บท
ตั้งค่า

ปฐมบท (1/2)

⊹ ปฐมบท ⊹

เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้ง

หนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ

“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”

แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการจากไปของ ‘พระรอง’ ในนิยายที่ตนเองชื่นชอบ

“ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นแค่พระรองจะไปเชียร์แต่แรกทำไม”

“เผื่อนักเขียนเปลี่ยนใจ” เสียงว่าสลดแล้ว ใบหน้าก็เบ้ออกเหมือนเด็กเล็กร้องหาแม่ “อยากเลิกอ่าน แต่อยากรู้ตอนจบ แต่ก็โกรธที่พี่เป้ตายด้วย ทำไงดี นี่อ่านตั้งแต่ตอนเย็น ๆ แล้ว ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เลย อยากตายแทน”

สายตาทั้งสามคู่ของคนร่วมโต๊ะหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว ไม่ใช่อารามตกใจที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เป็นเอือมระอาเต็มแก่

ปิ่นปักษาได้ทีก็ค่อนขอดเพื่อนสาวอย่างอดไม่ได้ “ให้มันได้อย่างนี้ พระรองตายร้องเหมือนหมาโดนรถทับ แต่ผัวนอกใจชีไม่มีน้ำตาสักหยด”

ได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น วรัสยาก็เลือดขึ้นหน้า “แล้วผู้ชายดี ๆ อย่างพี่เป้กับคนแบบไอ้อั๋นมันน่าเสียน้ำตาให้ใครมากกว่ากัน คนแบบมันน่ะ แค่พูดถึงยังเสียปาก"

“แล้วหยุดงอแงให้ก่อนได้ไหมล่ะ ทำเหมือนเพิ่งสามขวบ” แนน นันทภัคพูดพร้อมกับยื่นแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันมาให้ เจ้าตัวรับไว้แต่โดยดี “อาบไปเลยก็ได้ถ้ามันช้ำใจนัก”

“แต่ไม่ค่อยเห็นพวกมันอัพอะไรเลยนะ นี่ส่องบ่อย อยากรู้ความเป็นไป” ทราย โสรยาเอ่ยขึ้นเรียกสายตาของทั้งสามได้เป็นอย่างดี “หรือมันไม่ค่อยอยากโชว์ตัวกันวะ อาจจะอายปะ”

“ทำไมใส่ใจกว่ากูอีกอะ” วรัสยาว่าขำ ๆ

“มึงก็รู้ กูขี้เสือกจะตาย”

เธอส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า พอหัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไป ท่าทีของ ‘อนาคตดาวในค่ำคืนนี้’ ก็เปลี่ยนตาม ไม่มีการร้องไห้ฟูมฟาย แม้จะเสียใจที่พี่เป้ ตัวละครที่รักมาก ๆ ต้องลาจากไปก่อนวัยอันควร ใบหน้าที่ผ่านการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางก็ยังคงอยู่เหมือนไม่ได้ผ่านการร้องไห้มาก่อน ก็เพราะมันไม่เคยมีน้ำตาไหลออกมาสักหยดต่างหาก เธอแค่สติหลุดไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง

“งั้นก็รู้สิว่ามิวมันไม่ชอบโพสต์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรละ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก อย่าไปว่า-”

“ไม่ต้องพูดค่ะนังผักกาดดอง” ปิ่นปักษาเบรกจนหัวแทบคะมำ “มันทำกับมึงขนาดนั้นก็ยังจะพยายามปกป้องเนอะ สมองมึงยังสมประกอบดีอยู่ไหม กูก็อยากจะรู้แบบนั้น ลงไปนอนให้กูผ่าออกมาดูหน่อยซิ” นักศึกษาแพทย์เริ่มอยากโชว์ฝีไม้ลายมือ

“ไม่ใช่เว้ยปิ่น มึงก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดใคร มิวคบกับกูตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้า จนตอนนี้เต้าใหญ่กว่าฝ่ามืออีก” ไม่พูดเปล่า เจ้าของเสียงยังทำท่าจับหน้าอกตัวเองด้วย “ดู”

“นมมันคนเดียวหรือเปล่าที่ใหญ่ ของมึงไม่น่าเข้าเกณฑ์ ไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ”

“แนน” เธอกดเสียงต่ำ

“นมมึงเล็กจริง ๆ ยอมรับเถอะ”

คนโดนกล่าวหาหน้างอ “ก็เอามาได้แค่นี้อะ จะให้ทำไง แต่แป๊บนะ นี่มันใช่ประเด็นที่เราควรคุยกันไหม ไหลไปเรื่อย”

เพราะเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงโดยนักร้องในช่วงหัวค่ำไม่ได้ส่งเสียงดังมากนัก หลาย ๆ บทสนทนาก็สามารถไหลเข้าหูได้อย่างไม่อาจปฏิเสธ เพียงแต่จะจับใจความได้มากน้อยเพียงใดแค่นั้นเอง เช่นตอนนี้ที่พวกเขาดันจับใจความของโต๊ะข้าง ๆ ได้มากโขราวกับพวกหล่อนมานั่งคุยที่โต๊ะเดียวกัน

หัวข้อที่ล่อแหลมทำเอาหนุ่ม ๆ ทั้งสี่มีปฏิกิริยาต่างกัน บ้างก็ส่ายหน้าให้น้อย ๆ ในความตรงไปตรงมาของพวกผู้หญิง ตรงไปตรงมาจนน่าทึ่ง บ้างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไม่ต้องเดาความคิดที่อยู่ในหัว แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากใบหน้าที่เรียบสนิท เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับคิดไปว่า ‘เขา’ คงไม่ได้ยินกระมัง

เต็มสองรูหูเลยต่างหาก!

“มันต้องมีเหตุผลให้มิวทำแบบนั้น ทางนี้ก็อยากคุยด้วยมาก แต่ทางนั้นแค่หน้าเขายังไม่มอง”

“สลับบทปะ” โสรยาแย้ง “มันเป็นคนแย่งแฟนมึงไป มันสิต้องอยากเคลียร์ใจกับมึง ส่วนมึงไม่อยากมองหน้ามัน”

“แย่งอะไร ผู้ชายแบบนั้นสับเป็นชิ้น ๆ ไปโปรยให้ปลาสวายกินมันจะกินหรือเปล่าเถอะ ไม่มีคุณค่าพอให้ใช้คำว่าแย่งกับคน ถ้าเป็นปลาว่าไปอย่าง เข้าใจไหม” เธอพรูลมหายใจ “ถ้ามันมาบอกว่าชอบไอ้อั๋น คิดว่ากูจะกั๊กไว้เหรอ ประเคนให้เลย แต่มันไม่ได้บอกไง”

“แล้วใครเขาจะมาบอกวะ กาด กูชอบแฟนมึงนะ ขอได้ไหม แบบนี้อ๋อ”

“ก็ใช่ไง แค่มาบอกก็เอาไปเถอะ ผู้ชายนี่เอาตีนเขี่ย ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ แต่เพื่อนมันไม่ได้หากันได้ง่าย ๆ ไง”

“...”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ บางทีความคิดของหญิงสาวก็ทำให้คนรอบตัวเข้าไม่ถึง

“กูพูดได้ไหม” ปิ่นปักษาเริ่มโยนหินถามทาง เจ้าของเรื่องที่ตกเป็นประเด็นวันนี้จึงพยักหน้ารับ นาทีนี้แล้วมีอะไรต้องปกปิดกัน เธอเปิดออกจนแทบจะเปลือยแล้ว “มึงรักไอ้อั๋นหรือเปล่า หมายถึงก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้”

“รักสิ ไม่รักจะคบมาเป็นปี ๆ ได้ไง”

“กูสัมผัสไอ้คำว่ารักของมึงไม่ค่อยได้เลย”

“ก็มันไม่ใช่แค่เรื่องไอ้อั๋นไง พอมีมิวมาเป็นตัวแปร ตัวแปรดันสำคัญกับชีวิตกูมากกว่า เรื่องของมันเลยไม่น่าสนใจเท่าที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับมิว”

“แล้วสรุปมึงโกรธมันไหมนะ ขอยืนยันอีกที”

“มาก เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้เพื่อนเขาต้องผิดใจกัน กูเกลียดมันจริง ๆ นะ ถ้าเจออยากเข้าไปกระโดดถีบขาคู่ ไม่ก็ด่ามันสองชั่วโมงไม่ซ้ำคำ”

“อ๋อ โกรธที่ทำให้มึงกับไอ้มิวผิดใจกัน ไม่ได้โกรธที่มันทำมึงเสียใจ”

“กูไม่ได้เสียใจเรื่องมัน ถ้าเป็นมันกับคนอื่น กูไม่อะไร ไปก็ไป แต่พอคนที่มันเข้าหาคือมิว กูเสียใจที่เหมือนจะต้องเสียเพื่อนไป รวม ๆ แล้วก็ประมาณนี้แหละ”

