บทที่ 18 พิษไข้
ปึก! ปึก!
ฟ้าว!
เฮ!
เสียงธนูกระทบไม้ กับเสียงโห่ร้องของทหารดึงเขาออกจากภวังค์ โอซิริสยิงไม่พลาดเลยสักดอกเดียว และเจ้าชายแฝดพี่ก็ได้วางพนันไว้เช่นเคย
“หวังว่าคราวนี้เราคงชนะเสด็จพ่อได้บ้างล่ะ ไม่ได้จับธนูมาตั้งแต่ไปล่านกเป็ดน้ำ นิ้วแข็งหมด” เจ้าชายโอซิริสเดินกลับมานั่งใต้ร่มไม้ เมื่อถึงคิวพระบิดากับท่านมหาอุปราชเข้าสนามประลอง
“แต่ก็เกือบไล่แต้มกับอาเซน่าทันนะครับ ห่างกันแต้มเดียวเท่านั้น” จีซาซึ่งทำหน้าที่ขีดแต้มพูดขึ้นมา
“ไม่จริงน่า...ต่อให้พยายามแค่ไหน เราก็ไม่เคยเข้าใกล้อาเซน่าน้อยกว่าสามแต้มได้สักครั้ง ป่านนี้เพชรพลอยที่เราเสียพนันคงจะกองเต็มห้องเธอแล้วกระมัง”
“อ้าว! ก็ตอนที่แข่งครั้งล่าสุดที่สนามประลองไงครับ เกือบสิบวันได้ เจ้าชายสั่งให้ข้าไปท้าเธอแท้ๆ”
“เอ๋? เราน่ะหรือ...ไม่นะ...ครั้งสุดท้ายก็ที่บึงนกเป็ดน้ำนั่นล่ะ เจ้าแน่ใจนะ?”
“แน่สิครับ เจ้าชายยังทรงพนันกับเธอเลยว่า หากเธอแพ้ เธอจะต้องถูกปลดออกจากขบวนตามเสด็จ และถ้าชนะ ก็จะให้โอกาสถอนตัวจากงานที่เอ็ดฟู แต่อาเซน่าไม่ยอม สุดท้ายเธอก็ชนะพระองค์ไปหนึ่งแต้ม”
“อ้อใช่! เราลืมจริงๆ นั่นแหละ” ทรงพยักหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย “เจ้าไปนับแต้มให้เสด็จพ่อที”
“ครับ”
เมื่อจีซาลุกไปตามคำสั่ง เจ้าชายก็ขมวดคิ้วมุ่นจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน ไม่ใช่เขาแน่นอนที่อาจหาญไปท้าแข่งธนูกับเธอด้วยการพนันเรื่องบ้าบอนั่น ทำไมเขาจะต้องกีดกันไม่ให้เธอตามเสด็จด้วย ในเมื่อการไปเอ็ดฟูครั้งนี้ ก็เพื่อจัดงานมงคลของเธอกับเขาตามพระบัญชาของเสด็จพ่อแท้ๆ
ไม่มีทางที่เขาจะขอยกเลิกการแต่งงาน แม้เธอจะไม่เต็มใจ แต่การที่เธอไม่ยอมรับข้อเสนอในการประลองนั้น ก็เพราะอาจมีเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่รู้ และเหตุผลเดียวนั้นก็คือเพื่อเสด็จพ่อ
ไมเซรินุส!
จะเป็นใครไม่ได้นอกจากแฝดน้องของเขา ที่อาจจะรู้เรื่องงานมงคลนี้จากเสด็จพ่อ จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านถึงขั้นสวมรอยเป็นเขาไปท้าพนันกับเธอเพื่อหยุดยั้งการแต่งงานครั้งนี้แบบเงียบๆ
เพราะเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องลับสุดยอด ที่รู้กันเพียงเสด็จพ่อ เขา และอาเซน่าเท่านั้น
ให้ตายสิ...ทำไมไมเซรินุสถึงได้จงเกลียดจงชังอาเซน่านัก ถ้าเธอเป็นผู้หญิงเจ้ามารยาและร้ายกาจแบบท่านหญิงคาเรห์ก็ว่าไปอย่าง แม้จะไม่ใช่คนสวยเลิศเลอ แต่เธอเป็นคนใจเย็นและสงบเสงี่ยม จะหาใครที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊แบบเธอได้อีก มิน่าเล่า...เธอถึงไม่ยอมประจำอยู่ที่โอเอซิสในฐานะหมอหลวง แต่กลับขอไปเป็นพลธนูเฝ้ายามอยู่ข้างนอกแทน
คงเพราะไม่อยากถูกสบประมาทนั่นเอง
“จีซา” ทรงกวักพระหัตถ์เรียกจีซากลับมาอีก
“ครับ”
“พลธนูที่เข้าเวรเมื่อคืนกลับมาหรือยัง?”
