เทพบุตรซาตาน-2 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
…Wow Club...
“สี่ทุ่มโทรปลุกฉันด้วย และสักสี่ทุ่มครึ่งให้เด็กเอาเหล้าขึ้นไปให้ด้วยนะ”
“ครับบอส”
เมื่อมาถึงคลับแล้วนักรบก็เอ่ยสั่งธวัชและรีบเดินขึ้นไปยังห้องของตนเองทันที เพราะเขาอยากจะอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง หลังจากที่ตนนั้นไปหัวหินเพื่อที่จะยอมถอย และทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยการพิสูจน์บอกรักนรีรัตน์ และขอดูแลโดยที่ตนนั้นให้ภูษิตถือสายฟังบทสนทนาอยู่ตลอดเวลา ตัวของนักรบเองรู้ดีว่านรีรัตน์ไม่เคยลืมภูษิต และยังคงรักอยู่เสมอแม้ตนนั้นจะแอบหวังว่าหญิงสาวจะหันมองตนบ้าง แต่สถานะที่นรีรัตน์ให้ได้คือเพียงแค่พี่ชายเท่านั้น ดังนั้นนักรบจึงคิดว่าการถอย และช่วยเพื่อนรักง้อนรีรัตน์ให้สำเร็จเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอย่างมีความสุข แม้ลึก ๆ ภายในใจของตนนั้นจะรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อยก็ตามเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำแล้ว
“ยายจ๋า หนูมาแล้วจ้า” ปลิตาวิ่งกระหืดกระหอบร้องเรียกยายเมื่อมาถึงหน้าบ้าน
“เอ็งจะตะโกนทำไม และจะวิ่งทำไมเดี๋ยวก็ล้มหน้าคะมำ” สายพินเอ็ดหลานสาวเบา ๆ
“แฮร่...” ปลิตายิ้มแหย ๆ ให้กับยายเมื่อถูกบ่น
“เดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บของก่อนนะยาย และจะรีบมาช่วย”
“เอ็งหิวไหม ถ้าหิวก็ไปกินข้าวกินปลาก่อนค่อยมาช่วยยายก็ได้ ยายทำแกงส้มกับไข่เจียวไว้ในฝาชี” สายพินเอ่ยบอกผู้เป็นหลานเพราะกลัวว่าจะหิว
“ยังไม่หิวจ้ะยาย เดี๋ยวทำเสร็จค่อยกินทีเดียวเลย รีบทำก่อนดีกว่า และอีกอย่างน้านวลสั่งไว้เยอะด้วยหนูกลัวจะเสร็จไม่ทันเวลา” หญิงสาวปฏิเสธแม้ว่าตนนั้นจะรู้สึกหิวอยู่มากก็ตาม
จากนั้นสองคนยายหลานก็นั่งช่วยกันร้อยพวงมาลัย ทั้งคู่พูดคุยกันไปเรื่อย จนเมื่อเวลาล่วงไปจนเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งทั้งสองจึงทำเสร็จตามจำนวนที่ลูกค้าสั่งไว้ ปลิตาเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าที่ และนำพวงดอกไม้สดแช่เพื่อที่ตอนเช้าจะได้เอาไปส่งลูกค้า จากนั้นหญิงสาวก็เข้าไปในครัวเปิดฝาชียกถาดอาหารมาเพื่อกินกับยาย
“ยายลุกขึ้นมากินข้าวก่อนจะได้อาบน้ำและเข้านอน” ปลิตาเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าสายพินนอนเอนหลังพักอยู่หลังจากที่นั่งร้อยพวงมาลัยมาเป็นเวลานาน
“อืม ๆ” สายพินตอบกลับพร้อมกับค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งเพื่อเตรียมกินข้าวกับหลานสาว
สองยายหลานนั่งกินข้าวไปเรื่อยจนอิ่ม สายพินจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อจะได้เข้านอน ส่วนปลิตานั้นก็จัดแจงเตรียมที่หลับที่นอนเหมือนอย่างเช่นทุกวัน
“ว้ายย!!”
...โครมม!!...
...ตุ๊บ!!...
“โอ๊ย!!”