“นี่มึงเชื่อว่าไอ้มิวมันไม่ได้ตั้งใจหักหลังมึงหรอ”

“อย่าพูดว่าหักหลัง เกินไปนิด เพื่อนแค่หยอกกัน”

โสรยารู้สึกเหมือนมีใครเอาไฟมาลนศีรษะก็ไม่ปาน มันร้อนรุ่มหลังจากได้ยินเพื่อนพูดถึงคนที่ทำร้ายตัวเองแบบนั้น “ไป มึงลุกออกจากเก้าอี้นะ เดินไปหน้าร้าน ขึ้นรถแล้วไปหออีมิว ไปกราบตีนมันแล้วบอกให้มันกลับมาเป็นเพื่อนมึงอีกครั้ง”

“อย่าไปเรียกมันอี ไอ้อะพอได้”

“ก่อนกูจะตบอีมิว กูอยากตบอีนี่เรียกสติก่อน จบเรื่องนี้กูน่าจะยิ่งกว่าหมา อาหารเม็ดพร้อม” โสรยาฉุนหนักกับความใจกว้างของเพื่อน ฝ่ามือถูกยื่นไปจับไหล่ทั้งสองข้างไว้มั่น สายตาสบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฟังนะกาด ไม่มีใครไม่ตั้งใจนอกใจ ทั้งคนของเราเองหรือคนที่สามในความสัมพันธ์นั้น ไม่มีใครไปซื้อของมาทำกับข้าวแล้วทำมันครบทุกขั้นตอนจนกินได้ แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำ เข้าใจยัง ทั้งไอ้มิวกับไอ้อั๋นมันตั้งใจตั้งแต่แอบคุยกันลับหลังมึงแล้ว”

“แล้วใครผิดมากกว่ากัน” วรัสยายังคงดื้อดึง “ไอ้อั๋นมันเข้าหาก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ กูเป็นเพื่อนกับมิวมา-”

“รอบนี้ขอห่างเรื่องนมนะ”

คนโดนแย้งได้แต่ตวัดสายตามองเพื่อน “มานานมาก เข้าปีที่สิบได้แล้ว รู้จักยันลำไส้”

“มึงพูดให้เหมือนคนปกติพูดได้ไหม ไม่ต้องช่างเปรียบเปรย ฟังแล้วแสลงหูมาก” บุณยากรแย้งอีกครั้ง

“จะได้พูดให้จบเรื่องไหม” ทอดถอนลมหายใจอีกครั้ง “เอาเป็นว่ากูรู้ดีว่ามันเป็นคนยังไง มันไม่มีทางทำแบบนั้นถ้าไอ้อั๋นไม่เข้าหาก่อน กูเอาหัวเป็นประกัน ให้ตายวันนี้ก็ได้”

“รักมันมาก”

“มาก” รู้ว่านันทภัคประชดแต่เธอก็ยังพูดออกมาด้วยใจจริง “จริง ๆ นะ เพื่อนอย่างมันอะ จะไปหาได้จากไหนอีก ความผิดแค่นี้มันเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับสิ่งดี ๆ ที่มันทำให้กูมาตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกัน ทำไมโลกต้องมีคนอย่างไอ้อั๋นด้วยวะ ถ้าไม่มีมันสักคนเพื่อนเขาก็ไม่ต้องมาแตกคอกัน”

“มึงมั่นใจมากเลยนะว่าไอ้มิวไม่ใช่คนเริ่ม มึงยังไม่เคยคุยกับมันนะ”

“ฟัง ตอนกูรู้จักกับมิวกูยังไม่ได้ใส่เสื้อซับในด้วยซ้ำ เป็นเสื้อกล้ามตัวยาว ๆ แต่ตอนรู้จักไอ้อั๋น กูใส่บรา โนบรา ปีกนก ทุกอย่าง”

“จะต้องวกเข้าเรื่องนี้ตลอด อยากให้กูย้ำใช่ไหมว่ามึงมันนมเล็ก”

“ไม่ใช่ เออ เล็กก็เล็ก แต่ไม่ต้องย้ำแล้ว แค่อยากบอกว่ากูรู้จักกับมิวมานาน ตั้งแต่ยังเบบี๊ แบเบาะ เด็กทารก ร้องอ้อแอ้ ล้อเล่นนะ รู้จักตอนม.2แต่อยากให้ดูเวอร์ ๆ ไว้ก่อน คือรู้จักนานกว่าที่รู้จักกับมัน สิบปีกับปีกว่ามันเทียบกันได้ที่ไหน”

