บทที่ 5 หยิกมาหยิกกลับ
เมื่อสะสางเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสร็จเรียบร้อย คนทั้งสองก็รีบเดินทางเข้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว ยามนี้เสด็จพ่ออยู่ที่ตำหนักคุุนหนิง ซึ่งเป็นตำหนักของสวีฮองเฮามารดาของหลี่เหว่ย เมื่อย่างก้าวเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้จางลู่หลินก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทุกๆที่ในวังหลวงล้วนงดงามราวแดนสวรรค์ ดอกไม้นานาพรรณถูกประดับตกแต่งส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณ ตำหนักที่ทำมาจากทองคำดูหรูหราโอ่อ่า แคว้นหนานฉีร่ำรวยสมคำล่ำลือจริงๆ
"เชิญองค์ชายใหญ่และพระชายาเอกด้านในพ่ะย่ะค่ะ"
กงกงเอ่ยกับหลี่เหว่ยและจางลู่หลินอย่างนอบน้อม นางจำได้ว่ากงกงผู้นี้คือคนเดียวกันกับที่ไปพบนางที่จวนตระกูลจางก่อนวันแต่งงาน นางยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร และเดินเข้าไปในตำหนักคุนหนิงพร้อมกับหลี่เหว่ย
ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนและสวีฮองเอาที่กำลังนั่งสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ เมื่อได้ยินว่าบุตรชายและลูกสะใภ้มาถึงแล้วก็รีบหันไปมอง
"พวกเจ้ามาแล้วหรือ ไหนเล่าลูกสะใภ้ของข้า มาให้แม่สามีได้มองหน้าเจ้าชัดๆ เสียดายที่วันนั้นข้าล้มป่วยจึงไม่อาจไปร่วมงานแต่งได้"
สวีฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนโยน เพราะวันแต่งงานของหลี่เหว่ยและจางลู่หลินนางเกิดล้มป่วยกระทันหันทำให้ไม่ได้พบเจอหน้าลูกสะใภ้ วันนี้ได้พบหน้า ย่อมเป็นเรื่องดีที่จะได้ทำความรู้จักกับลูกสะใภ้ของตน
จางลู่หลินเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อแม่สามี ทันทีที่ได้เห็นพวกเขาก็ทำเอาดวงตาของนางแดงก่ำหญิงสาวรู้สึกว่าภาพตรงหน้าราวกับฝันไป
คุณพ่อคุณแม่ของนาง!
เหตุใดฮ่องเต้หลี่เจี้ยนและสวีฮองเฮาถึงมีใบหน้าเหมือนกับพ่อแม่ของนางในชาติปัจจุบันที่นางจากมาไม่มีผิดเพี้ยน
หลี่เหว่ยที่เห็นว่าอยู่ๆจางลู่หลินก็เงียบงันไป อีกทั้งดวงตาก็แดงก่ำและยังไม่ยอมทำความเคารพบิดามารดาของเขา ชายหนุ่มก็ลอบก่นด่านางในใจ ก่อนจะยื่นมือไปหยิกเอวของนางอย่างแรง จางลู่หลินพลันได้สติ นางรู้ตัวว่าตนเองทำตัวเสียมรรยาทแล้ว จึงร้อนรนรีบทำความเคารพทันที
"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมรรยาทต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทและสวีฮองเฮาแล้ว"
ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนและสวีฮองเฮาหันมาสบตากันทันที ต่างฝ่ายต่างมองเห็นว่าตอนที่จางลู่หลินมองมาที่พวกตนเหมือนกับมีความดีใจและเสียใจปะปนอยู่ อีกทั้งในแววตาของเด็กสาวก็ยังมีทั้งความเคารพและรักใคร่อย่างสุดซึ้ง
สวีฮองเอาอยู่ในวังหลวงมานานย่อมมองออกว่าใครเสแสร้งหรือจริงใจ จางลู่หลินเหมือนจะเสแสร้งแต่ก็ไม่ใช่ แววตาของนางใสกระจ่างบริสุทธิ์ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย
สวีฮองเฮายิ้มให้จางลู่หลินอย่างอ่อนโยน นางเดินลงมาจากที่นั่งและจับมือจางลู่หลินอย่างเป็นกันเอง หลี่เหว่ยลอบเบ้ปาก นึกอยากจะให้นางถูกมารดาของเขาก่นด่าสักยกหนึ่ง แต่กลับไม่เป็นไปตามแผน
นางแสดงละครทำเป็นสตรีบอบบางได้อย่างหน้าไม่อาย!
