ตอนที่ 2
รถสปอร์ตราคาแพงระยับแล่นมาจอดในลานจอดรถช่องสำหรับผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของรัสเซีย เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดานักศึกษาสาวสวยจำนวนมากดังสนั่นขึ้นทันทีเมื่อร่างสูงใหญ่แสนสมบูรณ์แบบของไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟก้าวลงมาจากรถ ดวงตาคมกริบกราดมองไปยังกลุ่มของนักศึกษาสาวเจ้าของเสียงกรี๊ดร้องไม่ต่างจากนางชะนีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชเป็นที่สุด ผู้หญิงก็เป็นได้แค่นี้แหละ ชะนีที่จ้องแต่จะร้องเรียกหาผัว
รอยยิ้มหยันยังคงแต้มแต่งอยู่บนใบหน้าหล่อลากดินของไทเลอร์ไม่จางแม้แต่ในขณะที่เขาก้าวดุ่มๆ เดินหายเข้าไปในสถานที่อันเป็นส่วนตัวของตนเองแล้วก็ตาม เมื่อสิบปีก่อนห้องทำงานของเขาไม่ต้องถูกแบ่งแยกออกมาจากคนอื่นแบบนี้ แต่เพราะแม่นักศึกษาสาวๆ ที่คอยมาเกาะมาแกะมารุมล้อมรอบกายเขาตลอดเวลานั่นแหละ จึงทำให้เขาต้องสร้างสถานที่อันเป็นส่วนตัวขึ้นภายในมหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่อตัดความน่าสะอิดสะเอียนนั้นออกไป แต่กระนั้นแม่นักศึกษาสาวๆ ก็ยังไม่วายตามมอง ตามจ้อง และตามร้องกรี๊ดๆ ใส่เขาเหมือนเดิม มันน่าเบื่อ น่ารำคาญ จนบางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเปลี่ยนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยชายล้วนคงจะเป็นผลดีกับโสตประสาทของเขาไม่น้อย
“นี่ฟิลิเซียเห็นหรือเปล่า อาจารย์ไทเลอร์ยิ้มให้ฉันด้วย”
“ฉันไม่เห็นอาจารย์ไทเลอร์จะยิ้มเธอให้ตอนไหนเลย อย่ามามั่วยายเจนี่ และก็จำเอาไว้ให้ขึ้นใจด้วยนะว่า...”
ดาวมหาวิทยาลัยที่ทั้งสวย ทั้งรวย และฉลาดที่สุดในมหาวิทยาลัยอย่างฟิลิเซีย แอมร์เบิร์ดหันมายิ้มดุดันใส่เพื่อนสนิท
“อาจารย์ไทเลอร์เป็นของฉัน เธอไม่มีสิทธิ์”
เจนี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เพราะหล่อนเป็นเพียงแค่ลูกสาวของคนขับรถของบิดาฟิลิเซียเพียงเท่านั้น ทำให้หล่อนได้แต่เก็บความขุ่นเคือง เจ็บแค้นเอาไว้แต่ภายในใจ ภายนอกที่ทำได้ก็คือการยิ้ม และก็ประจบสอพลอเพียงเท่านั้น
“ฉัน... ขอโทษฟิลิเซีย ต่อไปฉันจะไม่คิดแบบนั้นกับอาจารย์ไทเลอร์อีกแล้ว”
“ดีมาก เพราะอาจารย์ไทเลอร์เป็นของฉัน มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่มีสิทธิ์ครอบครอง”
ฟิลิเซียยิ้มอย่างมาดมั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง มั่นใจว่าความสวย และฐานะที่สูงส่งทางสังคมจะทำให้ไทเลอร์หันกลับมามองที่หล่อน อย่างที่หล่อนต้องการให้เป็น แม้ว่าจะรอคอยเวลานั้นมาเนิ่นนานถึงหกปีแล้วก็ตาม หกปีที่หล่อนยอมซ้ำชั้นไม่ยอมจบออกไปจากที่นี่สักทีก็เพราะเหตุผลนี้นี่แหละ
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า และฉันก็จะช่วยเธอทุกอย่างฟิลิเซีย”
“ขอบใจ”
ฟิลิเซียเปิดกระเป๋าถือของตัวเองออกมาและโยนเศษเงินใส่หน้าของเจนี่
“ค่าขนม เอาไปใช้ซะ”
เจนี่หน้าชาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากฝืนยิ้มออกไป
“ขอบใจมากจ้ะฟิลิเซีย”
เจ้าของชื่อแค่นยิ้ม มองเพื่อนของตัวเองอย่างดูแคลน ก่อนจะเชิดหน้าและเดินจากไป เจนี่มองตามไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกันยายคุณหนูฟิลิเซีย”
เจนี่เค้นเสียงเจ็บแค้นออกมา ก่อนจะรีบปรับสีหน้าและวิ่งตามร่างเล็กกะทัดรัดของฟิลิเซียไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาพบว่าฟิลิเซียกำลังหาเรื่องคู่กรณีอยู่
“เกิดอะไรขึ้นหรือฟิลิเซีย”
เจนี่เอ่ยถาม
“นังเจ้าขามันทำรองเท้าฉันเลอะ เธอดูสิเจนี่...”