ในขณะที่หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมที่หลับที่นอนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องอย่างตกใจพร้อมกับเสียงดังโครม และเสียงของหนักตกพื้นตามด้วยเสียงโอดครวญของยาย เธอจึงไม่รอช้ารีบวิ่งตรงไปทางต้นเสียงทันที
“ยาย!! ยายเป็นอะไร” ปลิตาตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูผู้เป็นยายในห้องน้ำ และภาพที่หญิงสาวเห็นคือร่างอวบท้วมของสายพินนอนกองอยู่ที่พื้น
“โอ๊ย สายป่านลูก ช่วยยายด้วย ยายเจ็บ” สายพินนอนเอามือกุมสะโพกที่เคยหลุดเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งเหนือคิ้วข้างซ้ายยังมีรอยแตกเลือดไหลซึมออกมา เนื่องจากกระแทกกับขอบโอ่งยิ่งทำให้ปลิตานั้นตกใจมากยิ่งขึ้น
“ยายอย่าเป็นอะไรนะ และอย่าพึ่งขยับตัวด้วย เดี๋ยวหนูตามคนมาช่วย ไม่สิต้องโทรเรียกรถพยาบาล ยายรอแป๊บนะ ฮือ ฮือ”
ปลิตาร้องไห้เพราะความตกใจและความเป็นห่วง กลัวว่ายายที่เป็นที่รักจะเป็นอะไรมาก จึงพยายามตั้งสติวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ราคาถูกกดโทรหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือทันที
“ฮือ...ฮือ ยายจ๋าอย่าเป็นอะไรนะ อดทนไว้นะจ๊ะ” หญิงสาวร้องไห้บนรถฉุกเฉินมาตลอดทาง และคอยเอ่ยเรียกผู้เป็นยายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะหลับ
“ยายไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก เดี๋ยวก็ถึงมือหมอแล้ว เอ็งอย่าร้องไห้แบบนี้สิ” สายพินเอ่ยปลอบหลานสาว ทั้งที่ตนเองนั้นรู้สึกเจ็บบริเวณที่สะโพกและแผลเหนือคิ้วที่แตกมาก
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลร่างของสายพินถูกเจ้าหน้าที่เข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน โดยที่ปลิตายืนรออยู่ด้านนอกพร้อมทั้งคอยเดินเรื่องเกี่ยวกับการยื่นเอกสารต่าง ๆ กับทางโรงพยาบาล หญิงสาวพึ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรหาธวัชผู้เป็นอาและเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ตนมีนอกจากยาย เธอจึงรีบล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอสายอยู่นานคนปลายสายก็ยังไม่รับเธอจึงนั่งลงหน้าห้องฉุกเฉินและพยามยามต่อสายหาผู้เป็นอา
ครืด~ครืด
เมื่อเวลาผ่านไปประมานสิบห้านาที โทรศัพท์ของปลิตาก็มีสายเรียกเข้า มือเล็กจึงรีบยกขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของอาหนุ่มโทรกลับมาหญิงสาวจึงรีบกดรับสายทันที
“ฮึก...อาวัชคะ คือว่ายายลื่นล้มในห้องน้ำ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” ปลิตารีบเอ่ยบอกคนปลายสายออกไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“อยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวอารีบไป พอดีเมื่อกี้อาดูลูกน้องเก็บร้านอยู่” ธวัชบอกหลานสาวเพราะเมื่อกี้ที่ปลิตาโทรหาตนนั้นตนกำลังดูความเรียบร้อยของลูกน้อง และเคลียร์ลูกค้าเพราะใกล้ได้เวลาปิดโซนคลับด้านล่างแล้ว
“อารีบมานะคะหนูกลัว ฮึก...ฮือ...ยายคิ้วแตกเลือดไหลเต็มเลย และยังเจ็บมากด้วย” ปลิตาบอกอาการของยายให้คนปลายสายฟังพร้อมกับสะอื้นอย่างหนัก จนธวัชต้องรีบเอ่ยปลอบเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกังวลมาก และเขาก็รู้นิสัยของหลานสาวดีว่าเป็นอย่างไร
“ใจเย็น ๆ นะสายป่าน ถึงมือหมอแล้วยายต้องปลอดภัย อย่าคิดมาก รออาก่อน อาจะรีบไป” ธวัชบอกหลานสาวเพื่อให้เธอเบาใจลง
“ค่ะ รีบมานะคะ” ปลิตากดวางสายและคอยลุกขึ้นมองไปยังประตูห้องฉุกเฉินอยู่เป็นระยะ
หลังจากวางสายประมาณยี่สิบนาทีธวัชก็มาถึงโรงพยาบาล ชายหนุ่มก็รู้สึกกังวลและเป็นเป็นห่วงมารดาไม่แพ้หลานสาว ร่างสูงรีบเดินตรงเข้ามาที่หลานสาวและรีบเอ่ยถาม
“หมอยังไม่ออกมาเลยค่ะ ยายเข้าไปนานแล้วด้วย หนูเป็นห่วง ยายหนูผิดเองที่ดูแลยายไม่ดีปล่อยให้ยายลื่นล้ม ฮึก...ฮือ”
“ใจเย็น ๆ นะสายป่าน มันคืออุบัติเหตุ” ธวัชโอบกอดหลานสาวและเอ่ยปลอบโยน
“ฮึก...ฮึก...ค่ะ”
ในขณะที่สองอาหลานพูดคุยกันอยู่นั้น คุณหมอวัยกลางคนก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทั้งคู่จึงไม่รอช้ารีบตรงปรี่เข้าไปถามอาการของคนป่วยทันที
“คุณหมอคะ”
“คุณหมอครับ”
“อาการของยายหนูเป็นยังไงบ้างคะ”
“อาการของแม่ยังไงบ้างครับ” สองอาหลานรีบเอ่ยถามนายแพทย์ทันที
“ผมขอเชิญญาติคนไข้ไปคุยในห้องนะครับ” นายแพทย์เจ้าของไข้บอกพร้อมกับเดินนำไปยังห้องส่วนตัว โดยมีธวัชและปลิตาเดินตามไปติด ๆ อย่างกังวล