บทที่ 6
บทที่ 3
ในวันนี้เป็นวันที่คณะทัวร์จากประเทศไทยได้เดินทางด้วยเครื่องบินจากสนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี มายังสนามบินที่เมืองไคเซอรี (Kayseri) ซึ่งเป็นสนามบินที่อยู่ห่างจากเมืองเกอเรเม โดยประมาณหกสิบกิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางด้วยรถบัสจากสนามบินมายังโรงแรมเดอะควีนโฮเทล (The Queen Hotel) หนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบนาที
เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งระหว่างรอให้นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินสยามเดินทางมาเยือน ช่างเป็นเวลาที่ดูเนิ่นนานสำหรับผู้เป็นเจ้าของโรงแรมซะเหลือเกิน
คาลมิลออกมายืนรอนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้าโรงแรม สีหน้าและดวงตาคมกริบของกัปตันหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาในตลอดเวลา จนผู้เป็นบิดาซึ่งนั่งจิบชาอุ่นๆ อยู่ใกล้กันอดแซวออกมาไม่ได้
“ไอ้กัปตันจะตื่นเต้นไปถึงไหน มานั่งลงจิบชากับพ่อก่อนก็ได้ อีกนานกว่ารถบัสจะมาถึง”
“คุณพ่อดื่มชาคนเดียวเถอะครับ ผมอยากยืนรอนักท่องเที่ยวครับ”
คาลมิลเอ่ยตอบบิดาโดยไม่ได้หันมามองหน้าท่าน ดวงตาสีดำดั่งสีนิลยังคงจ้องมองไปยังท้องถนน รอคอยรถมินิบัสซึ่งส่งไปรับนักท่องเที่ยวถึงสิบคันด้วยกันได้เดินทางมาถึงโรงแรมของตน
ยิ่งเห็นท่าทีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของลูกชาย ท่านไอเดอร์ก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ สัพยอกลูกชายแกมเอ่ยถามในตอนท้าย
“จะตื่นเต้นมากเกินไปแล้วนะไอ้กัปตัน ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่ ทำไมรอบนี้คาลมิลถึงได้ตื่นเต้นนัก จะว่าไม่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวคณะใหญ่ๆ ก็ไม่ใช่”
คราวนี้คาลมิลหมุนตัวหันหลังเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้กับบิดา ใบหน้าหล่อเหลาส่ายปฏิเสธช้าๆ ขณะเจ้าตัวเอ่ยตอบ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมใจของผมถึงได้เต้นแรงขณะรอนักท่องเที่ยวที่จะเดิน
ทางมาถึง ในใจของผมมีความรู้สึกราวกับว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างวิ่งเข้าหา ผมสารภาพตรงๆ เลยนะครับคุณพ่อ ว่าเมื่อคืนผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยละครับ”
“เออ...เป็นเอามาก”
ท่านไอเดอร์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะและมองค้อนด้วย ไม่เข้าใจความรู้สึกที่ลูกชายเอ่ยบอก จึงได้แต่หัวเราะด้วยความขบขำกับอาการของลูกชาย
คาลมิลไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะของบิดา นอกจากก้มหน้าลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็ตีหน้านิ่วคิ้วขมวดบ่นอุบอย่างคนใจร้อน
