บทที่ 1 คุณอาที่รัก 2
ภาพความฝันค่อยๆลางเลือนลงไปทีละน้อยจนรู้สึกตัวตื่น แต่ภัตติพงษ์ยังไม่ยอมลืมตา ยังคงนอนนิ่งเพื่อทบทวนความฝันของตน
เกิดอะไรขึ้นกัน…ทำไมจู่ๆถึงเก็บเรื่องในอดีตมาฝัน ?
ใช่แล้ว ที่เขาฝันถึงเมื่อครู่คือความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน
เมลินีเป็นลูกสาวบุญธรรมของมนสิชากับเขมปัจน์ และอรจิราก็เป็นแม่ของเขมปัจน์ แล้วมาแต่งงานกับพ่อของเขาตอนเขาอายุได้ 17 ปี
เขาสนิทกับเมลินีมาก เขาเห็นหล่อนมาตั้งแต่อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น จวบจนหล่อนแตกเนื้อสาว แต่ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียความเป็นโสดด้วยการหมั้นหมายกับเด็กตัวกระเปี๊ยก
เพราะไม่อยากเห็นหน้าเมลินีอีก เขาจึงมาซื้อที่ดินต่างจังหวัดแล้วยึดอาชีพทำไร่ จนบัดนี้…เวลาได้ผ่านไปอีก 4ปี เขาจะกลับบ้านเกิดที่กรุงเทพเพื่อเยี่ยมพ่อแม่เดือนละครั้งเท่านั้น และไม่เคยเจอเมลินีอีกเลย ได้ข่าวว่าหล่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ…ป่านนี้คงมีแฟนใหม่เป็นหนุ่มฝรั่งไปแล้วกระมัง
ขณะนอนหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอยู่นั้น ชายหนุ่มก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงหวานใสมากระซิบข้างหู
“ยังไม่ตื่นอีกเหรอคะคุณอาขา”
ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เสียงที่ทอดแผ่วหวานกังวานแบบนี้ฟังดูคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ด้วยความสงสัย…จึงรีบลืมตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นนั่งอย่างตกใจ…
จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้คือเมลินี !
ทว่าตอนนี้หล่อนไม่ใช่เด็กสาวตัวกระเปี๊ยกอีกต่อไปแล้วล่ะ เวลา 4 ปีเปลี่ยนหล่อนให้กลายเป็นสาวเต็มตัว…แถมสวยซะด้วยสิ !
“มาได้ไง” ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้ราบเรียบ กวาดตามองวงหน้าสวยกระจ่างที่ล้อมกรอบด้วยผมยาวเหยียดตรงถึงบั้นเอว…แต่สิ่งที่เจิดจรัสที่สุดคงหนีไม่พ้นเส้นผมสีชมพูสว่างของเจ้าหล่อน !