“สรุปมึงยังมูฟออนไม่ได้”

“ใช่ แต่จากมิว ไม่ใช่มัน”

“ถ้าไม่ได้หักกันเรื่องผู้ชาย กูอาจคิดว่ามึงเป็นเลสเบี้ยน”

“ไม่ได้เป็น ไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่รู้ แต่อาจจะเป็นได้ถ้ามีใครสักคนเข้าหาจริง ๆ กูไม่ซี แต่พูดถึงไอ้มิวมันเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ กูกับมันเคยคุยกันว่าถ้าแก่แล้วไม่มีใคร จะชวนกันไปอยู่บ้านพักคนชราแหละ” พูดไปก็ยิ้มไปราวกับกำลังวาดวิมานกลางอากาศ “น่ารักเนอะ ยายแก่สองคนที่เป็นเพื่อนกันมาหลายสิบปีแบบนั้น”

“อยากคุยกับมันมากเลยหรอ”

“อยากสิ ใครจะไม่อยากคุยกับเพื่อน นี่เราไม่ได้ทะเลาะกันด้วยซ้ำนะ ด่ากันสักคำยังไม่มีออกจากปากเลย มึงก็รู้ว่าไอ้อั๋นมันมีความสามารถด้านการพูดจา พูดเก่งเหลือเกิน เขาเรียกอะไรนะ ชักแม่น้ำทั้งห้าปะ เออนั่นแหละ หว่านล้อมที่หนึ่ง ใครฟังมันพูดบ่อย ๆ จะไม่หลงคารมมันก็แปลก แล้วกูก็ดันชอบด้วยสิคนพูดเก่งเนี่ย แพ้ทางสุด ๆ เลยไอ้ประเภทพูดเป็นต่อยหอย”

“พูดไปต่อยไป”

“กูก็ไม่อยากลามปามนะปิ่น แต่ต่อยบ้านมึงสิ ภาษาไทยอะเคยเรียนไหม”

“ไปคบคอลเซ็นเตอร์ไหม พูดเก่งเหมือนกัน” โสรยาเสนอ

“ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองเลย ได้จับมือกันเข้าคุก”

“ไม่ได้หมายถึงคอลเซ็นเตอร์แบบนั้น”

“ถามจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันออกมาคอลเซ็นเตอร์ได้ไง กูกำลังพูดเรื่องเอ มึงก็พาออกบี ซี ดี ตลอดเลย กว่ากูจะวกไปหาเอได้อีกที เที่ยงคืน”

“เกี่ยวไรกับเอ ใคร”

วรัสยากลอกตามองนันทภัคอย่างไม่ปิดบัง “มึงเรียนจบมาได้ยังไง ซื้อใบปริญญาหรอ”

“ไม่มึง แป๊บหนึ่ง กูกรึ่มแล้ว จับใจความไม่ค่อยถูก”

“แต่ว่านะ” หญิงสาวเจ้าของเรื่องเพิ่งนึกขึ้นได้ “ทำไมเราต้องพูดเรื่องนี้ด้วยวะ ไหนว่ามาจอย”

หลังจบประโยคของวรัสยา บรรยากาศบนโต๊ะก็แปรเปลี่ยนไป ไม่มีใครพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ มีแต่คุยสัพเพเหระ อีกทั้งยังมีเสียงหัวเราะดังมาเข้าหูชายหนุ่มโต๊ะข้างกันเป็นระยะอีก

“กำลังแอบฟังอยู่เลย จบยังไงล่ะทีนี้” ดิน ดิฐากร เอ่ยขึ้นอย่างนึกเสียดายกับเรื่องเล่าของหญิงสาวโต๊ะใกล้กัน เขาไม่ได้แค่ชอบเรื่องราวของมัน แต่คนเล่าก็ทำเอานึกเอ็นดู เป็นคนพูดเก่งไม่หยอก

อรัณย์สนับสนุนคำพูดของเพื่อนด้วยการพยักหน้า “เล่าออกอ่าวออกทะเลแต่สนุกดี เด็กสมัยนี้มันช่าง”

“ไม่เอาครับคุณอาร์ม ไม่พูดคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ มันเป็นของคนแก่ แต่เราไม่ใช่”

“แต่กูก็ติดพูดแบบนี้เหมือนกัน” ชยางกูรออกความเห็น “หรือกูจะแก่วะ พอเห็นว่าเด็กกว่าในหัวชอบมีคำว่าเด็กสมัยนี้นำหน้าก่อนตลอดไม่ว่าจะชมหรือติ”

