บทที่ 1 การกลับมาของเทพสงคราม
ประเทศต้าเซี่ย
สนามบินตงไห่
เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งบินวนและลงจอด โดยมีเครื่องบินรบคอยคุ้มกันอยู่โดยรอบหลายสิบลำ
มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่สนามบิน และมีพลทหารยืนประจำการพร้อมด้วยอาวุธครบมือ
มีข่าวลือทั่วทั้งตงไห่ว่า จะมีบุคคลสำคัญเดินทางมา
บุคคลสำคัญผู้นี้คือแม่ทัพห้าดาวคนเดียวของประเทศค้าเซี่ย เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่ง !
สมญานามว่าเทพมรณะ !
แต่แม้อภิมหาเศรษฐีตงไห่อย่างหม่าตงเดินทางมาต้อนรับ ยังถูกตักเตือนให้กลับออกไป !
และการกลับมาของหยางเฟิงในครั้งนี้ เพื่อพบคนคนเดียวเท่านั้น !
ภรรยาของเขา !
คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่——เย่เมิ่งเหยียน !
......
คฤหาสน์ตระกูลเย่
หยางเฟิงยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ สีหน้าหวนนึกถึงความทรงจำ
ห้าปีก่อน
เขาถูกคนชั่วใส่ร้าย จนถูกไล่ออกจากตระกูลหยางอันมั่งคั่ง กลายเป็นคนไร้บ้าน ระเหเร่ร่อนอยู่ในตงไห่ ไม่มีแม้กระทั่งอาหารและเสื้อผ้านุ่งห่ม ใช้ชีวิตราวกับสุนัขข้างถนน !
เพื่อแก้เคล็ด หยางเฟิงถูกตระกูลเย่รับเข้ามาเป็นลูกเขย กลายมาเป็นสามีของเย่เมิ่งเหยียน คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่
วันที่สองของการแต่งงาน หยางเฟิงได้ตอบรับคำสั่งเรียกตัวของประเทศ และเข้าร่วมกองทัพในทันที
ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปห้าปีแล้ว เขากลายเป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าเซี่ย เป็นบุคคลสำคัญของประเทศที่ไม่เป็นสองรองใคร !
เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในตอนนั้น หยางเฟิงจึงเดินทางกลับตงไห่ เพื่อมาหาเย่เมิ่งเหยียน
หยางเฟิงเดินเข้าไปในคฤหาสน์
สายตาเหลือบมองอย่างกะทันหัน
รู้สึกตกใจในทันที
สิ่งที่เห็นอยู่ในลานด้านนอกคฤหาสน์
มีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อายุราว ๆ สี่ถึงห้าขวบอยู่หนึ่งคน ใบหน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าขาดสารอาหาร
และที่สำคัญที่สุดก็คือ
บนคอของเธอมีโซ่ล่ามอยู่
หมอบอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตัวหนึ่ง
กำลังเลียชามที่แตกอยู่ !
เมื่อเห็นดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หยางเฟิงก็รู้สึกตกใจและเจ็บปวดใจขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“คุณอาคะ ขออาหารให้หนูหน่อยได้ไหม หนูหิวมากเลย !”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองหยางเฟิงตาปริบ ๆ
หยางเฟิงรีบล้วงมือเข้าไปหยิบคุกกี้จากในกระเป๋าแล้วยื่นให้กับเธอ
เด็กหญิงยืนมือออกไปรับคุกกี้แล้วกินอย่างตะกละตะกลาม
“นังเด็กสวะที่ไม่มีใครเอา นังตัวซวย กล้าทำตัวเป็นขอทานอยู่หน้าตระกูลเย่แบบนี้ วันนี้ฉันจะตีแกให้ตายให้ได้ !”
ตอนนี้เอง มีหญิงวัยกลางคนท่าทางดุร้ายเดินออกมา ในมือถือไม้ไผ่ และกระหน่ำตีลงไปที่เด็กหญิงไม่ยั้ง
เด็กหญิงหลบเลี่ยงและร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ขอร้องนะคะ......อย่าตีหนูอีกเลย......หนูหิวมากจริง ๆ......หนูเจ็บ......”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของหยางเฟิงก็แสดงความโกรธออกมาทันที
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง !
ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนชั่วร้ายขนาดนี้อยู่ได้นะ ?
“คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ !”
หยางเฟิงเดินเข้าไป แล้วยื่นมือออกไปคว้าไม้ไผ่ของหญิงวัยกลางคนเอาไว้
ผู้หญิงคนนั้นหันมองหยางเฟิงด้วยความรังเกียจ : “แกเป็นใคร ? กล้ามายุ่งเรื่องของฉันอย่างนั้นหรือ ?”