เจนี่ก้มลงมองเท้าของฟิลิเซียแต่ก็ไม่เห็นอะไรอย่างที่ได้ยินมาเลยสักนิด
“ไม่เห็นมีเลยฟิลิเซีย”
“เจนี่?!”
เสียงตวาดแว๊ดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของฟิลิเซียดาวมหาวิทยาลัยคนสวยทำให้เจนี่ต้องรีบเออออห่อหมกออกไปทันที
“ใช่ ใช่... นั่นไงฝุ่น นี่แกทำฝุ่นปื้นรองเท้าฟิลิเซียอย่างนั้นหรือนังเจ้าขา”
จันทร์เจ้าขา โชติฐากร นักศึกษาที่เรียนดีจนได้ทุนเรียนฟรีจากประเทศไทยให้มาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งของรัสเซียถอนใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนต้องเจอะเจอกับฤทธิ์เดชของฟิลิเซียและพ้องเพื่อน แต่มันเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนไปเหยียบหางอะไรของแม่พวกนี้เข้า แม่พวกนี้ถึงได้ตามระรานหล่อนได้ตลอดเวลาแบบนี้ ทำราวกับว่าแค้นเคืองกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอย่างนั้นแหละ
“เลิกหาเรื่องฉันสักทีเถอะฟิลิเซีย ฉันเบื่อเต็มที่แล้ว”
“กรี๊ด! นี่คนต่ำๆ อย่างแกกล้าพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง แกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร ฉันใหญ่แค่ไหนในโรงเรียนนี้”
ฟิลิเซียเต้นเร่าๆ ด้วยความเดือดดาล จ้องมองจันทร์เจ้าขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเป็นที่สุด
“ฉันรู้ว่าเธอสวย เธอรวย และพ่อเธอก็ใหญ่มาก เอาะ... แล้วที่สำคัญ เธอก็เป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเธอเรียนมาตั้งหกปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบสักที”
ทุกคนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดของจันทร์เจ้าขาต่างพากันหัวเราะร่วน ไม่เว้นแม้แต่เจนี่ มีแต่ฟิลิเซียคนเดียวเท่านั้นที่เต้นเป็นเจ้าเข้า
“นี่... พวกแกหยุดหัวเราะกันเลยนะ นังเจนี่!”
