3. เด็กดี
สองปีต่อมา
วิลาสินีได้รับทุนจากผู้ใหญ่ใจดีผ่านการโอนเข้าบัญชีธนาคารมาตลอดสองปี โดยที่เด็กสาวไม่เคยมีโอกาสได้เจอหน้าคนผู้นั้นเลยสักครั้ง เห็นอาจารย์ว่าคุณคนนั้นไม่ค่อยได้อยู่ประเทศไทย ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่เพราะบริษัทใหญ่อยู่ที่โน่น ที่ประเทศไทยนี้จะเป็นบริษัทลูก
เวลาคุณใจดีเขามาตรวจเยี่ยมบริษัทก็จะอยู่เที่ยวผ่อนคลายแต่ละครั้งประมาณสองอาทิตย์แล้วก็กลับ ซึ่งระยะห่างของเวลาที่เขาจะมาที่นี่ก็จะประมาณ 3 - 4 เดือนถึงจะได้มาสักครั้ง
ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา ครอบครัวของวิลาสินีก็มีความเป็นอยู่ในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากร้านเบอเกอรีและเครื่องดื่มของวารีนั้นได้รับความนิยมจึงต้องขยายร้านให้ใหญ่เพื่อที่จะได้รับลูกค้าได้เยอะขึ้น และมีลูกสาวทั้งสองคนอย่างเธอและพี่สาวช่วยเป็นลูกมือในการจัดการร้าน
เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายของวิลาสินีที่เธอจะเป็นเด็กวัยมัธยม และเช่นเดียวกันที่เป็นเทอมสุดท้ายของวิรัศยาที่จะเรียนจบในระดับอุดมศึกษา
"แม่ หนูต้องคิดถึงพี่หวานแน่ ๆ เลย" วิลาสินีที่แต่งชุดนักเรียนมัธยมปลายเรียบร้อยเตรียมตัวไปโรงเรียนนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพราะวันนี้พี่สาวของเธอต้องเดินไปฝึกงานยังต่างจังหวัด
"ทำยังได้ล่ะลูก พี่เขาต้องไปไม่งั้นก็จะไม่จบหลักสูตร" วารีตอบลูกสาวคนเล็กก่อนจะใช้ทัพพีตักน้ำซุปต้มจืดขึ้นมาชิมรสอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ารสชาติกลมกล่อมแล้วจึงได้ทำการปิดแก๊ส
ขณะนั้นเป็นเวลาที่วิรัศยาเดินถือกระเป๋าลงมาจากชั้นบนพอดี
"จะไปเลยเหรอลูกยังเช้าอยู่เลย มากินข้าวก่อนสิแม่ทำต้มจืดไว้ให้" วารีจึงได้ร้องเรียกลูกสาวคนโต ทำให้วิรัศยาางกระเป๋าลงที่ห้องนั่งเล่นแล้วเดินมายังโต๊ะอาหาร
วิลาสินีเห็นเช่นนั้นจึงเดินไปตักข้าวสวยมาสองจานก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างพี่สาว
"ทำไมพี่หวานต้องไปฝึกงานไกล ๆ ด้วย หนูต้องคิดถึงพี่หวานแน่ ๆ เลย" วิลาสินีพูดขณะที่กอดแขนพี่สาวใช้แก้มถูต้นแขนนุ่มของพี่อย่างออดอ้อน
"พี่ไปฝึกงานแค่สามเดือนเอง เดี๋ยวพี่ก็กลับ อยู่กันสองคนกับแม่ก็ช่วยงานแม่ด้วยนะอย่ามัวแต่เที่ยว" วิรัศยาสั่งน้องสาวเธอ ทั้งที่รู้ดีว่าว่าน้องเธอไม่เคยเกเรให้แม่กับเธอหนักใจเลย
"รู้แล้ว ๆ " วิลาสินีย่นจมูกใส่พี่สาว ทำท่าเหมือนรำคาญเสียงบ่นไม่จริงจัง