“คุณยังเป็นคนอยู่ไหม ? ทำไมถึงลงมือรุนแรงกับเด็กตัวเล็ก ๆ อายุเพียงแค่สี่ห้าขวบเช่นนี้ ?”
เมื่อมองดูเด็กหญิงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ในใจของหยางเฟิงก็ร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะทันที
“แกยุ่งอะไรด้วย มันก็เป็นแค่ลูกสวะของตระกูลเย่เท่านั้น ฉันจะตีอย่างไรก็เรื่องของฉัน ถ้าแกยังกล้าเข้ามายุ่งอีก ฉันจะตีแกด้วยอีกคน !”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองหยางเฟิง แล้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
หยางเฟิงผงะไป แล้วพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว : “ลูกสวะของตระกูลเย่ ? ลูกของใครกัน ?”
หญิงวัยกลางคนหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า : “ลูกใครนะหรือ ? แน่นอนว่าต้องเป็นลูกของไอ้สวะข้างถนน ! ไอ้สวะข้างถนนคนนี้ ทั่วทั้งตงไห่ ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ! ไม่มีใครที่ไม่รู้ !”
“ห้าปีก่อน เย่เมิ่งเหยียน คุณหนูใหญ่ของตระกูลเย่แต่งงานกับคนจรจัดคนหนึ่ง สุดท้ายผ่านไปเพียงแค่สองวัน ไอ้สวะข้างถนนคนนี้กลับหนีไป ! ทิ้งเด็กสวะนี่เอาไว้ให้ดูต่างหน้า กลายเป็นเรื่องตลกไปทั่วตงไห่ !”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางเฟิงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าทันที !
ห้าปีก่อน !
คนจรจัด !
คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ !
เด็ก เด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือ......
หยางเฟิงหันมองเด็กผู้หญิงอีกครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างรุนแรง พรั่งพรูขึ้นมาในใจของเขา
เทพสงครามผู้เข้มแข็ง เปรียบเสมือนอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของชาติ ตอนนี้ดวงตากลับเปียกปอนไปด้วยน้ำตา......
เมื่อคิดว่าลูกสาวของตนเองต้องถูกคนอื่นทุบตีด้วยความรุนแรงเช่นนี้ ความโกรธก็ปะทุออกมาจากตัวของหยางเฟิงทันที
แครก !
เกิดเสียงที่ดังคมชัดขึ้น
โซ่เหล็กบนคอของเด็กหญิงถูกเขาดึงขาดในทันที
เฉินเฟิงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เย่เมิ่งเหยียนและลูกต้องใช้ชีวิตในสภาพเช่นไร
ตอนนี้แม้แต่คนรับใช้ของตระกูลเย่ ก็กล้าทุบตีลูกสาวของตนด้วยความรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ารังแกกันเกินไปจริง ๆ !
“แกกล้าทำแบบนี้กับลูกสาวของฉันหรือ ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด !”
เผียะ !
หยางเฟิงตบหน้าหญิงวัยกลางคนอย่างแรง
โอ๊ย !
หญิงวัยกลางคนร้องโอดครวญ แก้มกลายเป็นสีแดงก่ำทันที
“ลูกของแก ? แกก็คือลูกเขยที่แต่งเข้ามาเมื่อห้าปีก่อนคนนั้น ?”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองหยางเฟิง ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ !
เมื่อห้าปีก่อน นายท่านเย่ป่วยหนัก
เพื่อเป็นการแก้เคล็ดให้นายท่านเย่ คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ เย่เมิ่งเหยียน ซึ่งได้รับความสำคัญน้อยที่สุด จึงถูกบังคับให้แต่งงานกับคนจรจัด เรื่องนี้ทุกคนในตงไห่ต่างรู้กันทั่ว
สิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงที่สุดก็คือ คนจรจัดผู้นี้กลับหนีไปหลังจากร่วมหอลงโรงได้เพียงสองวัน
จนถึงบัดนี้ก็ผ่านไปกว่าห้าปีแล้ว คนจรจัดในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาแล้ว ?
เด็กหญิงตัวน้อยหันมองหยางเฟิง แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า : “คุณอา หนูอยากไปหาแม่......”
หยางเฟิงผงะไปทันที แล้วถามว่า : “แม่ของหนูล่ะ ? ไม่ได้อยู่ที่ตระกูลเย่หรือ ?”
ผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วหัวเราะเยาะ : “แกกลับมาแล้วอย่างไร ? ฮ่า ๆ ! จะบอกแกให้นะ ตอนนี้เย่เมิ่งเหยียนกำลังขึ้นสวรรค์อยู่กับผู้ชายโน่น จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลลูกสาวกัน......”
“แกหุบปากเดี๋ยวนี้ !”
หยางเฟิงหมดความอดทน เขาคว้าตัวหญิงวัยกลางคนขึ้นมา แล้วโยนเธอออกไปอย่างแรง
ตุ้บ !
เสียงดังสนั่น หญิงวัยกลางคนหล่นกระแทกลงกับพื้นอย่างจัง และหมดสติไป
หยางเฟิงมีสีหน้าโกรธเคือง รังสีอำมหิตอันเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา
ผู้หญิงที่ตนเองคิดถึงมาตลอดห้าปี คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งลูกสาวของตนเองอย่างไม่ดูดำดูดี แล้วไปเสพสุขอยู่กับผู้ชายคนอื่น หรือว่าเขาจะมองเธอผิดไปจริง ๆ ?
หยางเฟิงหันมองลูกสาวของตนเองที่มีใบหน้าซีดเซียว ก็เอ่ยถามอย่างสงสาร : “หนูชื่ออะไร ?”
เด็กหญิงตัวน้อยหันมองหยางเฟิงแล้วพูดว่า : “คุณอา หนูชื่อหยางพั่นพั่นค่ะ”
หยางพั่นพั่น ?
เมื่อได้ยินชื่อนี้ หยางเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งขึ้น
เย่เมิ่งเหยียน กำลังคาดหวังอะไรกัน
หวังว่าจะหาเศรษฐีสักคนมาเลี้ยงดูตนเองได้โดยเร็วอย่างนั้นหรือ ?
หยางเฟิงพยายามข่มความเจ็บปวดในใจ แล้วถามว่า : “แม่ของหนูล่ะ ? ทำไมถึงไม่สนใจหนู ?”
หยางพั่นพั่นลืมตาโตแล้วพูดว่า : “แม่ไปทำงานค่ะ รอให้แม่หาเงินมาได้เมื่อไหร่ พั่นพั่นก็ไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว ทุกวันพั่นพั่นไม่เคยกินอิ่ม อีกทั้งทุกคนล้วนรังแกหนู ตีหนูทุกวัน ซ้ำยังไม่ให้หนูกินข้าวอีก......”
เมื่อได้ยินดังนั้น น้ำตาทั้งสองสายก็อดไม่ได้ที่จะไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างของหวางเฟิง
นี่คือลูกสาวของตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้
ตนเองซึ่งเป็นพ่อกลับไม่รู้เลยสักนิด ตนเองช่างเลวจริง ๆ ไม่สมควรที่จะเป็นพ่อคนเลยสักนิด !
หนางเฟิงออกรบมาทั่วทุกสารทิศ ฝ่าดงกระสุน ได้รับบาดเจ็บสาหัสนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยเสียน้ำตามาก่อน
แต่วันนี้เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับลูกสาวของตนเอง เขากลับร้องไห้ !
ลูกผู้ชายไม่เสียน้ำตาง่าย ๆ หากไม่ถึงจุดที่เจ็บปวดมากจริง ๆ !
หยางเฟิงถามต่อ : “แล้วพ่อของหนูล่ะ ?”
หยางพั่นพั่นก้มหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้า : “ตั้งแต่หนูเกิดมา ก็ยังไม่เคยเห็นพ่อมาก่อน พวกเขาต่างพูดว่าหนูเป็นลูกสวะที่ไม่มีพ่อ หนูถามแม่ว่าพ่ออยู่ที่ไหน ?”
“แม่ก็เอาแต่ร้องไห้ทุกครั้ง ไม่ยอมตอบหนู หนูรู้ดีว่าแม่รู้สึกทุกข์ใจ ดังนั้นหนูจึงไม่กล้าถามเธอซ้ำอีก”
หยางเฟิงเอ่ยถามขึ้น : “ไปกันเถอะ ฉันจะพาหนูไปหาแม่ดีไหม ?”
“ไม่ได้ !” หยางพั่นพั่นส่ายหัวแล้วพูดว่า : “แม่บอกหนูไว้แล้วว่า ห้ามไปไหนกับคนแปลกหน้า”
“ฉันไม่ใช่คนแปลกหน้า ฉันคือเพื่อนของ......พ่อเธอ”
เมื่อกำลังจะพูดออกมา หยางเฟิงกลับเปลี่ยนคำพูดในที่สุด
ตนเองไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อ !