เจนี่รีบหยุดหัวเราะทันควัน ก่อนจะรีบโต้ตอบจันทร์เจ้าขา
“นี่แกหาว่าฟิลิเซียโง่อย่างนั้นเหรอ ใช่ไหมนังเจ้าขา”
เจ้าของชื่อส่ายหน้า อมยิ้มยียวน
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย เธอพูดเองนะเจนี่”
ฟิลิเซียที่ยืนนิ่งอยู่ กรี๊ดร้องขึ้นมาอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบโต้ตอบออกมา
“ฉันไม่ได้โง่ แต่ที่ฉันยอมอยู่ที่นี่นานกว่าทุกคนก็เพราะฉันมีจุดหมายต่างหาก ซึ่งคนโง่ๆ อย่างแกไม่มีทางรู้หรอกว่าในหัวอันแสนฉลาดอย่างฉันกำลังคิดอะไรอยู่”
จันทร์เจ้าขาระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความเบื่อหน่ายเช่นเดิม
“โอเค ฉันคงตามคนฉลาดแบบเธอไม่ทันหรอกฟิลิเซีย หมดเรื่องกับฉันแล้วใช่ไหม ฉันขอตัวล่ะ”
จันทร์เจ้าขาจะเดินผ่านไป แต่ก็ถูกฟิลิเซียก้าวเข้ามาขวางหน้าเสียก่อน
“ยัง... ฉันยังไม่หมดธุระกับผู้หญิงต่ำๆ อย่างแก”
คนฟังเลือดขึ้นหน้า
“ครั้งนี้ฉันจะยอมให้ แต่ครั้งหน้าถ้าเธอขืนมาเรียกฉันว่าผู้หญิงต่ำๆ อีกล่ะก็ ฉันจะอัดเธอให้ฟันร่วงเลยคอยดู ฟิลิเซีย”
ฟิลิเซียหน้าถอดสี แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ หล่อนดันร่างของเจนี่ให้มาขวางหน้าเอาไว้ ส่วนตัวเองหลบอยู่ด้านหลัง และก็พูดยั่วยวนไม่หยุด
“ฉันพูดความจริงทำไมต้องกลัวด้วย แกมันต่ำ แกมันผู้หญิงขายตัว อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าตอนกลางคืนแกไปประกอบอาชีพอะไรมา”
จันทร์เจ้าขาเม้มปากแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ มือบางยกขึ้นขยับแว่นสายตาเล็กน้อย ก่อนจะโต้ตอบออกไป
“ฉันทำงานสุจริต”
“เชอะ... ทำงานสุจริต...”
ฟิลิเซียยิ้มเยาะ ขณะที่เจนี่เองก็ยิ้มเยาะเช่นกัน รวมถึงบรรดานักศึกษาที่ต่างพากันยืนอยู่รอบๆ บริเวณแถวนี้ด้วย
ที่นี่ไม่มีใครสักคนที่ชอบหล่อน ผู้หญิงถูกเม็ดเงินจากฟิลิเซียซื้อไปเป็นพวกแล้วทั้งหมด ในขณะที่ผู้ชายก็หลงใหลได้ปลื้มกับรอยยิ้มและเสน่ห์ของฟิลิเซีย หล่อนมักจะถูกบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้กลั่นแกล้งเสมอ อันเนื่องมาจากคำสั่งของฟิลิเซียนั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นักศึกษาหรอกที่ไม่ชอบขี้หน้าเด็กสาวต่างเชื้อชาติแถมยังยากแค้นเช่นหล่อน เพราะบรรดาบุคลากรของที่นี่ก็ไม่ชอบหล่อนเช่นกัน ทุกคนต่างตราหน้าว่าหล่อนเป็นคนไม่ดีตั้งแต่ได้ยินเรื่องปั้นแต่งจากปากของฟิลิเซียและพวกพ้องแล้วนั่นแหละ แต่ก็ช่างเถอะอีกไม่กี่เดือนหล่อนก็จะจบการศึกษาแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึง หล่อนก็คงจะยิ้มได้อีกครั้ง
“ขายตัวแลกกับเศษเงินสิไม่ว่า”
เสียงโห่ร้องจากผู้คนรอบๆ กายทำให้หน้าของจันทร์เจ้าขาชาดิก แต่หล่อนก็ฝืนใจอดทนมันเอาไว้ ท่องเอาไว้ว่าต้องอดทน
“พวกเธอจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ขอตัว”
จันทร์เจ้าขารีบเดินจากมาอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นสองหูของหล่อนก็ยังได้ยินคำพูดใส่ร้ายจากปากของฟิลิเซียอย่างชัดเจน
“นี่พวกเธอรู้ไหม พ่อของฉันน่ะซั่มแม่นี่เรียบร้อยแล้ว”
“จริงเหรอฟิลิเซียคนสวย” หนุ่มนายหนึ่งเอ่ยถามอย่างเอาใจ
“จริงสิ แถมพ่อฉันยังบอกอีกว่าแม่นี่ผ่านศึกมาโชกโชนแล้ว เครื่องเคราหลวมไปหมด”
เสียงหัวเราะของผู้คนที่อยู่ด้านหลังไม่ผิดจากคมมีดที่พุ่งเข้าแทงกลางหัวใจ หญิงสาวน้ำตาหลั่งรินด้วยความขมขื่นใจ จนแว่นสายตามัวพร่ากำลังจะถอดออกมาเช็ดให้ใสดังเดิม แต่จังหวะนั้นหล่อนก็เกิดเดินชนกับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินสวนมาพอดี
“ขะ ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร...”
