บทที่ 13 รักที่ไม่อาจสมหวัง
“เอาล่ะ ข้าจะหาทางติดต่อท่านผู้นั้นเอง แต่เพิ่งจะเกิดเรื่องไปหยกๆ ต่างคนต่างก็ต้องระวังตัว ข้าไม่รับปากว่าจะทำได้แค่ไหน” เจ้าของบ้านแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักตามประสาวัวสันหลังหวะ
“อย่าลืมนะท่าน ตีเหล็กต้องตีตอนกำลังร้อน ตอนนี้ทุกคนต่างก็ทำงานหนักเต็มที่ ท่านต้องถมรอยรั่วของท่านด้วยตัวเองเพื่อทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ข้ามาแจ้งข่าวแก่ท่านเท่านี้ล่ะ”
ผู้มาเยือนลุกขึ้น แง้มประตูสอดส่ายสายตามองบริเวณรอบนอกแล้วแฝงเร้นกายหายไปกับความมืด ปล่อยให้เจ้าของบ้านทรุดตัวลงนั่งกุมขมับด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ผู้ร่วมขบวนการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ และยังตอกย้ำจุดอ่อนของเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ลองให้พวกมันมาเป็นเขาบ้างไหมล่ะ พวกมันอาจจะมีรอยรั่วมากกว่าเขาก็ได้
นี่เป็นงานใหญ่ที่วางแผนกันมานานมาก แม้จะมีฟาโรห์และเจ้าชายที่มีความเข้มแข็ง แต่อียิปต์เพิ่งรวมประเทศใหม่ แน่นอนว่ากระแสของการต่อต้านยังมีอยู่มาก พวกเขาใช้จุดอ่อนนี้โจมตีราชวงศ์มาตลอดแต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ซ้ำฟาโรห์ยังส่งเจ้าชายไมเซรินุสไปปราบกบฏที่เทเบจนสามารถถอนรากถอนโคนอดีตสังฆราชได้ เมืองต่างๆ ที่ทำท่าจะก่อการขึ้นมาต่างก็กลัวหัวหด เปลี่ยนใจหันมาสวามิภักดิ์ต่ออียิปต์กันเป็นแถว
ที่คิดจะทำให้เจ้าชายสองพระองค์แตกคอกันด้วยเรื่องรักสามเส้าเป็นอันตกไป เจ้าชายไมเซรินุสเกลียดผู้หญิงยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ แถมเจ้าชายฝาแฝดยังไม่มีทีท่าว่าต้องการจะช่วงชิงราชบัลลังก์กันเหมือนราชวงศ์อื่นๆ พวกเขาจึงแทรกแซงภายในไม่ได้เลย
ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็ฉีกยิ้มอย่างยินดีปรีดาเมื่อฉุกคิดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
ก็แล้วถ้าฟาโรห์สิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือฝาแฝดคนใดคนหนึ่งล่ะ?
เจ้าชายทั้งสองจะยังสามัคคีกันอยู่ไหม!?
ฟาโรห์อเมโนฟิสพยายามลืมตาและบังคับตัวเองไม่ให้หลับไปเสียก่อน ระหว่างมือบางกำลังลูบไล้แผ่นหลังและวนเวียนอยู่บริเวณไหล่ทั้งสองข้าง กลิ่นของสมุนไพรหอมจรุงไปทั่วห้องทำให้เคลิบเคลิ้ม มีเพียงเสียงหวานๆ เท่านั้นที่ดึงสติของเขาให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
“เจ็บไหมเพคะ?”
“อืม...กำลังดี...”
“เพคะ” อาเซน่ายิ้มบางๆ เพิ่มน้ำหนักมือลงไปอีกขณะนวดคลึงบริเวณไหล่ที่แข็งเครียด ไล่ขึ้นไปบนต้นคอกดค้างไว้โดยทิ้งน้ำหนักพอเหมาะแล้วค่อยๆ ไต่นิ้วขึ้นไป
เมื่อเส้นเลือดคลายตัวอ่อนลง เธอก็วกกลับมาคลึงแผ่นหลังจนถึงบั้นเอว ใช้เวลาไม่นานการนวดคลายเส้นก็สิ้นสุดลง
เธอจุ่มน้ำล้างมือ ขณะที่ฟาโรห์ทรงพลิกพระองค์นอนหงาย แล้วเคลื่อนพระวรกายขึ้นพิงพนักเตียงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
“ไม่ต้องกินยาได้ไหม?”
“ไม่ได้เพคะ” หญิงสาวตอบเร็วเมื่อทรงเริ่มเกเรหาทางที่จะไม่เสวยโอสถ “อย่าทรงเลี่ยงสิเพคะ”
“ขนาดเรายังเบื่อเลย เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือ?”
“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ ไม่เคยเบื่อเลย เสวยนะเพคะ” เธอรินยาต้มใส่ถ้วย จ่อยาขมที่ริมฝีปากเป็นการบังคับพระองค์อยู่ในที แล้วก็อมยิ้มเมื่อฟาโรห์ทรงเสวยจนหมด
“ยังไงเวลานั้นก็ต้องมาถึงอยู่ดี คนที่ข้าอยากให้เจ้าดูแลน่ะ คือโอซิริสต่างหาก”
“หม่อมฉัน....” หญิงสาวอึกอัก
“ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้า...มีคนอื่น”
“หม่อมฉัน...เคยทูลพระองค์ถึงเหตุผลที่เคยปฏิเสธเจ้าชายไปแล้วนะเพคะ” เธอย้ำความเดิม ซึ่งเหตุผลที่ว่านั้น ไม่ใช่คำพูดในสมัยเด็กๆ ที่เธอเคยพูดกับเจ้าชายโอซิริสเองเป็นแน่
“นั่น...ไม่สมเหตุสมผลเลย เราไม่อยากให้เจ้าเอาชีวิตตัวเองมาผูกติดกับเราแบบนี้เลย เจ้าก็รู้ว่าเราไม่มีเวลา...”
“ท่านอเมโนฟิส...” เธอเรียกพระองค์ด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อประโยคสุดท้ายที่ตรัสออกมาดูอ่อนล้าและหมดหวัง
อเมโนฟิสเอื้อมมือไปลูบศีรษะหญิงสาวด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะดึงร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้ แล้วบีบมือของเธอเป็นเชิงอ้อนวอนขอร้อง
“พระองค์ทรงรู้ดี...ถึงหัวใจของหม่อมฉัน”
“อาเซน่า...” ทรงเรียกเธอด้วยความเจ็บปวด ไม่ต่างจากหญิงสาวที่มองพระองค์ด้วยสายตาตัดพ้อ มือที่เกาะกุมมือเธออยู่เลื่อนขึ้นมาปัดปอยผมออกจากแก้มนวล รั้งไหล่บางเข้ามาชิดพระวรกาย ร่างบางตกอยู่ในอ้อมกอดของกษัตริย์ ศีรษะของเธอซุกอยู่ในอกกว้างเหมือนเด็กที่ต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่
“เรามีความสุข...ที่ได้อยู่กับเจ้า ได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม ถ้าเราไม่ใช่กษัตริย์ เราคงจะรักเจ้าได้อย่างกล้าหาญ และถ้าเรามีเวลามากกว่านี้ เราไม่มีวันยกเจ้าให้กับคนอื่น”
“แต่ก็ยังผลักใสหม่อมฉันออกจากชีวิต” เธอสวนทันควัน แม้ถ้อยคำนั้นจะสร้างความปริ่มเปรมให้กับหัวใจเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วรักนี้ก็ไม่อาจสมหวัง
ตั้งแต่วันที่พระองค์นั่งลงใกล้ๆ เธอวันนั้น วันที่เธอได้สลักชื่อของพระองค์เป็นครั้งแรก หัวใจดวงน้อยก็ตื้นตันด้วยความเคารพบูชา ไม่รู้เมื่อไหร่ที่มันแปรเปลี่ยนกลายเป็นความรัก ปรารถนาจะได้ดูแลกันและกันอย่างนี้เรื่อยไป