"เด็กดี เจ้าไม่ต้องมากพิธี ต่อไปนี้เรียกข้าว่าเสด็จแม่ดีหรือไม่"
เมื่อได้มองเห็นสวีฮองเฮาในระยะประชิดเช่นนี้ จางลู่หลินก็ดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สวีฮองเฮามีใบหน้าเหมือนมารดาของนางมากจริงๆ
สวีฮองเฮาหันไปยิ้มให้สามีของตนพร้อมกับเอ่ยอย่างมีความสุข
"ดูลูกสะใภ้ของเราสิ นางดีใจจนร้องไห้แล้ว ไหนให้แม่สามีช่วยเช็ดน้ำตาให้เจ้าเถอะ"
สวีฮองเฮายื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้จางลู่หลิน ทำเอานางดีใจจนอยากโผเข้าไปกอดสตรีตรงหน้าให้แน่นๆ
"ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันเสียมรรยาททำขายหน้าแล้ว เพราะว่าหม่อมฉันกำพร้ามารดามาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อได้ยินพระองค์อนุญาตให้ทรงเรียกเสด็จแม่ จึงดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่เพคะ"
"ไม่ต้องร้อง คิดเสียว่าข้าและฝ่าบาท คือบิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าเถอะ"
"ขอบพระทัยเพคะ"
จางลู่หลินพยักหน้าด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก หลี่เหว่ยกำมือแน่น ผิดแผนไปหมด กลับกลายเป็นว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่กลับเอ็นดูนางมากกว่าเขาเสียอีก!
การมาเยือนวังหลวงครั้งนี้ทำให้จางลู่หลินสุขใจยิ่งนัก ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนและสวีฮองเฮาดีกับนางเป็นอย่างมาก นางและแม่สามีสนทนากันได้อย่างถูกคอ สวีฮองเฮาถึงกับบอกว่าให้นางเข้าวังหลวงมาสนทนากันบ่อยๆ นางเองก็รับปากอย่างเต็มใจ
ด้านหลี่เหว่ยนั้นก่อนกลับเสด็จแม่ให้เขารั้งอยู่ในตำหนักก่อน ชายหนุ่มบอกให้จางลู่หลินไปรอที่หน้าตำหนักแล้วเขาจะรีบตามไป
เมื่ออยู่กันตามลำพังสามคนพ่อแม่ลูกท่าทีอ่อนโยนของสวีฮองเฮาก็พลันหายไปทันที นางเดินเข้ามาก่อนจะใช้กำปั้นทุบเข้าไปที่กลางหลังของบุตรชายอย่างเต็มแรง หลี่เหว่ยเบิกตากว้างจ้องมองมารดาของตนด้วยความตกใจ
"เสด็จแม่ เหตุใดท่านจึงมาทุบตีลูกเล่า"
"ยังมีหน้ามาพูด ข้าเห็นนะว่าเจ้าแอบหยิกเอวนาง หลี่เหว่ยเจ้าทุบตีนางอย่างนั้นหรือ นางน่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้นเจ้าก็ยังรังแกนางได้ลงคอ"
"น่าเอ็นดูหรือ เสด็จแม่ นางเสแสร้งต่างหาก นิสัยของนางแท้จริงไม่น่าคบหา ท่านไม่รู้อันใด นางพ่นสุราใส่หน้าลูกในคืนเข้าหอด้วย"
"สมน้ำหน้า อยู่ดีดีนางจะพ่นสุราใส่หน้าเจ้าโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไรกัน เพราะเจ้าทำตนเองต่างหาก ไม่รู้ล่ะ ลูกสะใภ้ผู้นี้ข้าถูกชะตากับนางมาก หากเจ้ารังแกนาง อย่าหาว่าข้าไม่เตือน"
"เสด็จแม่ ลูกใช่บุตรของท่านหรือไม่ หรือว่าท่านเก็บลูกมาเลี้ยงกันแน่!"