“ก็นั่งรถมา” หล่อนตอบพร้อมยิ้มยิงฟันขาว ดวงตาคู่โตช้อนขึ้นมองเขาอย่างน่ารัก
“จะอยู่สักกี่วันล่ะ 1 วัน หรือ 2 วัน”
“เมจะอยู่จนกว่าจะหายคิดถึงคุณอานั่นแหละค่ะ”
ฟังหล่อนตอบแล้ว ภัตติพงษ์ก็ยิ้มเล็กๆตรงมุมปากอย่างโล่งอก “กี่เดือนล่ะยัยตัวเล็ก”
“ต้องนับเป็นปีสิคะ ถึงจะถูก เอ…คงสักปี หรือ 2 ปี” นิ้วเรียวจิ้มปลายคางตัวเอง พลางกรอกตาขึ้นข้างบนด้วยท่าทีครุ่นคิด และนั่นก็ทำเอาชายหนุ่มนึกฉุน
“พูดบ้าๆ อาให้เธออยู่ได้ไม่เกิน 1 อาทิตย์เท่านั้น”
“ทำไมล่ะคะคุณอา” หล่อนถามเง้างอด
“เพราะอาไม่มีเวลาว่างคอยดูแลเด็กอย่างเราน่ะสิ อาต้องทำงาน…งานกลางแดดด้วยนะ”
“แต่เมไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ เมอายุ 22 ปีแล้ว” หญิงสาวยังคงดื้อดึง
“แต่สำหรับอาก็คิดว่าเธอยังเด็กอยู่ดี แล้วนี่พ่อแม่ของเธอรู้แล้วเหรอว่าจะมาอยู่กับอา” ชายหนุ่มลุกเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วมาส่งให้หลานสาวที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
“รู้แล้วค่ะ เมเรียนจบตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว คุณย่าอรเป็นคนเขียนแผนที่ที่อยู่ของคุณอาให้เมเองเลยนะคะ” หล่อนรับแก้วน้ำมาดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วส่งคืนเขา
“งั้นเหรอ” ภัตติพงษ์เข่นเขี้ยว แม่เลี้ยงของเขายังคงแสบเหมือนสมัยสาวๆไม่มีผิดเพี้ยน ก็เพราะอรจิรานั่นแหละ เขาถึงต้องหมั้นหมายกับเมลินีแบบไม่ทันตั้งตัว อุตส่าห์หอบเสื้อผ้ามาไกลถึงต่างจังหวัด อรจิราก็ยังไม่วายบอกทางมาไร่ของเขาให้เมลินีรู้
“นี่ๆ คุณอาคะ” หล่อนลุกยืน กระเถิบเข้าหา ขณะที่ชายหนุ่มก้าวถอยหลัง “ตอนเรียนจบปริญญาตรี คุณพ่อข้าวให้ชุดสวย คุณแม่มนให้ชุดเครื่องสำอาง คุณย่าอรกับคุณปู่แคล้วให้รถยนต์ แล้วคุณอาล่ะคะจะให้อะไรเป็นของขวัญเม”
“จะเอาด้วยเหรอ ไว้อาจะหาซื้อของขวัญให้ก็แล้วกันนะ แล้วไม่ต้องเดินเข้าใกล้อานักก็ได้ ถอยไปห่างๆเลย” เขาสะบัดมือไล่
“ทำไมคะคุณอา ? หรือว่ากลัวเมจับปล้ำ ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ เมไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” หล่อนค้อนขวับใส่เขา เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่…เขาไม่ได้กลัวว่าจะโดนหล่อนปล้ำหรอกนะ แต่กลัวใจตัวเองจะเผลอไปลวนลามหลานสาวเข้าให้น่ะสิ…
เวลาผ่านไปไม่กี่ปี เปลี่ยนจากเด็กกะโปโล ตัวผอมเล็ก หน้าอกแบนราบ ให้กลายเป็นสาวสวยสะพรั่ง หุ่นสะบึมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
“อาไม่ได้กลัว” เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยืดตัวตรง หรี่ตามองหล่อนแล้วทำเสียงเข้ม “แล้วนี่ชุดอะไร”
“คุณอาไม่รู้จักเหรอคะ” หญิงสาวหัวเราะคิก “เกาะอกไงคะ สวยมั้ยเอ่ย… เข้ากับกระโปรงทรงเอที่เมใส่มั้ยคะ” หล่อนถามหน้าระรื่น พลางหมุนกายให้เขาดูทั่วตัว
