ตอนที่ 3 การพบเจอ
ก๊อกๆ !!!
"เข้ามา"
ประตูห้องทำงานเปิดออก คนขับรถประจำไร่เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม
"รับเด็กๆมาแล้วครับ" รายงานปรเมศ หลังจากที่เป็นคนสั่งให้ไปรับเพียงอ้อยและพ้องเพื่อนมาพักที่ไร่ เพียงจันทร์แม่ของเพียงอ้อยเป็นคนขออนุญาตและเห็นดีเห็นงามด้วย หากปฏิเสธก็จะดูใจร้ายเกินไปอีกทั้งสองแม่ลูกไม่ใช่คนอื่นคนไกล ก็เป็นคนงานและเป็นเด็กที่ปรเมศเคยซื้อขนมป้อนตั้งแต่เด็ก
บ้านใหญ่กับที่พักคนงานห่างไม่ไกลกันมาก เสียงเด็กดังลอดเข้ามาในบ้านใหญ่ ปรเมศที่นั่งทำงานอยู่ถึงกับเป็นอันทำอะไรไม่ลงเมื่อเสียงเด็กๆที่คุยหยอกล้อกันรบกวนสมาธิการคิดคำนวนตัวเลข กระจกใสมุมระเบียงปรเมศส่องสายตามองหาเสียงต้นทาง มันมาจากที่พักคนงานท้ายไร่จริงๆไม่มีใครบอกเด็กพวกนี้กันเหรอว่าห้ามเสียงดังในช่วงกลางคืนเช่นนี้ ชักเริ่มอารมณ์เสียและคงต้องลงไปเตือนสักหน่อย
"อากาศที่นี่โคตรดีเลยว่ะอ้อย" เจ้าขาชอบอากาศที่นี่มาก มันบริสุทธิ์และเย็นสบายกว่ากรุงเทพเป็นไหนๆ อีกทั้งในตอนกลางคืนก็มองเห็นดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แสงจากดวงจันทร์สาดส่องลงเบื้องล่างเป็นแสงสลัว แม้ไม่มีไฟก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
"ตรงนู้นมีศาลาด้วยนะเว้ย ไปนั่งเล่นกันไหม"
เด็กๆต่างตกลงย้ายไปนั่งดูดาวในศาลาคั่นเวลานอน เด็กกรุงเทพพอมาเจอบรรยากาศนอกเมือง ผู้คนเข้านอนแต่หัวค่ำกลับไม่ชินและข่มตาให้หลับตามคงไม่ได้
"ไปก่อนเลย ปวดฉี่เดี๋ยวตามไป" เจ้าขาขอตัวเข้าห้องน้ำและจะตามไปทีหลัง คนอื่นๆทยอยเดินเกาะกลุ่มกันไปศาลาห่างจากที่พักในระยะไม่กี่เมตร หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเจ้าขายังคงนั่งบนแคร่ไม้หน้าที่พักมองดูดาวเพียงลำพัง เธอไม่เคยเห็นบรรยากาศแบบนี้
"สวยจัง" สาดสายตาขึ้นบนฟ้าพร้อมรอยยิ้มที่ตรึงจากความรู้สึก และยกมือน้อยชี้นับดาวทีละดวง
" 1 2 3 4" จะนับยังไงหมดล่ะเจ้าขา ดาวมีเป็นล้านๆดวงก่อนจะวางมือน้อยๆลงนาบแคร่ไม้เป็นการยันค้ำร่างกายให้นั่งบนนั้น แหงนใบหน้าละมุนมองท้องฟ้าอย่างตั้งใจโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างมองจากแสงน้อยๆของดวงดาวที่กระจายตัวการละลานตาเต็มไปหมด
ในขณะที่ปรเมศเดินลงจากชั้นบนของบ้านและออกมาทางด้านหลังก็ต้องชะงักนิ่ง สายตาคมเข้มเห็นร่างแน่งน้อยนั่งแกว่งขาไปมา เพียงแค่มองเห็นด้านหลังเขากลับยกมือตบหน้าตัวเองไปสองทีเพื่อเรียกสติว่าตอนนี้กำลังฝันเหมือนเมื่อคืนหรือเปล่า แต่เปล่าเลยเมื่อฝ่ามือหยาบกระแทกลงแก้มอย่างรุนแรงมันก็เจ็บแสบทันที เขาไม่ได้ฝัน ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนแคร่คือมินตรา มองด้านหลังเหมือนกันทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อให้คนตรงหน้าเป็นวิญญาณเขาก็ไม่กลัว ภาวนาทุกวันภาวนาให้หญิงคนรักมาหา ในที่สุดเธอก็มา
