารดา ทว่าวิธีการนี้มันไม่ใช่ เธอรับไม่ได้ที่อยู่ๆ ต้องไปเป็นเมียนายหัวสิงห์ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า เธอทำใจยากกับเรื่องที่บุพการีให้ทำ “เดี๋ยวหนูจะไปพูดกับเถ้าแก่สันต์เอง เผื่อไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ นั่น”
“เอาสิ อยากไปก็ไป ถ้าได้ก็ดี” พจน์ไม่ห้าม “เอ็งไปกับไอ้ยูก็ได้ ให้ไอ้ยูขับรถไปให้ เถ้าแก่อยู่บ้านหลังใหม่ เอ็งไม่รู้จักหรอก แต่ไอ้ยูรู้จัก”
“เอ็งไปกับแพรก็คอยปรามๆ มันบ้างนะ ไปประนอมหนี้ไม่ใช่ไปแดกหัวเขา ท่องไว้ว่าเขาเป็นเจ้าหนี้ ทำห่ามๆ ใส่เถ้าแก่ระวังจะโดนยึดที่ดิน ยึดบ้านก่อนกำหนด”
สายหยุดสั่งชุติมา กัญญาภรณ์หน้างอใส่บิดามารดา ก่อนเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับชุติมา
“มันจะยอมเหรอพี่ พี่ก็รู้นิสัยมันนะ” สายหยุดพูดกับสามีด้วยสีหน้าหนักใจ
“แผนสอง” พจน์เอ่ยสั้นๆ ใบหน้ายิ้ม สายหยุดหยิบซองอีโนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับถอนหายใจไม่คิดว่าตนต้องแสดงละครเพื่อให้ลูกสาวคนโตจอมห่ามยอมทำตามข้อเสนอของเถ้าแก่สันต์