สิบกว่าปีที่เธอทุ่มเทตัวเอง ร่ำเรียนวิชาแพทย์จนสำเร็จ ผ่านการทดสอบหลายขั้นจนได้เป็นแพทย์หลวง ฝึกยิงธนูและการต่อสู้ทุกชนิด เพื่อจะได้ปกป้องพระองค์จากผู้ประสงค์ร้าย
แม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้ครองรักกันเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพราะฐานะของเธอมันต่ำต้อย เธอเองก็ไม่เคยหวังจะได้เป็นราชินี แต่เธอก็ยังได้อยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดในฐานะแพทย์ประจำตัว
คำบอกรักที่เคยทำให้หัวใจเต้นรัว ชุ่มฉ่ำ เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ กลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงเมื่อตรวจพบโรคร้ายที่ไม่มียาใดรักษา และนั่นทำให้พระองค์ผลักใสเธอออกจากชีวิต
ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยคิดจะให้ใครมาแทนที่พระองค์เลย
“นอกจากหัวใจแล้วเราให้เจ้าได้เท่านี้ เราอยากให้เจ้ามีความสุขกับคนที่รักเจ้า ไม่อยากให้เจ้าจมปลักอยู่กับคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีบิดาของเจ้าแล้ว ไม่มีเราแล้ว เจ้าจะต้องมีคนดูแล เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับบุตรชายของเรา”
อเมโนฟิสซบหน้ากับไหล่มน จากรักใคร่เอ็นดูในความใฝ่รู้ฉลาดเฉลียว จากความสงสารเมื่อเธอต้องสูญเสียบิดาเมื่อสิบปีก่อน ความรักที่มีต่อเด็กคนนี้เกิดขึ้นแต่เมื่อใดไม่รู้ตัวเลย
“เราไม่อยากให้หัวใจของเจ้าแห้งผาก ไม่อยากให้ความรักนั้นตายไปเพราะเรา เจ้าคือสิ่งที่สวยงามและเราอยากให้มันคงอยู่ต่อไป เจ้าจะทำมันเพื่อเราได้ไหม?”
“เพคะ...เพื่อฝ่าบาท” เธอรับคำด้วยหัวใจที่ขมขื่น
“ไม่เอาน่าคนดี...” ทรงลูบหลังลูบไหล่หญิงสาวอย่างปลอบประโลม “โอซิริสรักเจ้า เฝ้ารอเจ้ามาหลายปีและเราได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว”
“แต่...ต้องสัญญากับหม่อมฉันก่อนนะเพคะ ว่าจะไม่ถอดใจในการรักษาพระองค์จนถึงที่สุด จะไม่เสี่ยงพระองค์เพื่อหม่อมฉันอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับหม่อมฉันแค่ไหน” เธอถอยห่าง เคลื่อนตัวลงจากเตียงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะต้องบรรทมแล้ว
“อยู่ต่ออีกนิดได้ไหม?”
“ถึงเวลาต้องบรรทมแล้วเพคะ หม่อมฉันจะให้จีซาเข้ามาดูแลพระองค์”
“เจ้าเคร่งครัดอย่างนี้เสมอ”
“เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนานๆ เพคะ” เธอส่งยิ้มพร้อมกับถวายคำนับเป็นการอำลา ไม่ให้พระองค์รั้งไว้อีก
นางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่เปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่ จีซายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“พระอาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีขึ้นแล้ว...ฝากด้วยนะจีซา ถ้ามีอะไรก็เรียกเราได้เลย”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