“ไม่มีอกให้เกาะก็อย่าไปใส่เลย อาสงสารเนื้อผ้า” เขาจิกกัด พลางเมินหน้าไปทางอื่น แต่หล่อนก็ยังเดินมาหยุดตรงสายตาเขา พร้อมจับใต้ฐานหน้าอกตัวเองแล้วดันขึ้นจนเห็นปทุมถันเป็นรูปร่างอย่างชัดเจน
“ไม่มีหน้าอกตรงไหนกัน นี่ขนาดตั้ง 36 เชียวนะคะคุณอา”
เท่านั้นแหละ…โหนกแก้มสีแทนของชายหนุ่มก็ระเรื่อเป็นสีชมพูอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงปั้นหน้าเคร่ง คิ้วขมวดฉับ ดุเสียงเข้ม
“แล้วมันสมควรนักเหรอไงที่แต่งตัวแบบนี้ เป็นสาวเป็นนางหัดรักนวลสงวนตัวไว้เสียบ้าง เพราะผู้หญิงชอบแต่งตัวยั่วยุแบบเธอนี่แหละ คดีข่มขืนถึงมีเกลื่อนเมือง”
เมลินีหน้าเจื่อน ไม่คิดว่าจะเจอปฏิกิริยาแบบนี้จากคนเป็นอา แต่เพราะโดนตามใจมาตั้งแต่เล็ก หล่อนจึงมีทิฐิอยู่เหนือความถูกต้อง เชิดหน้าใส่แล้วแย้งว่า
“แต่เมก็อยู่รอดปลอดภัยดีนี่คะไม่เห็นจะเคยมีใครมาข่มขืน”
“แล้วต้องรอให้โดนข่มขืนก่อนเหรอไง เธอถึงจะกลัว”
“ไม่มีใครกล้าหรอกค่ะ”
ชายหนุ่มเหล่ตามองหล่อนเล็กน้อย แล้วผลักหัวทุยสวยเบาๆ “เพราะพวกผู้ชายมันกลัวทรงผมเราน่ะสิ สีชมพูแป๊ดแบบนี้ ดูไกลๆนึกว่าตัวคิตตี้”
“สีผมนี้ คุณย่าอรเป็นคนแนะนำเองนะคะ”
“อีกแล้วเหรอ” ภัตติพงษ์มึนตึ้บเลยทีเดียว
“มีกระเป๋ามากี่ใบล่ะ” เขาถามพลางเอียงหน้าไปมองด้านหลังหล่อน พอเห็นว่ามีกระเป๋าใบโตหลายใบวางกองรวมกันอยู่ คิ้วหนาก็เลิกขึ้นสูงทันที “เอามาทำไมเยอะแยะ”
“ก็…” หล่อนหันไปจาระไนเสียงแจ๋ว “กระเป๋าสีฟ้าใส่เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว กระเป๋าสีแดงใส่เสื้อผ้า กระเป๋าสีชมพูใส่ของใช้ส่วนตัว”
“พอๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว อาไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น ที่นี่มีคนรับใช้แค่คนเดียวชื่อแป้ว เดี๋ยวอาจะเรียกให้แป้วพาเธอไปที่ห้อง”
“คุณอาเป็นคนพาไปไม่ได้เหรอคะ” หล่อนถามเสียงอ้อน ก่อนหน้าเจื่อนเมื่อเขาตวาด
“ไม่ได้ !”
“ทำไมอ่ะ”
“อยู่ใกล้เธอมากๆแล้วมีแต่ปัญหา”
“ไม่ใช่เพราะคุณอาไม่ชอบผู้หญิงเหรอคะ”
“อาชอบผู้หญิง แต่ไม่ชอบเธอ จบนะยัยตัวเล็ก” เขาหันไปอีกทางแล้วตะโกนก้อง “พี่แป้วๆ”
ไม่นานนัก สาวใช้ร่างเล็กบางก็วิ่งออกมาที่ห้องโถงรวดเร็วสมใจ “ค่าคุณบาส มีอะไรจะเรียกใช้พี่เหรอคะ ?”
“ช่วยเมหลานสาวของผมขนกระเป๋าไปที่ห้องด้วย ให้พักห้องใกล้ๆผมนั่นแหละ”
“ค่า ได้ค่ะ” แป้วรับคำ คว้ากระเป๋ามาถือ 2 ใบ ส่วนอีกใบที่เหลือ เมลินีเป็นคนถือเอง ระหว่างที่หญิงสาวผมสีชมพูเดินตามสาวใช้จะขึ้นชั้นสอง หล่อนก็เหลือบตามองอาหนุ่มแล้วยิ้มเผล่ เดินเอียงมาหาภัตติพงษ์แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มเขาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว
จุ๊บ !