มือหนาที่จับต้นแขนของหล่อนเอาไว้มันร้อนราวกับไฟ น้ำเสียงทุ้มลึกราบเรียบค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปเช่นกัน
แค่เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างหล่อนก็จดจำได้ดีว่าผู้ชายเจ้าของมือหนาร้อนผ่าวคนนี้เป็นใคร จันทร์เจ้าขายืนมองร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปจนลับสายตา หัวใจสาวเต้นแรงระรัว แค่สัมผัสผิวเผินจากเขา แค่เสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกของเขา และแค่กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกายยำกำของเขาเท่านั้น ทุกอย่างมีผลต่อทุกอณูความรู้สึกของหล่อนอย่างรุนแรงยิ่งนัก
“อาจารย์ไทเลอร์...”
หญิงสาวระบายยิ้มบางๆ หรี่ตามองต้นแขนที่ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสร้อนผ่าวจากฝ่ามือหนากระด้างด้วยความปลาบปลื้มใจ หล่อนก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั่นแหละ ตกหลุมรักอาจารย์หนุ่มสุดหล่ออย่างไทเลอร์ อิสไมนอฟ มาร์คิเดฟอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
มันน่าสมเพช! แต่หล่อนก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้จริงๆ
จันทร์เจ้าขายิ้มเศร้าๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องของฝ่ายปกครอง ห้องที่หล่อนเดินเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลาเกือบสี่ปีที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“นั่งลงก่อนสิ จันทร์เจ้าขา”
หญิงสาวทรุดกายลงนั่งตามคำเชื้อเชิญของอาจารย์หนุ่มใหญ่ สีหน้าของหล่อนไม่ได้แสดงความรู้สึกรู้สาอะไรออกไปเลย ก็จะให้รู้สึกอะไรได้ล่ะ ในเมื่อหล่อนรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะถูกตำหนิในเรื่องอาชีพที่ตัวเองทำหลังเลิกเรียนอีกครั้ง
“รู้ใช่ไหมว่าผมเรียกคุณเข้ามาพบเรื่องอะไร”
“ทราบค่ะ”
“ทราบ... แต่เธอก็ยังไม่สะทกสะท้าน เธอยังคงขัดคำสั่งของมหาวิทยาลัยตลอดเวลา”
อาจารย์ฝ่ายปกครองตวาดลั่น หน้าตาแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ
“แต่ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ”
“ไม่ผิดได้ยังไง ในเมื่อคุณขายตัว!”