"หุบปาก เจ้าน่ะเถียงเก่ง ได้นิสัยบิดาเจ้ามาทุกกระเบียดนิ้ว บัดซบทั้งพ่อทั้งลูก!"
ฮ่องเต้หลี่เจี้ยนถึงกับสะดุ้งโหยง อันใดกันอยู่ดีดีก็มาลงที่เขาเสียได้ เพราะลูกเวรนั่นคนเดียวเลยเขาจึงถูกเมียด่าเช่นนี้!
เมื่อสั่งสอนบุตรชายจนสาแก่ใจแล้ว สวีฮองเฮาก็บอกให้หลี่เหว่ยรีบกลับจวนไปเสีย ระหว่างนั้นก็เรียกกงกงเข้ามาสอบถาม ได้ความว่าคืนเข้าหอหลี่เหว่ยและจางลู่หลินไม่ได้หลับนอนด้วยกัน กลับทะเลาะกันเสียใหญ่โต นางมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะกำชับบางอย่างกับกงกงสองสามประโยค กงกงพยักหน้าก่อนจะรีบไปทำตามรับสั่งทันที
จางลู่หลินรออยู่นานในที่สุดหลี่เหว่ยก็ออกมาจากตำหนักคุนหนิงเสียที เมื่อมาถึงเขาก็มองหน้าอย่างเย็นชา จางลู่หลินคร้านจะใส่ใจ นางเริ่มชินชากับหน้าตาไม่รับแขกของเขาเสียแล้ว จึงไม่อยากจะถือสาอันใดให้มากความ
"พี่ใหญ่ พี่สะใภ้!"
จางลู่หลินหันไปมองตามเสียง และได้พบกับบุรุษและสตรีน้อยที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกนาง พวกเขาคือน้องสาวและน้องชายของหลี่เหว่ย วันแต่งงานนางเห็นพวกเขามาร่วมงานแต่นางไม่ได้สนทนาอันใดกับพวกเขาเพราะถูกส่งตัวเข้าห้องหอเสียก่อน
หลี่เหว่ยปรายตามองหลี่ผิงและหลี่ฮวา น้องฝาแฝดของเขาอย่างรำคาญ
"พวกเจ้าไสหัวมาขอเงินเสด็จพ่ออีกแล้วหรือ"
องค์ชายรองหลี่ผิงหันไปสบตากับหลี่ฮวาทันที พวกเขารู้ดีว่าพี่ใหญ่ปากเสียจนเป็นนิสัยจึงไม่ได้ถือสาหาแม้แต่น้อย
"พี่ใหญ่ ไว้มีเวลาข้าสองคนจะไปเยี่ยมท่านที่จวน ก่อนหน้านี้เสด็จแม่บอกว่าให้ข้าไปสนทนาเป็นเพื่อนพี่สะใภ้เพคะ พี่สะใภ้ ข้าพบท่านในงานแต่งวันนั้นแต่ไม่ได้เข้าไปสนทนาด้วย ท่านอย่าได้เมินเฉยต่อข้าเชียวนะ"
หลี่ฮวาเอ่ยจบก็ยิ้มให้จางลู่หลินอย่างเป็นมิตร จางลู่หลินยิ้มตอบนางเช่นเดียวกัน เพราะวันแต่งงานวุ่นวายมากนัก จึงไม่ได้สนทนาอันใดกันมาก
“ได้สิน้องสาว ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่จวนนะ”
“เพคะ พี่ใหญ่ท่านช่างเลือกพี่สะใภ้ได้ถูกใจข้านัก ข้าชอบนางมาก”
หลี่เหว่ยพยักหน้าอย่างขอไปที แล้วจึงหันมาเอ่ยกับหลี่ผิง
"หลี่ผิง ข้าได้ยินว่าเจ้าหนีเรียนอีกแล้วหรือ ท่านอาจารย์บอกว่าเจ้าหนีเรียนไปกัดจิ้งหรีด"
หลี่ผิงยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้ายอมรับโดยไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย
"ใช่แล้ว เจอพี่ใหญ่ก็ดีเลย เงินข้าหมดแล้ว ไม่กล้าขอเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ รบกวนขอยืมท่านสักหน่อยได้หรือไม่"
