ตอนที่ 1
ไม่อนุญาตให้สแกนหนังสือ
หรือคัดลอกเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือ
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหนังสือเท่านั้น
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น
ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล
และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา
อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ
……….
นิยายเรื่องนี้… ไม่มีแก่นสารสารัตถะอะไรนักหนา
ทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อันมืดดำของมนุษย์
ดำเนินเรื่องด้วยตัณหาราคะสุดร้อนแรง
ท่านใดที่ไม่ชอบโปรดหลีกเลี่ยง
*เราเตือนท่านแล้ว*
“เพลิงพระจันทร์เดิมพันสวาท”
ดอยแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ที่ศาลาไม้ริมทาง ใกล้ๆกับบ้านพักของเจ้าหน้าที่กองอุทยานแห่งชาติสาละวิน หญิงสาวหน้าตาสะสวย เรือนผมสีดำยาวสลวย ทอดสายตาคู่คมผ่านกรอบกลมกว้างของแว่นกันแดดสีดำสนิท ไปยังเทือกเขาทะมึน ที่ตระหง่านง้ำอยู่เบื้องหน้า มองดูผืนป่าสีเขียวเข้มเหมือนผืนพรมขนาดใหญ่ที่ปูลาดเอาไว้เต็มทิวเทือกขนาดมหึมา ทอดตัวเหยียดยาวเชื่อมต่อกันมาจากทิวเขาถนนธงชัย
‘ขอภาวนาให้พี่ชานนท์ยังมีชีวิตอยู่ทีเถอะ’
หญิงสาวพร่ำภาวนาอยู่ในใจ
ในวินาทีที่มนุษย์ต้องพบพานกับความทุกข์เศร้า หรือบางครั้งที่ชีวิตมักจะถูกทดสอบด้วยวิกฤตอันหนักหนาสาหัส อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะในบางครั้ง…ศรัทธาความเชื่อในสิ่งซึ่งมองไม่เห็น ก็ช่วยให้มีความหวังทางใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย
จึงไม่แปลกที่หญิงสาวกระพุ่มมือขึ้นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ภาวนาให้เห็นแสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์ อธิษฐานกับเทวาอารักษ์ที่สถิตย์อยู่ยังผืนป่าเบื้องหน้า รำพึงรำพันในใจ ถึงผู้ชายที่ชื่อ ‘ชานนท์’ ซึ่งเป็นพี่ชายที่หายสาบสูญไปในความลึกลับซับซ้อนของผืนป่าสาละวินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
ในระหว่างที่ยืนรออยู่นั้น ปลายจมูกเชิดรั้นรับรู้ได้ถึงไอดินและกลิ่นป่าเปลี่ยวที่ปะปนมากับกระแสลมเอื่อยอ่อน รู้สึกถึงความเยียบเย็นที่ฝังตัวอยู่ตามราวไพร ผิวกายสัมผัสได้ถึงไอหนาวที่โรยตัวอยู่ทั่วยอดดอยสูงเสียดเมฆ ก่อนจะกวาดสายตาไปตามสันเขาที่พระอาทิตย์เริ่มสาดลำแสงมาจากเบื้องหลัง
บางส่วนของแสงโผล่พ้นเทือกทิวสลับสล้าง สะท้อนปุยเมฆเป็นริ้วรายเรื่อเรืองอยู่ที่ขอบฟ้า ทะเลหมอกหนาก็ยังขังตัวอ้อยอิ่ง นิ่งอยู่ตามที่ราบต่ำ ลดหลั่นลงมาตามลำดับความสูงชันของภูมิประเทศ
ไม่ไกลกันนั้น ได้ยินเสียงสายน้ำ ตกลงกระทบโขดหินเบื้องล่างโครมครืน
สันนิษฐานว่ามีน้ำตกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ เสียงของน้ำจึงแว่วออกมาชัด ยืนยันได้จากไอชื้นของละอองน้ำที่เจืออยู่ในบรรยากาศรายรอบ
สายลมเย็นยังคงกรรโชกมาเป็นระยะๆ แลเห็นผืนป่าสีเขียวระบัดไหว ยามที่ลมขยับใบไม้ กระเพื่อมยวบยาบต่อๆกันไปเป็นทอดๆ บางครั้งหูก็แว่วได้ยินเสียงหวีดหวิวจากราวไพร คล้ายเสียงสัตว์ผสมเสียงลม บางครั้งคล้ายเสียงกรีดร้องของคน สะท้อนกึกก้อง มองไม่เห็น…แต่โหยหวนไปทั้งป่า ราวกับผืนไพรแห่งนั้นมีลมหายใจ
สีเขียวขจีสลับส้มแดงและเหลืองอ่อนของยอดใบที่แตกใหม่ กำลังผลิรับฝนแรกที่พร่างลงมายังผืนป่า ในช่วงรอยต่อของฤดูกาล ยอดใบอ่อนของแมกไม้ที่แตกสะพรั่ง ช่วยยืนยันถึงความสมบูรณ์ของป่าเบญจพรรณ อันเป็นทิวสายต้นน้ำลำธารของลำน้ำสาละวินที่แตกแยกออกเป็นลำแควน้อยใหญ่อีกหลายสาย เอื่อยไหลมาหล่อเลี้ยงชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่ง
หญิงสาวสูดลมหายใจแรงลึก เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ป่าที่พัดมากับสายลมเอื่อยอ่อน สร้างความหอมรื่นชื่นใจไปทั่วบริเวณ
ในวินาทีที่หญิงสาวกำลังเพลินชมธรรมชาติ
จู่ๆ…กังวานเสียงทุ้มกว้างของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันรายรอบ
“หนูพริมใช่ไหม…?”
ชายผู้มีผิวขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ร่างท้วมใหญ่ ศีรษะเถิกกว้าง จมูกโด่งพอประมาณ สวมเสื้อสีกากี กางเกงสีกากี รองเท้าคอมแบตสีดำ ดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแว่นสายตา ฉายประกายว่าเป็นคนใจดี
เขาปรากฏกายขึ้นเงียบๆ จากทางด้านหลังของเธอ
“ค่ะ…สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวสะดุ้ง รีบหันไปตามเสียงที่เอ่ยทัก
ใบหน้าชดช้อย ประพิมพ์ประพาย ช้อนฝ่ามือขึ้นไหว้ชายวัยกลางคนด้วยท่าทางนอบน้อม อ่อนหวาน
ครั้นแล้วจึงเอ่ยถาม ย้ำให้แน่ใจว่าเป็นเขาคือคนที่เธอกำลังรอคอย