คนฟังหน้าแดงก่ำ กัดฟันข่มความอดสูเอาไว้สุดกำลัง
“ดิฉันยังขอยืนยันคำเดิมค่ะว่าดิฉันไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกับกฎของมหาวิทยาลัยแม้แต่ขอเดียว”
“ยังจะมาปากแข็งอีกอย่างนั้นหรือ ฉันจะทำเรื่องรีไทร์เธอออกจากมหาวิทยาลัย”
“เชิญอาจารย์ทำอะไรก็ได้ตามที่พอใจค่ะ เพราะหากดิฉันถูกรีไทร์เมื่อไหร่ ดิฉันจะร้องเรียน”
นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองขู่ด้วยเหตุผลนี้ แต่มันหลายสิบครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งหล่อนก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ตลอดเวลา
“นี่คุณกล้าลองดีกับผมอย่างนั้นหรือ”
“ดิฉันไม่ได้ลองดีค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าอาจารย์สามารถหาหลักฐานว่าดิฉันขายตัวมายืนยันได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นดิฉันจะเป็นฝ่ายลาออกจากที่นี่เองค่ะ”
แล้วจันทร์เจ้าขาก็ผุดลุกขึ้นยืน
“ขอตัวนะคะ ดิฉันต้องรีบไปทำงานค่ะ”
หญิงสาวหมุนตัวกำลังจะเดินออกไปจากห้องพักอาจารย์ฝ่ายปกครอง แต่ก็ต้องชะงักงันเมื่อพบว่าที่ปากประตูมีร่างสูงใหญ่ของไทเลอร์ปรากฎอยู่ นี่เขายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้วนะ จันทร์เจ้าขาหัวใจเต้นแรง มือบางสั่นเทายกขึ้นขยับแว่นสายตาแก้ความประหม่า แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด เพราะยิ่งหล่อนเดินเข้ามาใกล้เขามากเท่าไหร่ หัวใจของหล่อนก็ยิ่งเต้นแรง มันเต้นแรงระรัวจนหล่อนคิดว่าผู้ชายตรงหน้าคงจะต้องได้ยินเสียงของมันแน่นอน
“เอ่อ สวัสดีค่ะอาจารย์ไทเลอร์”
ไทเลอร์ไม่เอ่ยทักทายตอบนักศึกษาสาวเชื้อชาติเอเชียตรงหน้า และเลือกที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะของอาจารย์ฝ่ายปกครองแทน นั่นทำให้หญิงสาวหน้าชาดิก จำต้องรีบเดินออกไปจากห้องของฝ่ายปกครองอย่างเงียบกริบ
“เกิดอะไรขึ้นหรือคุณทอมสัน”
“เอ่อ ผมไม่แน่ใจว่าคุณไทเลอร์จะยังจำได้หรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องที่นักศึกษาของเราไปทำงานพิเศษตอนหลังเลิกเรียนน่ะครับ”
ไทเลอร์หรี่ตามองคู่สนทนา ขณะทรุดกายลงนั่งตรงหน้า
“เรื่องขายตัวน่ะหรือ”
“ครับ”
“แล้วคุณมีหลักฐานหรือเปล่าล่ะ”
คำถามย้อนกลับของไทเลอร์ทำให้ทอมสันถึงกับหน้าเจื่อนลง เขาไม่มีหลักฐาน แต่ได้รับการบอกเล่ามาจากฟิลิเซียและเพื่อนๆ ของหล่อนเท่านั้นเอง
“คือผม...”
ไทเลอร์แค่นยิ้มหยัน หรี่ตาแคบมองคู่สนทนา
“จำเอาไว้ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าคิดปรักปรำคนอื่น เพราะบางทีคนที่คุณกำลังคิดปรักปรำอยู่อาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไม่มีทางหรอกครับคุณไทเลอร์ ผู้หญิงที่ทำงานในผับในบาร์ ไม่มีทางไม่ขายตัว”
สีหน้าของไทเลอร์เยือกเย็นลงเล็กน้อย ก่อนที่น้ำเสียงกระด้างจะถูกเค้นออกมาจากริมฝีปากหยักสวยสีแดงสด
“แล้วคุณรู้ไหมว่ายายแว่นคนเมื่อกี้ทำงานอยู่ที่ไหน”
“ผมรู้ครับ...”
คำตอบของทอมสันทำให้ไทเลอร์ระบายยิ้มหยันออกมา
“โอเค งั้นเย็นนี้เราไปพิสูจน์กัน ดูสิว่าสิ่งที่คุณกำลังสงสัยอยู่นั้นจะเป็นความจริงหรือเปล่า”
“ได้ครับ คุณไทเลอร์”
“งั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่ลานจอดรถ”
คนพูดที่มีใบหน้าหล่อลากดินผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน สองขาทรงพลังก้าวเดินออกไปจากห้องของอาจารย์ฝ่ายปกครองด้วยท่วงท่าสง่างาม และระหว่างทางก็ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายหาคู่ขาเพื่อยกเลิกนัดบนเตียงในค่ำคืนนี้ด้วย