“มาถึงแล้วครับตั้งแต่เมื่อเช้า กำลังพักผ่อนอยู่ หากจะทรงเรียกพบ กระหม่อมจะตามให้”
“ไม่เป็นไร แค่อยากรู้ว่าอาเซน่ากลับมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่าแค่นั้นล่ะ เอาไว้ตอนเย็นตามเธอมาพบเราหน่อยแล้วกัน”
“เอ่อ...เจ้าชาย...” จีซาทำหน้าไม่ถูก “อาเซน่าไม่ได้กลับมาครับ”
“อะไรนะ!?”
“กระหม่อมนึกว่าทรงรู้แล้วเสียอีก เจ้าชายไมเซรินุสทรงให้เธอตามเสด็จไปด้วยเมื่อคืนนี้ ป่านนี้คงล่วงหน้าไปไกลแล้วล่ะครับ”
สิ้นการรายงานของจีซา พระพักตร์ของเจ้าชายโอซิริสก็ซีดเผือด...
นี่ไม่อยู่ในแผนที่วางกันไว้นี่นา!
ฟาโรห์อเมโนฟิสและพระโอรสองค์โต มิได้รู้เลยว่า ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าวันที่พวกเขากำลังรอลุ้นผลการแข่งขัน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายไมเซรินุสและอาเซน่า
ในขณะที่อรุณรุ่งยังไม่มาเยือน เจ้าชายผู้ที่ไม่เคยให้อิสตรีคนใดย่างกรายเข้าใกล้เกินกว่าสิบก้าว กลับสะดุ้งตื่นและไม่อาจข่มตาหลับได้อีกเมื่อสำนึกได้ว่าไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง
เขาผุดลุกขึ้นนั่ง ปรับสายตาให้ชินกับความมืดแล้วขยับตัวมาชิดขอบเตียงฝั่งที่เธอนอนอยู่ ชะโงกหน้ามองหญิงสาวที่หลับอุตุด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
เธอม้วนตัวเองอยู่ในห่อผ้าจนมองเห็นแค่เสี้ยวหน้าด้านข้าง และคงจะหลับลึกมากจนไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเขา ผิดปกติวิสัยที่เธอเป็นคนระแวดระวังอยู่เสมอ
“อาเซน่า”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากหญิงสาว เมื่อคืนนี้เธอมีท่าทางแปลกๆ ดูโผเผเหมือนจะเดินไม่ไหว แต่เขาไม่อยากจะลืมตาโพลงอยู่คนเดียว เธอควรจะตื่นเมื่อเขาตื่น เพื่อรอฟังว่าเขาจะใช้ให้เธอทำอะไรบ้าง
อย่างพวกทหารที่นอนเฝ้าหน้าห้อง แค่เขากระแอมติดๆ กัน อึดใจเดียวพวกนั้นก็ยกน้ำอุ่นมาถวายแล้ว
“อาเซน่า...ตื่นสิ...เราหิวน้ำ”
ทรงใช้เท้าสะกิดผ้าห่มเบาๆ ครั้นเห็นว่าเธอยังเกียจคร้าน ก็เปลี่ยนจากสะกิดเป็นเหยียบเต็มฝ่าเท้า
“เฮ้! แม่คนขี้เซา ตื่นมาปรนนิบัติเราเดี๋ยวนี้”
ไม่อยากเชื่อ! นี่เธอขี้เกียจถึงขนาดยอมนอนให้เขาเหยียบเชียวหรือ เธอลืมไปแล้วหรือไรว่าในสามวันนี้ต้องแสดงเป็นภรรยาของเขาแล้ว
ทรงก้าวข้ามร่างที่นอนหลับอุตุลงไปนั่งยองๆ พิศมองด้วยความฉงน เธอไม่แม้แต่จะกระพริบตา จึงใช้หลังมืออังที่จมูกของเธอ เพื่อดูว่ายังหายใจหรือเปล่า
เขาสะดุ้งหดมือกลับแทบไม่ทันเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว ราวกับเธอเพิ่งจะวิ่งผ่านทะเลทรายกลางแดดเปรี้ยง
“อาเซน่า” ทรงดึงผ้าห่มออกจากตัวเธอด้วยความร้อนรน จับโดนผิวเนื้อเธอตรงไหนมือก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผาตรงนั้น ให้ตายเถอะ! เล่นมาป่วยต่อหน้า แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนดูแลเธองั้นสิ!