“โห่เฮีย เพิ่งสามสองเอง เอาไรมาแก่”

“นั่นดิ ถ้าเฮียเฉื่อยแก่แล้วใครหนุ่ม”

“ไม่รู้ ไอ้จัดมั้ง” เขาโบ้ยไปทางหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งเงียบมาพกใหญ่ ไม่ออกความคิดเห็นอะไรเลยสักประโยค ทว่าก็ไม่แปลกใจนัก ปกติของจีรกิตติ์ก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แถมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องของคนอื่นอีกด้วย ไม่มีเหตุผลต้องสนใจ แต่ที่เขาสนใจเพราะมันดูน่าสนุกเฉย ๆ

ปกติแล้วเวลามนุษย์ถูกคนใกล้ตัวหักหลัง ต่อให้รักเพียงใดความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจ ไม่ใช่ปฏิกิริยาอย่างแม่สาวเสื้อซาตินที่เอาแต่เข้าข้างคนกระทำความผิด เพราะแบบนั้นเรื่องที่ดูเหมือนธรรมดาจึงไม่ธรรมดา และเพราะแบบนั้นอีกนั่นแหละเขาถึงสนใจใคร่ฟัง

“แต่สวยนะ” ดิฐากรเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สายตาทั้งสามคู่จึงสบกับเจ้าของต้นเสียง จะมีอยู่คู่หนึ่งที่แค่ปรายตามองเท่านั้น “คนเล่านั่นแหละ มองมานานแล้ว”

“ชอบ?” ชยางกูรเอ่ยถามเพื่อนรุ่นน้อง

“ไม่ใช่ผม” ว่าจบก็ตวัดสายตาไปทางน้องเล็กของกลุ่มที่ไม่ยอมขยับปากต่อบทสนทนากับพวกเขาเลยสักครั้ง “ละสายตาบ้างก็ได้จัด เดี๋ยวตัวเขาทะลุหมด”

“ผมเปล่า” ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปฏิเสธคำครหาจากรุ่นพี่

“ถ้าไม่เห็นจะพูดเหรอ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะในลำคอ “ไป ลุกไปชนสักแก้ว”

บัดนี้จังหวะของเสียงเพลงในร้านต่างไปจากเดิม จากเพลงช้า ๆ เหมาะกับบรรยากาศช่วงหัวค่ำก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นเพลงที่เอาใจหนุ่มสาวเท้าไฟ หลายคนลุกไปออกลวดลายอยู่กลางฟลอร์ บ้างก็เต้นกันที่โต๊ะตัวเอง

หญิงสาวเสื้อซาตินลุกขึ้นพร้อมกับเพื่อนในกลุ่มของเธออีกสองคน เรียกสายตาของหนุ่ม ๆ โต๊ะข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

“สวยจริงด้วยว่ะ” อรัณย์สนับสนุนคำพูดของเพื่อนก่อนหน้านี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายชัด ๆ “จัดลุก”

เพราะดิฐากรเอ่ยเช่นนั้นว่ารุ่นน้องของตนน่าจะสนใจในตัวหญิงสาว ต่อให้เจ้าหล่อนจะสวยเพียงใดแต่ก็เป็น ‘ของร้อน’ ที่ไม่ควรยื่นมือไปแตะ เขาจึงเลือกที่จะดันหลังให้คนข้าง ๆ เดินหน้ารุกฆาต

“อย่าลืมกฎเหล็กนะคะคนสวย ห้ามรับแก้วใครมาดื่มสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาดถ้าไม่อยากเป็นดาวโป๊” ปิ่นปักษาเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิททั้งสามคนที่ตั้งท่าจะเดินออกไปโชว์ลวดลาย เป็นผู้หญิงนั้นแค่มาเที่ยวสถานที่แบบนี้ก็มีความเสี่ยงมากพอแล้ว พวกเธอจำเป็นต้องระวังตัวเองมาก ๆ หากไม่อยากให้เกิดหายนะขึ้นกับชีวิต

บุณยากรก็พยักหน้าเห็นด้วย “ไปได้แล้ว เดี๋ยวเฝ้าโต๊ะให้” ที่กล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะเธอไม่ใช่คนชอบออกแรง มาร้านเหล้าก็ชอบที่จะได้นั่งดื่มแค่นั้น ต่างจากอีกสามคนที่มุ่งหน้าไปยังกลุ่มคนหน้าเวที พวกนั้นเป็นประเภทที่ได้ยินเสียงเพลงไม่ได้ มือเท้ามันจะขยับไปเอง