“ทำไมป่านนี้แล้วยังมาไม่ถึงสักที จากสนามบินมาโรงแรมไม่น่าจะขับรถเกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง”
“ใจเย็นๆ หน่อยลูก คาลมิลอย่าลืมว่ามีนักท่องเที่ยวสามสิบคน มีรถมินิบัสทั้งหมดสิบคันที่ขับตามๆ กันมา และขับด้วยความเร็วจำกัด มันก็ต้องมีช้ากันบ้างแหละ”
“เฮ้อ...ผมจะพยายามใจเย็นเหมือนที่คุณพ่อบอก แต่นี่ก็เกินเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีแล้วนะครับ” ปากนั้นบอกว่าจะใจเย็น แต่หัวใจของกัปตันหนุ่มไม่ได้เย็นตามด้วย แถมในตอนท้ายก็ยังบ่นไม่เลิก
“ไม่ต้องบ่นแล้วไอ้กัปตัน โน่น...รถบัสคันแรกโผล่หัวมาให้เห็นแล้ว”
ท่านไอเดอร์บอกลูกชายพร้อมกับชี้นิ้วไปยังรถมินิบัสของโรงแรม ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านมุมโค้งถนนและแล่นเข้ามายังด้านหน้าของโรงแรม
ได้ยินบิดาบอกเช่นนั้น คาลมิลก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับลุกพรวดจากเก้าอี้ แล้วเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งไปยืนรอนักท่องเที่ยวอยู่ตรงทางเข้าของโรงแรม
รถมินิบัสของโรงแรมจำนวนสิบคันที่ไปรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมาจากสนามบินค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดด้านหน้าโรงแรม และด้วยมีพื้นที่ไม่เพียงพอ รถมินิบัสบางคันจำต้องจอดชิดอยู่บนถนนด้วย
คาลมิลยืนมือประสานกันอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เตรียมมอบรอยยิ้มนี้ให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยคนแรกที่ก้าวลงจากรถบัส
และเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวคนแรกที่ก้าวลงมา แล้วเดินตรงมาหยุดยืนอยู่ห่างจากตนเองแค่ไม่กี่ก้าว ก็ทำเอาคาลมิลถึงกับนิ่งงัน พอดวงตาคมกริบมองปะทะกับรอยยิ้มหวานติดยั่วยวน ที่หญิงสาวคนนี้ได้คลี่ยิ้มให้ก็แทบลืมหายใจเลยทีเดียว
“เอ่อ...ผมกัปตันคาลมิล เป็นเจ้าของโรงแรมเดอะควีนโฮเทล ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองเกอเรเมครับ”
ต้องใช้เวลาหลายนาที กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ และขณะเอ่ยแนะนำตัวนั้น ดวงตาคมกริบก็ยังคงจับจ้องมองอยู่ที่ใบหน้างามซึ่งระบายไปด้วยรอยยิ้มอย่างไม่กะพริบตา
ทางด้านของดาราสาวนักล่าแต้ม ได้ลอบยิ้มกับแผนการที่วางได้ ซึ่งดูเหมือนว่ากับดักที่เธอเตรียมไว้ กำลังจะได้กินเหยื่อในเร็วๆ วันนี้
แน่นอนว่าเมขลาวางแผนไว้ทุกขั้นตอน และบอกกับตัวเองว่าสะกดกัปตันคาลมิลให้อยู่หมัดนับตั้งแต่วินาทีแรกที่อีกฝ่ายได้มองสบตากับเธอ
เมื่อหมายมั่นปั้นมือว่าต้องเก็บแต้มจากกัปตันคาลมิลให้ได้ เมขลาก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสมหวัง เริ่มตั้งแต่การแย่งขึ้นรถมินิบัสคันแรกและนั่งบนที่นั่งแถวแรก จากนั้นก็รีบลงจากรถอย่างไม่รอช้าในทันทีที่รถจอดแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้กัปตันหนุ่มเห็นเธอเป็นคนแรกและพุ่งความสนใจมาที่เธอแค่เพียงผู้เดียว