"ดีมาก" วิรัศยายกมือยีหัวน้อยเธอเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว
"เอ้า มัวแต่เล่น รีบกินข้าวกันได้แล้วเดี๋ยวก็สายทั้งคู่" วารีเดินถือจานข้าวของตัวเองมานั่งร่วมโต๊ะแล้วแกล้งบ่นให้ลูกสาวทั้งสอง
หลังจากรับประทานข้าวเช้าเรียบร้อย ทั้งวิลาสินีและวิรัศยาพากันเดินออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถที่ปากซอย วารีจึงได้เดินตามออกมาเพื่อส่งสองพี่น้องที่หน้าประตูรั้วบ้านด้วย
และตอนนี้เองที่วิลาสินีได้รู้จักกับแฟนหนุ่มของพี่สาว ทั้งเธอและแม่ต่างกันตกใจและตื่นเต้นที่จู่ ๆ แฟนของวิรัศยาก็มาปรากฏตัวโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้าอะไรเลย หนำซ้ำแฟนของพี่สาวยังเป็นชายหนุ่มลูกครึ่งยุโรปเอเชียซึ่งนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าคนทั้งได้ไปรู้จักและคบกันตอนไหน จนเธอและแม่ต้องซักไซร้กันเป็นอย่างหนักว่าเขาทั้งคู่เจอกันได้อย่างไร และก็ได้คำตอบว่าเป็นตอนที่พี่สาวของเธอได้ไปทำงานช่วงที่รอมหาวิทยาลัยเปิดเทอมที่ทำให้ทั้งคู่เจอกันและได้คบกันตอนนั้น
และยิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็คือแฟนของพี่สาวของเธอยังเป็นเจ้าของโรงแรมที่พี่สาวคนสวยของเธอจะไปฝึกงานเสียด้วยนั่นทำให้เด็กสาวรู้ว่าแฟนของพี่เธอรวยไม่ใช่เล่นเลย
"แฟนพี่หวานหล่อมากเลยนะคะ ไม่คิดว่าจู่ ๆ พี่หวานจะมีแฟน หนูไม่เคยเห็นพี่หวานคุยโทรศัพท์หนุงหนิงกับใครเลย" วิลาสินีมองตามท้ายรถยนต์คันใหญ่ที่วิรัศยานั่งไปขณะที่พูดกับมารดา ที่ผ่านมาไม่เคยพี่สาวขอแม่ไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ ของพี่สาวมานั่งคุยเล่นกันที่ร้านเสียมากกว่า
"พี่เขาคงคุยกันตอนเราไม่เห็นนั่นแหละ มัวแต่สนใจเรื่องของพี่ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสาย รีบไปได้แล้ว" วารีเตือนเรื่องเวลากับลูกสาว เธอเองก็แปลกใจไม่แพ้ลูกสาวคนเล็กที่ลูกสาวคนโตมีแฟน แต่จะไปบังคับการใช้ชีวิตของลูก ๆ ได้อย่างไรกัน
"ว้าย! จริงด้วย หนูไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ" วิลาสินีตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องไปขึ้นรถโดยสารไปโรงเรียน มัวแต่ตื่นเต้นเรื่องของพี่จนทำให้การไปขึ้นรถโดยล่าช้ากว่าปกติ เพราะถ้าช้ากว่านี้ก็จะทำให้คนแออัดต้องแย่งกันขึ้นรถ เธอจึงออกจากบ้านตั้งแต่เช้าทุกวัน
เด็กสาวยกมือสวัสดีผู้เป็นแม่ก่อนจะรีบวิ่งออกไปทางปากซอยเพื่อที่จะไปรอขึ้นรถโดยสารประจำทางยังหน้าถนนใหญ่โดยมีสายตาเอ็นดูของวารีมองส่งตามหลังไป
ณ บริษัทใหญ่กลางกรุง