“แห้ว” ดิฐากรเปรยขึ้นเบา ๆ พลางเสมองไปทางน้องเล็กของกลุ่ม ริมฝีปากขยับเป็นเส้นโค้งนิด ๆ “พวกที่มัวแต่มองมักจะไม่ได้กินนะครับ”

“ผมยังไม่ได้บอกว่าอยากกินเลยเฮีย”

“บอกแล้ว ทางนี้” พูดพร้อมชี้ไปที่สองตาของตัวเอง

บุณยากรเหลือบมองโต๊ะข้าง ๆ ที่มีหนุ่ม ๆ นั่งอยู่สี่ชีวิต เธอสังเกตมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วว่าดูเหมือนหนึ่งในสักคนนั้นน่าจะสนใจหนึ่งในกลุ่มของตน และเธอก็ดันรู้ด้วยว่าทั้งหนึ่งในกลุ่มนั้นและกลุ่มนี้ที่ว่าคือใคร เธอไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เกิด ณ ร้านเหล้าเช่นนี้จะยั่งยืน ทว่าพอคิดถึงคนที่เอาแต่เป็นบ้าเป็นหลังในกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็ชักอยากลองเสี่ยงดู

เขาว่ากันว่า ผัวที่ดีคือผัวใหม่ ไม่รู้จริงหรือหลอก

มือบอบบางยื่นไปสะกิดนักศึกษาแพทย์ที่นั่งกระดกน้ำอัดลมมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่เต้นกันอย่างสนุกสนาน ปิ่นปักษาละสายตาจากตรงนั้นก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่เพื่อน

“กูว่าผักกาดน่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดนะ”

คำพูดของบุณยากรทำเอาคนฉลาดหลักแหลมนิ่วหน้าด้วยความฉงน “ที่ใส่หมูกระทะ?”

พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง ประเคนกำปั้นลงหน้าผากให้อีกดอกหนึ่ง “ฉลาดแคบโง่กว้างนะมึงเนี่ย เพื่อนมึงจะไปเป็นหมูกระทะได้ไง กูหมายถึงมีคนมองมัน”

“ใคร”

“อย่าเพิ่งหัน” เธอรีบร้องเตือน “โต๊ะข้าง ๆ เรานี่แหละ เสื้อขาวคนเดียวในกลุ่ม กูมองมาสักพักละ มั่นใจว่าเขามองไอ้กาด มันไปเต้นก็ยังมองตาม เอาไงดี”

“เกี่ยวไรเล่า ก็ให้เขารุกเองดิ”

“อยากเป็นกามเทพอะ ที่แปลว่าอยากให้มันมีที่ยึดในใจจะได้เลิกฟูมฟายเรื่องไอ้มิว ยิ่งมันพูดว่าไอ้งูพิษนั่นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ยิ่งแสลงหู ดีอะไรวะ แย่งแฟนเพื่อน”

“กูก็อยากช่วย แต่เขาจะดีกับมันหรือเปล่าล่ะ” พูดพร้อมกับค่อย ๆ เนียนกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนได้พบกับชายเสื้อขาวที่ว่า สายตาของเขามองออกไปยังเวที ทว่าเมื่อมองตามไปแล้วจุดวางสายตาไม่น่าใช่ด้านบน แต่เป็นคนที่กำลังเต้นอย่างเผ็ดร้อนอยู่ด้านล่าง เพื่อนสนิทเธอเอง! “มึง หล่อมาก”

“เออ กูรู้ก่อนมึงอีก”

“เอาวะ ผู้ชายทุกคนมีโอกาสเหี้ย หน้าตาดีหรือไม่ดีก็ไม่ได้การันตีนิสัย แต่อย่างน้อยเอาหน้าตาดีไว้ก่อน”

บุณยากรได้แต่หัวเราะน้อย ๆ ให้กับตรรกะของเพื่อนหมอ แต่ก็ต้องละสายตาไปจากคู่สนทนาเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเธอนั่ง

“ปวดท้อง”

“ไผ่มึงไปกับมัน เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะเอง” จบประโยคของปิ่นปักษา บุณยากรก็นำคนปวดท้องไปเข้าห้องน้ำโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าได้มีสายตาคู่หนึ่งมองจนแผ่นหลังนั้นลับหายไป

โตขึ้นเยอะเลย ตอนนั้นสูงแค่อกเขาเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel