ตอนที่ 1
“น้อยหน่า... จากนี้ต่อไปหนูต้องดูแลตัวเองนะลูก หนูต้องเป็นเด็กดี อย่าดื้อให้ลุงโรมเพื่อนพ่อต้องหนักใจ จากนี้ไปลุงโรมจะเป็นคนดูแลหนูแทนพ่อ”
ยุทธนาบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สั่นเครือ แต่ก็ไม่ยอมร้องไห้ แค่ขยับปากพูดก็เหนื่อย ในวันที่รู้ตัวแล้วว่าวาระสุดท้ายของตนกำลังใกล้เข้ามาทุกที หลังจากทรมานกับการรักษาตัวเพราะป่วยเป็นมะเร็งในสมองขั้นสุดท้าย ก้อนเนื้อร้ายอยู่ในตำแหน่งที่ยากยิ่งต่อการผ่าตัด
“คุณพ่อจะต้องไม่เป็นอะไรนะ... ฮือๆ”
น้อยหน่าน้ำตาซึม ก่อนที่หยาดน้ำตากลมเกลี้ยงจะกลิ้งลงมาอาบนวลแก้ม
แม้ว่าหล่อนจะถูกเลี้ยงดูให้เป็นคนเข้มแข็ง แต่วันนี้น้อยหน่าก็อดร้องไห้ไม่ได้จริงๆ สิ้นบิดาสักคนหล่อนก็คงไม่เหลือใครแล้ว ความรู้สึกเหมือนเรือที่ล่องลอยเคว้งคว้างในท่ามกลางหมาสมุทรเพียงลำพัง เพราะว่ามารดาก็เสียไปตั้งแต่ตอนที่หล่อนมีอายุได้เพียงขวบเศษๆ
“หนูต้องเข้มแข็ง... ต่อให้ไม่มีพ่อ... หนูก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้... ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น... ลุงโรมจะเป็นคนดูแลหนูเอง”
ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทั้งที่เจ็บปวดเหลือเกิน หากชายผู้เป็นบิดาก็พยายามซ่อนสีหน้าเจ็บปวดจากสายตาของลูกสาว ยุทธนาอยากให้น้อยหน่าจดจำแต่ภาพสุดท้ายที่เป็นความสุข
ยุทธนาช่างเป็นบิดาที่น่าสรรเสริฐยิ่งนักในเรื่องของความอดทน อาจเป็นเพราะสายเลือดชายชาติทหารที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้เขาเข้มแข็งอย่างที่เห็น
วันนี้น้ำตาของยุทธนาไม่มีไหลออกมาให้ลูกสาวเห็นสักหยด แม้ว่าโรคมะเร็งจะพรากชีวิตเขาไปในวันรุ่งขึ้นก็ตาม
สัปดาห์ต่อมา
ที่บ้านหลังน้อยท้ายซอย น้อยหน่านั่งรอคอยคนที่จะมารับหล่อนไปอยู่ต่างจังหวัดอย่างใจจดใจจ่อ
หญิงสาวยอมรับว่ารู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่จะเจอหน้าชายซึ่งบิดาสั่งให้เรียกว่า ‘ลุงโรม’ เพราะหล่อนเคยได้ยินแต่ชื่อของเขา ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้เลยสักครั้ง อดนึกฉงนใจไม่ได้ว่าทำไมบิดาจึงไว้ใจให้เขาเป็นคนดูแลหล่อนต่อไป
ขณะที่สายตาเหม่อลอยของสาวน้อยกำลังทอดมองไปยังเวิ้งฟ้าเกลื่อนปุยเมฆ จู่ๆ เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำคันใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาจอดเลียบหน้าบ้าน ก็ทำให้น้อยหน่าสะดุ้ง
“ลุงโรม”
หญิงสาวเรียกชื่อเขาทั้งที่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้า รถกระบะจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน จากนั้นผู้ชายร่างสูงใหญ่เกินกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรก็ก้าวลงมาจากรถ
“น้อยหน่าใช่ไหม”
รอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของคนที่เพิ่งมาถึง ทำให้เขาดูเป็นคนใจดีขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนไม่พูด ไม่ยิ้ม ใบหน้าของลุงโรมดูขรึมดุ แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าแผงหนวดสีดำดกหนาเป็นแพเหนือริมฝีปากบางของเขา ส่งให้ภาพของชายผิวเข้มตัวใหญ่กล้ามใหญ่ยิ่งดูน่ายำเกรง
“ใช่ค่ะ... เอ่อ สวัสดีค่ะลุงโรม”
น้อยหน่ากระพุ่มมือไหว้อ่อนช้อย ใครจะคาดคิดว่าผู้ชายที่บิดาของหล่อนเอ่ยถึงบ่อยๆ จะเป็นฝรั่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามสะดุดตาขนาดนี้
หน้าตาของลุงโรมยังดูหนุ่มมาก เขาตัวใหญ่มาก หุ่นยังฟิตเฟอร์มไปด้วยกล้ามเนื้อตึงเต็มอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาวที่เขาสวมใส่
ทั้งที่วัยของลุงโรมใกล้เคียงกับบิดาของหล่อน แต่เขายังดูหนุ่มจนน่าประหลาดใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าการแต่งกายด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์นั่นเอง ที่ทำให้เขาดูแตกต่าง
น้อยหน่านึกสงสัยในความเป็นฝรั่ง หรือบางทีเขาอาจจะเป็นลูกครึ่ง เพราะว่ามีเค้าโครงหน้าละม้ายคล้ายชาวต่างชาติเหลือเกิน เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันสวย ดวงตาสีสนิมเหล็ก และความสูงใหญ่ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร
“อันที่จริงลุงเข้ามาถึงพักใหญ่ๆ แล้ว แต่กรุงเทพฯ รถติดเหลือเกิน”
โรมกล่าวยิ้มๆ
“ขอโทษที่ลุงไม่ได้มาร่วมงานศพพ่อของหนู”
ในระหว่างที่จัดงานศพยุทธนา ตอนนั้นโรมยังติดธุระสำคัญอยู่ที่อเมริกา จึงไม่สามารถเดินทางกลับมาร่วมงานศพได้ทัน ครั้นพอกลับมาถึงเมืองไทยเขาก็รีบมารับลูกสาวของเพื่อนรักตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ว่าจะช่วยดูแลน้อยหน่าต่อไป
“รอลุงนานมั้ยลูก”
ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาวด้วยความเอ็นดู สุ้มเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเป็นคนใจดี
“รอไม่นานค่ะ... แต่กังวลว่าลุงจะมามั้ย”
หญิงสาวตอบ
“ต้องมาสิจ๊ะ”
โรมเป็นคนรักษาสัญญาอย่างที่สุด เขาไม่เคยผิดคำพูด สำหรับเขาเมื่อพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น
“ไม่คิดว่าหนูจะสวยขนาดนี้”