“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ…คุณอาที่รัก”
จากนั้นหล่อนก็หัวเราะร่า ขึ้นบันไดจนหายลับไปจากสายตา ขณะที่ชายหนุ่มยังคงเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองโดยอัตโนมัติ หัวใจที่ด้านชามานานเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บ้าน่า…นั่นหลานนะ ถึงจะไม่มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม แต่หล่อนอายุห่างจากเขาตั้ง 14 ปี ดังนั้นอย่าไปหลงใจเต้นกับหล่อนเชียว
แต่จะว่าไป…เมลินีดูกระเปิ๊บกระป๊าบ ไปเมืองนอกแค่ 4 ปี กลับมาก็หัวสมัยใหม่ ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้การล่ะ…ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาจะต้องจับหล่อนมาดัดนิสัยให้เป็นหญิงสาวที่เรียบร้อยทั้งกายและใจให้ได้ !
เมลินีเดินตามแป้วเข้าไปในห้องใหญ่…กว้างขวาง ปลอดโปร่ง หน้าต่างเปิดรับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องลอดเข้ามา ทัศนียภาพนอกหน้าต่างเป็นภูเขาที่เห็นเป็นเงาซ้อนทับกันหลายลูกลดหลั่นกันไปตามระดับความสูง
สดชื่น…และได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้นานาพรรณ
“ว้าว ! สวรรค์บ้านไร่ชัดๆ” หญิงสาวอุทาน วางกระเป๋าบนพื้น แล้วหมุนกายไปรอบห้อง ยิ้มร่า กางแขนสองข้างออกข้างลำตัว ขณะที่แป้วหัวเราะแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าออก
“ที่นี่สงบ ร่มรื่น แต่ขาดแสงสีนะคะคุณเม คุณเมมาอยู่ไม่กี่วัน คงจะเบื่อ”
“เบื่อ ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง แล้วส่ายหน้า “คำคำนี้ไม่มีอยู่ในหัวของเมเลยค่ะพี่แป้ว ตั้งใจว่าจะพักผ่อนสมองที่นี่ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ว่าแต่…พี่แป้วคะ เมอยากถามอะไรสักอย่าง” หญิงสาวถอยไปนั่งบนเตียงแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง สีหน้าทะเล้นเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“จะถามอะไรล่ะคะ ถ้าพี่ตอบได้ก็ยินดีตอบทุกอย่างเลยล่ะคะ” แป้วพูดโดยไม่หันไปมองหล่อน เพราะกำลังสาละวนอยู่กับการจัดเสื้อผ้าเข้าแขวนไว้ในตู้
“คุณอาเคยมีแฟนบ้างหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีนี่คะ คุณบาสตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็งจนไม่มีเวลาสนใจผู้หญิงเลยค่ะ”
“ไม่เคยจีบสาวไหนเลยเหรอคะ” หล่อนถามต่อ
“ไม่นี่คะ…มีสาวๆหลายคนให้ความสนใจคุณบาส แต่คุณบาสไม่เคยยอมคบหากับใครเป็นแฟนเลย”
“เหรอคะ…” เมลินีครางในลำคอ เหลือบตามองไปทางหน้าต่างแล้วถอนหายใจเบาๆ…แบบนี้ก็เข้าข่ายว่าภัตติพงษ์อาจจะชอบผู้ชายด้วยกันอย่างที่หล่อนเคยได้ยินมาน่ะสิ
ไม่ได้การล่ะ…หล่อนจะต้องใช้ตำแหน่งคู่หมั้นที่เป็นอยู่มาเปลี่ยนใจให้เขาหันมาชอบผู้หญิงให้ได้ !