ปรเมศกึ่งวิ่งเดินเข้าประชิดทางด้านหลัง จากนั้นก็ใช้แขนโตๆโอบเข้าลำตัวคนตัวบางในทันที คราวนี้เขากอดเธอได้เธอไม่หายไปอย่างครั้งก่อน
"มิน" รัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด เจ้าขาตกใจอย่างมากจู่ๆมีคนมากอดทางด้านหลังเธอ ยังไม่ทันจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ก็ถูกจับหันประชันกับใบหน้าของอีกคนที่เธอไม่รู้จัก ปรเมศจุมพิตลงข้างแก้มและริมฝีปากเจ้าขาทันที เขาไม่ทันมองและสังเกตุว่าคนตรงหน้าไม่ใช่หญิงคนรัก ความคิดถึงมันทำให้ปรเมศหน้ามืดตามัวอยากกอดอยากหอมผู้หญิงที่จากเขาไปตั้งสิบปี
"คิดถึง" ริมฝีปากหยาบขบเม้มบดเบียดลงจนเจ้าขาไม่สามารถเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ มีเพียงฝ่ามือน้อยตบตีเข้าที่หัวไหล่ปรเมศ
"อื้อ"
"พ่อเลี้ยง" เพียงอ้อยตะโกนเรียกชายเจ้าของไร่ เขากำลังทำท่าทางคล้ายปลุกปล้ำเพื่อนสาวคนสนิทแต่มันไม่ใช่ ปรเมศไม่ได้จงใจทำแบบนั้นแต่เพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมินตรามาหาจริงๆ
เมื่อมีเสียงเรียกปรเมศก็ชะงักและผละตัวออกจากร่างแน่งน้อยที่ถูกบีบขย่ำจนหายใจไม่ทัน
"อ้อย ช่วยด้วย" เพียงอ้อยเข้ารับเจ้าขาเธออ้าปากหายใจพะงาบๆเอาออกซิเจนเข้าปอด เมื่อกี้เธอแทบหมดลม
"....." เมื่อเพ่งมองดีๆคนตรงหน้ากลับไม่ใช่หญิงคนรักอย่างที่เข้าใจ แต่เจ้าขากลับมาใบหน้าคล้ายมินตราราวกับฝาแฝดเพียงแต่เธอมีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เหมือนมินตราในช่วงอายุไล่เรี่ยกัน
"ฉัน...." พูดไม่ออกกับการกระทำเมื่อสักครู่ที่เผลอไปคลอเคลียเด็กที่ไหนไม่รู้ แต่ที่รู้คือเธอเหมือนหญิงคนรักราวกับแกะ จากนั้นก็พาเพียงอ้อยและเจ้าขาไปนั่งในบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องที่กระทำลงไป
ในบ้าน
"เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจ" เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับคนไม่รู้สึกรู้สา เป็นผลให้คนฟังและเป็นผู้ถูกกระทำเกือบอนาจารอารมณ์ขึ้น
"ไม่ตั้งใจ แต่.." เพียงอ้อยสะกิดเพื่อนสาวให้หยุดพูด
"นี่พ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ที่นี่" ชิงแนะนำก่อนเจ้าขาจะโวยวาย เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
"พ่อเลี้ยง" มองหน้าเพียงอ้อยและเธอก็พยักหน้าตอบเจ้าขาว่าใช่ คนนี้คือพ่อเลี้ยงคนที่อนุญาตให้พวกเธอมาพักในไร่
จากที่ตั้งใจจะต่อว่ากับการกระทำที่ไม่ให้เกียรติก็ชะงักปิดปากเม้มมันไว้แน่น แม้ในใจอยากจะด่าพ่อเลี้ยงปรเมศให้เสียหมาก็ตาม การเจอเจ้าของไร่ช่างไม่ประทับใจเอาเสียเลย อีกทั้งพ่อเลี้ยงปรเมศก็ดูไม่สะทกสะท้านกับการกระทำเช่นนั้น ซ้ำยังนั่งจ้องตาไม่กะพริบจนอยากหนีออกไปจากตรงนี้