"ปีนี้มีเด็กทุนเข้ามหาวิทยาลัยกี่คน?" เป็นเสียงของเควินเอ่ยถามผู้ช่วย
เควิน เขาคือผู้ที่ชอบให้การอุปการะเด็กเรียนดีแต่ยากจน เพราะเห็นว่าการศึกษานั้นสำคัญต่อเด็ก ๆ มาก น่าเสียดายหากว่าฐานะการเงินของครอบครัวของเด็กเหล่านั้นทำให้เด็กหมดโอกาสได้เล่าเรียน เขาจึงได้มอบทุนการศึกษาแบบนี้มาหลายปีแล้ว
จนตอนนี้ เขามีเด็กในความอุปการะร่วมยี่สิบคนแล้ว แต่เขาไม่เคยได้ไปพบกับเด็กเหล่านั้น ได้แต่ให้ทางโรงเรียนของเด็ก ๆ ส่งผลการเรียนมาให้เท่านั้น แต่มีบ้างที่วันดีคืนดีที่เขาจะให้นักสืบไปแอบดูการเป็นอยู่ของเด็กพวกนั้น เพราะถ้าหากเด็กทำตัวเกเรขณะที่ได้รับเงินทุนจากเขาอยู่ เขาก็อาจจะหยุดให้ทุน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเด็กคนไหนทำให้เขาหงุดหงิดเลยสักครั้ง
"มีห้าคนครับ" อานนท์ ผู้ช่วยหนุ่มตอบผู้เป็นนายหลังจากที่ได้ดูข้อมูลในไอแพดเรียบร้อยแล้ว
"เกรดเฉลี่ยเป็นยังไงกันบ้าง?" เควินถามขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เบื้องหน้าอ่านรายงานการประชุมไปพลาง ๆ
"มีคนหนึ่งเกรดตกไปเยอะเลยครับในเทอมล่าสุด"
"บอกให้อาจารย์ตักเตือนด้วย ดูตอนขึ้นมหาวิทยาลัยถ้ายังทำตัวเกเรก็อาจจะหยุดให้ทุน" เควินสั่งเสียงเรียบผิดกับอารมณ์ที่ขุ่นมัว คงจะเป็นปีนี้ละมังที่เด็กทุนทำตัวให้เขาต้องหงุดหงิด พอมีเงินเรียนสบายก็ทำตัวเกเร ไม่สนใจการเรียน เอาแต่เที่ยวเตร่หรือติดเกม เขาไม่ชอบเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้เลยจริง ๆ
"แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เกรดเพิ่มขึ้นตลอดและคนนี้พอให้นักสืบลองไปดูที่บ้าน ก็เห็นช่วยงานแม่ตลอดทุกวันและทุกวันหยุดเลยครับ แล้วเธอก็สอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยครับ" เมื่อเห็นว่าเจ้านายเริ่มหงุดหงิด อานนท์จึงรีบรายงานในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เจ้านายอารมณ์ดีได้
"เป็นเด็กดีสินะ พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็เพิ่มทุนให้หน่อยก็แล้วกัน" อารมณ์ของเควินดีขึ้นมานิดหน่อย ในใจนั้นรู้สึกชื่นชมเด็กคนนั้นอยู่ลึก ๆ แต่เขาก็แค่ชื่นชม ไม่คิดจะอยากเห็นหน้าหรืออยากรู้จักกับเด็ก ๆ เหล่านี้อยู่แล้ว
เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่จะตามมาหากว่าเขานั้นแสดงตัวออกไป จิตใจของแต่ละคนยากจะหยั่งถึงความคิดและความโลภได้ เขาจึงทำตัวเป็นคนปิดทองหลังพระแบบนี้มาโดยตลอด
................................
แหม ไม่ชอบแสดงตัว แล้วอย่ามาทำเป็นรู้จักกับน้องนะลุง