12 เธอเป็นของฉัน
ในขณะที่ชนัญชิดากำลังนั่งคิดถึงแผนการที่จะเดินทางกลับบ้าน เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น หญิงสาวรีบลุกไปดูแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเมฆินทร์กำลังเดินเข้ามาในห้อง
“คุณเมฆินทร์....” หัวใจของเธอเต้นแรงกับการเผชิญหน้าเขาหลังจากเขาพรากความบริสุทธิ์ของเธอไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
“ฉันบอกให้เรียกว่าอะไร” เขาพูดเสียงเรียบแล้วเดินไปนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขก
“คุณเมฆคะ คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ฉันไม่มาก็บ่นน้อยใจพอฉันมาก็ยังจะถามตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่มะปราง” เขาทำเป็นหงุดหงิดแต่ที่มาเพราะรู้สึกว่าอยากจะคุยกับเธอหลังจากที่เมื่อคืนคุยกับเธอไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
“หนูก็แค่แปลกใจ” เธอก้มหน้าซ่อนความดีใจเอาไว้
“คุยกับฉันก็มองหน้าฉันสิมะปราง เงยหน้าขึ้น”
เขาออกคำสั่งเสียงเข้มแต่พอชนัญชิดาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสังเกตเห็นความบวมช้ำใต้ดวงตาของเธอ เดาได้ไม่ยากว่าเธอคงเสียงใจกับเรื่องเมื่อคืน แต่คนอย่างเขาไม่เคยปลอบใจใคร ในเมื่อเขามีสิทธิ์ในตัวเธออย่างเต็มที่แต่ในใจก็แอบสงสารเธออยู่
“แค่นอนกับฉันก็ร้องไห้หนักเลยนะ เด็กชะมัด” เขาสงสารอยากจะปลอบและขอโทษ แต่คำพูดกลับตรงกันความกับความรู้สึก
“แล้วจะให้หนูดีใจเหรอคะ” หญิงสาวตอบกลับแววตาบอกว่าไม่ชอบที่เขาพูดแบบนี้
“ไม่รู้สิ มีผู้หญิงอีกมากที่อยากนอนกับฉัน” เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าเธอไม่พอใจ
“งั้นคุณเมฆก็ไปนอนกับผู้หญิงที่คุณบอกสิคะ”
“ไม่ล่ะเบื่อแล้วอยากนอนกับเด็กอย่างเธอมากกว่า เธอว่าดีไหมล่ะ” เขาถามแล้วมองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ชนัญชิดาเห็นท่าทางของเขาแล้วก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน ใบหน้าของเธอค่อยแดงขึ้นมาทีละนิดและเมฆินทร์ก็สังเกตเห็น เขาไม่พูดอะไรเพราะคิดว่าถ้าพูดเธอก็จะอายและต่อต้านเข้า
“ไม่ดีหรอกค่ะ หนูเป็นแค่เด็กไม่เก่งเรื่องนั้น”
“แล้วใครเก่งมาตั้งแต่เกิดบ้างล่ะมะปราง ไม่เก่งก็ต้องรีบเรียนรู้ให้ตัวเองเก่งสิ ฉันจะเป็นครูสอนให้เธอเองนะ” เมฆินทร์เสนอ
“ไม่เป็นไรค่ะหนูว่าเรื่องนี้ไม่ต้องเก่งก็ได้”
“ไม่อยากเป็นอิสระเหรอ” เขาถามได้อย่างตรงจุดเพราะรู้ว่าชนัญชิดาต้องการอะไร
“อย่างสิคะ” เธอรีบตอบแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง
“ถ้าอยากก็แค่ทำตามฉัน อย่าขัดใจฉันแค่นั้นก็พอ”
“แต่วันนี้คุณเมฆคงไม่ทำอะไรหนูใช่ไหมคะ”
“ถ้าไม่ทำอะไรแล้วฉันจะมาหาเธอทำไมล่ะ” อันที่จริงแล้วเมฆินทร์ไม่คิดจะทำอะไรแต่ที่มาก็แค่อยากมาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง
“คุณเมฆขา....อย่าเพิ่งทำอะไรหนูเลยนะคะ หนูยังเจ็บอยู่” ชนัญชิดาอ้อนเสียงหวานพลางทำตาปริบๆ
“นี่เห็นว่าอ้อนเก่งหรอกนะจะเว้นไว้สักหน่อย แล้วนี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เหรอ กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้วค่ะ”
“กินกับอะไร”
“หนูทำข้าวต้มกินค่ะ”
“ทำเองเหรอ”
“ทำให้ฉันหน่อยสิ” เขาคิดจะชวนเธอออกไปหาอะไรทานข้างนอกแต่พอเธอบอกว่าทานแล้วก็เลยต้องเธอทำให้ทาน
“แต่มันไม่อร่อยหร่อกนะคะแค่กินกันตาย”
“แต่ฉันหิวมากนะ ถ้าไม่ทำให้ฉันกินฉันจะกินเธอนะมาปราง” เขาขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หนูทำให้ก็ได้ค่ะ” ชนัญชิดารีบเดินเข้าครัว
ไม่นานนักข้าวต้มก็เสร็จเรียบร้อย
“น่ากินเหมือนกันนะ” เมฆินทร์มองข้าวต้มในชามแล้วกลืนน้ำลาย
“กินได้ก็กินนะคะ ถ้ากินไม่ได้ก็เททิ้งค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ”
ชนัญชิดากลับเข้ามาในห้องนอนแล้วเก็บของใช้ลงกระเป๋า เธอคิดว่าถ้าเมฆินทร์กลับไปแล้วเธอจะออกเดินทางไปหาบิดา
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นเมื่อเธอเก็บกระเป๋าเสร็จพอดี