‘เป็นยังไงละกัปตันคาลมิล เห็นเมขลาคนนี้แล้วถึงกับยืนตะลึงเลยหรือ’
เมขลายิ้มเยาะอยู่ในใจ แผนการจับผู้ชายของเธอสำเร็จไปสิบเปอร์เซ็นแล้ว ที่เหลืออีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะสำเร็จลุล่วงภายในวันสองวันนี้อย่างแน่นอน
หากต้องการจับผู้ชายให้อยู่หมัดก็ต้องเป็นฝ่ายรุก! และเมขลาก็ไม่รอช้า หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปใกล้กัปตันคาลมิล จงใจให้กัปตันหนุ่มได้กลิ่นน้ำหอมรวยระรินที่เธออุตส่าห์พรมฉีดน้ำหอมแบรนด์เนมเพื่อยั่วยวนเขาโดยเฉพาะ จากนั้นก็เผยอปากขึ้นเล็กน้อยจงใจอีกรอบให้กัปตันหนุ่มได้เห็นลิ้นสีชมพูในยามที่เธอเอ่ยทักทายกลับคืน
“ขอบคุณกัปตันคาลมิลที่ออกมาต้อนรับฮันนี่ด้วยตัวเอง และยินดีที่ได้รู้จักกัปตันคาลมิลค่ะ”
เรื่องการยั่วยวนผู้ชายให้หลงเสน่ห์เมขลาถนัดยิ่งนัก เอ่ยทักทายไปแล้วหญิงสาวก็ยื่นมือไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่เป็นดั่งการบังคับกลายๆ ให้กัปตันคาลมิลต้องจับมือของเธอไปประทับจูบ
กัปตันคาลมิลต้องมนต์สะกดของเมขลาเข้าเต็มรัก พอหญิงสาวยื่นมือมาข้างหน้าก็โน้มตัวจับมือของหญิงสาวมากดจูบบนหลังข้อมือในทันทีเช่นเดียวกัน
“ขอต้อนรับมาดามสู่เดอะควีนโฮเทลของผมครับ”
“อุ้ย! เรียกมาดาม ฟังดูแก่มากเลยค่ะ ฮันนี่ไม่ชอบ กัปตันต้องเรียกด้วยชื่อเล่นของฮันนี่ว่า...ฮันนี่ค่ะ”
เมขลาต่อว่าอย่างมีจะริตจะก้าน แถมยังตีเบาๆ บนต้นแขนของกัปตันคาลมิลด้วย ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังไม่ดึงมืออีกข้างของตนออกมาจากมือใหญ่ของกัปตันหนุ่ม
คาลมิลหัวเราะเบาๆ กับคำตำหนิต่อว่า จากนั้นก็เรียกชื่อตามที่หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าอย่างไม่รู้ตัว
“ฮันนี่...ชื่อของคุณไพเพราะมากครับ เหมาะสำหรับเป็นที่รักของหนุ่มผู้โชคดีที่สุดในโลก”
“ก่อนหน้านี้ฮันนี่ไม่เคยคิดเลยนะคะว่าฮันนี่จะเป็นที่รักของใครได้ แต่เริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ตอนที่กัปตันพูดนี่แหละค่ะ และแอบคิดว่าคนๆ นั้นน่าจะยืนอยู่ตรงหน้าฮันนี่ในตอนนี้แล้ว”
ไม่เคยเจอคำป้อยอ ไม่เคยต้องมารยาหญิงมาก่อน เมื่อถูกเมขลาเอ่ยพูดซึ่งๆ หน้า แถมยังเบียดกายเข้าหาจนต้นแขนแข็งแกร่งสัมผัสได้กับเนินปทุมอวบอิ่มที่หญิงสาวบดเบียดเข้าหาอย่างจงใจ กัปตันคาลมิลก็ใจเต้นรัวเร็วแทบทะลุออกมานอกจอเลยทีเดียว
“เอ่อ...เอ่อ...คุณฮันนี่เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ เดี๋ยวเชิญไปพักบนห้องก่อนไหมครับ ผมเตรียมห้องพักไว้ให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วครับ”
ในยามที่กลิ่นน้ำหอมหวานลอยมาปะทะจมูก กอปรกับปทุมอิ่มที่ขยับเสียดสีกับต้นแขน ทำเอาคาลมิลแทบคิดอะไรไม่ออก และแทบลืมนักท่องเที่ยวอีกยี่สิบเก้าชีวิตรวมทั้งไกด์หนุ่มที่รอการต้อนรับจากเขาเช่นเดียวกัน