เดิมทีจางลู่หลินคิดว่าหลี่เหว่ยคงจะด่าน้องชายเปิดเปิง เพราะท่าทีของเขาที่มีต่อน้องทั้งสองออกจะเย็นชาไปสักหน่อย แต่ที่ไหนได้เขากลับล่วงหยิบตั๋วเงินมอบให้กับหลี่ผิงอย่างว่าง่าย ซ้ำยังตักเตือนน้องชายไปหลายประโยค นางหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าเขาจะอ่อนโยนกับน้องสาวน้องชายทั้งสองมากถึงเพียงนี้
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนทนากันแล้ว หลี่ผิงและหลี่ฮวาก็ขอตัวจากไปทันที
หลี่เหว่ยคล้ายรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาของจางลู่หลิน ชายหนุ่มจึงหันมาเอ่ยกับนางอย่างไม่พอใจ
"รีบกลับจวนสิ ยืนบื้ออยู่ทำไม"
จางลู่หลินพยักหน้าและเดินมาที่รถม้าพร้อมกับเขา เมื่อเข้ามานั่งในรถม้า จางลู่หลินก็ยื่นมือของตนมาหยิกเอวของหลี่เหว่ยอย่างเต็มแรงจนเขาแหกปากร้องลั่น
"เจ้าทำอันใด!"
"เมื่อครู่ท่านหยิกข้า ข้ายังไม่ได้เอาคืน ตอนนี้ได้เอาคืนแล้วถือว่าหายกัน"
จางลู่หลินไม่สนใจเขาอีก หลี่เหว่ยโมโหมากแต่ทำสิ่งใดไม่ได้ เขาจะทุบตีนางในรถม้าก็คงจะไม่เหมาะ ทำได้เพียงเอ่ยวาจาเหน็บแนมเรื่องที่นางแสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าบิดามารดาของเขา แต่จางลู่หลินทำราวกับเขาไม่มีตัวตน ไม่สนใจเขาสักนิด หลี่เหว่ยจึงเงียบปากไปเอง
เมื่อกลับมาถึงจวนได้ไม่นาน เขาก็พบว่ามีคนจากในวังนำของมามอบให้ที่จวน ล้วนเป็นของที่เสด็จแม่จัดเตรียมให้และกำชับว่าให้เขาและจางลู่หลินกินให้หมดเพราะเป็นอาหารมงคลที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องกินร่วมกันหลังจากแต่งงานได้หนึ่งคืน เขาสั่งให้คนไปเรียกจางลู่หลินมาที่โถงใหญ่ จะได้รีบกินให้เสร็จๆและแยกย้ายกันไป
"นี่คือสุราดอกซิ่งจากในวังหลวง รสชาติดีมาก พระชายาเอกท่านลองชิมดูพ่ะย่ะค่ะ"
กงกงเอ่ยอย่างนอบน้อม จางลู่หลินพยักหน้าและยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกพบว่าสุราดอกซิ่งของในวังหลวงรสชาติเยี่ยมยอดสมคำร่ำลือจริงๆ หลี่เหว่ยก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดเช่นเดียวกัน เมื่อกินอิ่มแล้ว เขาก็คิดจะไล่จางลู่หลินให้กลับเรือนไปเสีย แต่คนทั้งสองยังไม่ทันจะได้แยกย้ายก็พบว่ากงกงที่เดินออกไปด้านนอกได้สั่งให้คนปิดล็อคประตูห้องจากทางด้านนอกและขังพวกเขาเอาไว้ในห้องตามลำพัง
จางลู่หลินตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ส่วนหลี่เหว่ยก็มีโทสะไม่ต่างกัน
"บังอาจนัก เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้ามาปิดประตูขังข้าเอาไว้เช่นนี้ หากข้าออกไปได้ พวกเจ้าตายแน่!"
"ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์ชายใหญ่ นี่เป็นรับสั่งของสวีฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ"
เสด็จแม่อย่างนั้นหรือ!
หลี่เหว่ยสบถออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับหันมามองจางลู่หลินที่นั่งอยู่คราหนึ่ง เขาเห็นเพียงนางนั่งก้มหน้านิ่ง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินเข้าไปหานาง
"นี่เจ้า! นั่งโง่อยู่ทำไมกัน มาช่วยข้าหาทางเปิดประตูสิ!"
จางลู่หลินไม่ตอบ นางเอาแต่นั่งเงียบ หลี่เหว่ยหมดความอดทนแล้วจึงกระชากตัวนางขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของนางชัดๆเขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้บนแก้มของนางมีหยดน้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรู ดูงดงามและน่าสงสารราวกับดอกหลีฮัวต้องฝน ชายหนุ่มพลันชะงักไป นี่เขาดึงนางแรงไปอย่างนั้นหรือ
"เจ้าร้องไห้ทำไมกัน"
จางลู่หลินไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้หนักกว่าเดิม ไม่รู้เพราะเหตุใดหลังจากดื่มสุราไปนางก็รู้สึกร้อนมาก ร้อนจนแทบทนไม่ไหว นางคิดเรื่องต่างๆมากมายในหัว ทั้งเรื่องพ่อและแม่ของตน นางคิดถึงบ้าน คิดถึงโลกที่นางจากมา คิดถึงเหลือเกิน ยิ่งดื่มสุราจนเมามายก็ยิ่งทำให้นางคิดถึงพวกเขาเหล่านั้นจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สุราดีเช่นนี้หากได้ดื่มกับพ่อแม่ในโลกปัจจุบันคงจะดีเหลือเกิน นางมาอยู่ที่นี่รู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก
"ลู่หลิน ข้ายังไม่ได้ตีเจ้าเลยนะ เจ้าร้องหาบิดาเจ้าหรือ!"
จางลู่หลินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหลี่เหว่ย พร้อมกับมองหน้าเขาเนิ่นนาน อยู่ๆหลี่เหว่ยก็รู้สึกว่าวันนี้นางดูงดงามกว่าทุกวัน อีกทั้งยังน่าทะนุถนอมเป็นอย่างมากอีกด้วย
เขาพยายามไล่ความคิดบ้าๆนี่ออกจากหัว ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆร่างกายก็ร้อนลุ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ เขายื่นมือไปเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มของนางอย่างไม่รู้ตัว คนทั้งสองสบตากันเนิ่นนานราวกับถูกตรึงเอาไว้
ยิ่งพยายามหักห้ามใจ ก็เหมือนกับไฟในร่างกายยิ่งโหมกระหน่ำมากกว่าเดิม ท้ายที่ี่สุดก็ไม่อาจเอาชนะความต้องการได้ หลี่เหว่ยดึงร่างบางของจางลู่หลินเข้ามากอดเอาไว้ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปจูบนางอย่างดูดดื่ม หญิงสาวในอ้อมกอดมีท่าทีทางขัดขืนเล็กน้อย แต่ไม่นานร่างบางระหงก็อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เสียงครางหอบกระเซ่าดังลอดออกมาจากห้องจนเกือบถึงรุ่งสาง กงกงที่ได้ยินเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนจะรีบกลับวังหลวงไปรายงานความเป็นไปให้สวีฮองเฮาทรงทราบในทันที
สวีฮองเฮาเมื่อได้ยินว่าแผนการราบรื่นไร้กังวล อีกทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้ก็ได้เข้าหอด้วยกันเสียทีนางก็วางใจลงได้แล้ว
หึ! บุตรชายตัวดี ให้เข้าหอดีดีไม่ชอบ ชอบให้ใช้ยาปลุกกำหนัด มันน่านัก!