“ออกมามาคุยกันหน่อยมะปราง”
“คุณเมฆมีอะไรจะคุยกับหนูคะ” ชนัญชิดาเดินไปนั่งที่โซฟาตัวเล็กที่อยู่ตรงข้ามเขาเพื่อรักษาระยะห่างให้มากที่สุด
เมฆินทร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนา
“เมื่อคืนฉันขอโทษ”
คำขอโทษที่ออกมาจากปากของเขาอย่างง่ายดาย ทำให้ชนัญชิดารู้สึกประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำนี้ออกมา
“คุณจะขอโทษไปทำไมคะ ในเมื่อคุณทำทุกอย่างเพราะคุณจ่ายเงินให้พ่อของหนูแล้ว” ชนัญชิดาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ก็ขอโทษที่ฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่มันก็เป็นเพราะเธอทำตัวไม่น่าไว้ใจ”
“ไม่น่าไว้ใจตรงไหนคะ หนูก็แค่ไปเที่ยวกับเพื่อน คุณไม่เคยมาสนใจหนูเลยด้วยซ้ำ” ชนัญชิดาถามอย่างเหลือเชื่อ
“ก็บอกไปแล้วว่ารอให้เธอสอบเสร็จก่อน แต่ฉันก็ให้ที่อยู่ ให้เงินใช้ ผู้หญิงของฉันจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลเข้าใจใช่ไหม” เขาไม่เคยต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เด็กของเขาฟังเลยสักคน แต่กับชนัญชิดาเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกับคนอื่น
“ค่ะ หนูเข้าใจ” คำว่าผู้หญิงของฉันทำให้ชนัญชิดารู้สึกเจ็บเธอตีค่าเธอเหมือนสิ่งของ เธอคงไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรเลยใช่ไหมหญิงสาวได้แต่ถามอยู่ในใจ
“เข้าใจก็ดีว่าเธอเป็นของฉัน”
“แต่หนูฉันไม่ใช่สิ่งของนะคะคุณเมฆ หนูเป็นคนค่ะ” ชนัญชิดาพูดเสียงสั่น
“งั้นก็ควรจะทำตัวให้เหมือนคนมีเจ้าของ ฉันไม่อนุญาตให้เธอไปเที่ยวผับ หรือไปสุงสิงกับผู้ชายคนอื่นอีก” เมฆินทร์ตอบกลับทันควัน
“นี่คุณจะให้หนูขังตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้งั้นเหรอคะ”
“เธอยังไปมหาวิทยาลัยได้ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ จะไปเดินเที่ยวห้างหรือไปไหนก็ได้ที่เหมาะสม แต่ต้องไม่มีผู้ชายคนอื่นมาพัวพันกับเธออีก และถ้าผมต้องการเธอก็ต้องพร้อมเสมอ”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ” ชนัญชิดาพูดเสียงเบาราวกับยอมแพ้ในชะตากรรม
เมฆินทร์สังเกตเห็นท่าทีที่อ่อนแรงของเธอ เขาลุกขึ้นจากโซฟา เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่แดงก่ำของเธอ
“มีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยอีกไหม” เมฆินทร์ถาม
ชนัญชิดานึกถึงเรื่องที่คุยกับเพื่อนๆ เมื่อเช้าเรื่องแผนปิดเทอม เธอจึงรวบรวมความกล้าพูดออกไป
“ช่วงปิดเทอมนี้หนูอยากจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดค่ะ ฉันอยากกลับไปเยี่ยมพ่อ” ชนัญชิดาพูดเสียงอ่อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความหวัง เธอรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อยากลองดูสักตั้ง
“ไม่ได้” เมฆินทร์ตอบกลับทันควัน เสียงแข็งกร้าวไม่เปิดช่องให้ต่อรอง
“ทำไมจะไม่ได้คะ หนูก็แค่จะกลับไปอยู่กับพ่อแค่ช่วงปิดเทอมนะคะ” ชนัญชิดาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้าเธอกลับไป ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะกลับมาอีกไหม”
“แต่ปิดเทอมมันก็หลายเดือนนะ หนูว่าหนูคงเฉาตายแน่ถ้าอยู่แต่ในห้อง หนูไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ หนูสัญญาว่าฉันจะกลับมาแน่นอน”
“ฉันจะเชื่อเธอได้เหรอ” เมฆินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไว้วางใจ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ชนัญชิดารู้สึกเจ็บปวด เธอไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ และเธอก็ไม่เคยคิดจะหนีเรื่องนี้ไปไหนเลย
“คุณก็รู้ว่าบ้านหนูอยู่ที่ไหนถ้าหนูไม่กลับมาคุณก็คงรู้ว่าบ้านหนูอยู่ที่ไหน”
“ถ้าอยากกลับจริงๆ ฉันให้เวลาแค่อาทิตย์เดียวแล้วต้องกลับมาที่นี่”
“แต่....”
“ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ต้องไป” เมฆินทร์คิดว่าที่เขาทำอยู่นั้นถือว่าใจดีกับเธอมากกว่าใครแล้ว