“จะ...เจ้า...ชาย...”
อาเซน่าพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังตื่นหรือฝัน เมื่อเห็นพระพักตร์ของเจ้าชายลอยอยู่ตรงหน้า รู้แต่ว่าเธอหนาว...หนาวจนสั่นไปทั้งตัวเพราะถูกใครบางคนแย่งผ้าห่มไป
เธอคงจะฝันจริงๆ นั่นล่ะ เจ้าชายไม่มีวันให้อวัยวะส่วนใดเฉียดใกล้เธอแน่ แต่ทำไมจึงรู้สึกว่าเธอในเวลานี้ ใกล้ชิดกับพระองค์เหลือเกิน
“เจ้า...ตัวร้อนจี๋เลย...”
“หนะ...หนาว...เพคะ...” ริมฝีปากของเธอกระทบกันดังกึกๆ พยายามที่จะหดแขนหดขานอนขดและควานหาผ้าห่มทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่ขึ้น
“อย่าเพิ่งตายนะ...เรายังแก้แค้นเจ้าไม่สำเร็จ”
แก้แค้น?
อาเซน่าพยายามจะลืมตา นั่นเสียงของเจ้าชาย...เธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า ทำไมเจ้าชายทรงตรัสอะไรแปลกๆ หากแต่สติของเธอเลือนรางเกินไป จึงรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายลอยขึ้นสูงจนหนาวไปถึงกระดูก แล้วก็ตกลงบนพื้นที่อ่อนนุ่มราวกับกำลังนอนอยู่บนปุยเมฆ
“ทำไมข้าต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ”
เธอได้ยินเสียงดุๆ พูดรอดไรฟัน
ตามด้วยเสียงกุกๆ กักๆ
เสียงบิดน้ำ...
เสียงถอนหายใจฮึ่มฮั่ม…
แล้วพื้นที่เธอนอนอยู่ก็ยวบลง
อ้อ! นึกว่าตัวเองลอยได้ ที่แท้ก็ถูกอุ้มขึ้นมานอนบนเตียงนี่เอง
เฮือก!!
เธอสะดุ้งลืมตาโพลง เมื่อผ้าเย็นๆ กระทบผิวหน้า แล้วก็เห็นคนที่กำลังทำอะไรบางอย่างกับเธออย่างถนัดถนี่
เจ้าชายไมเซรินุส...ประทับอยู่ข้างๆ พระเกศายังพันกันยุ่งเหยิงคงจะเพิ่งตื่นบรรทม แวบหนึ่งที่เธอเห็นพระเนตรนั้นฉายแววอ่อนโยนเหมือนท่านอเมโนฟิส หากแต่ทรงเม้มริมฝีปากแน่นราวกับกำลังกลั้นลมหายใจ
ไม่รู้ว่าเจ้าชายกำลังพยาบาลเธอ หรือกำลังจะฆ่าเธอกันแน่ เพราะแม้จะใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น แต่กลับเช็ดหน้าให้เธอราวกับกำลังทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้
“เบาๆ...เพคะ”
เธอบอกเสียงแผ่ว แล้วก็ใจหายเมื่อดวงตาคมทอประกายวาววับกลับมาเป็นเจ้าชายคนเดิม เงาของท่านอเมโนฟิส หายวับไปทันที
“ดะ...เดี๋ยวก่อน..เพคะ” เธอร้องห้ามเสียงแหบ ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว เมื่อเจ้าชายเลื่อนมือลงต่ำ ไล้ผ้าจากลำคอลงเหนือทรวงและกำลังจะล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ
