EPISODE6 [ไม่ใช่เวลา]
เ(ฉ)พาะช่างขังรัก (MDL STORY)
EPISODE6
[ไม่ใช่เวลา]
ณ ป้ายรถประจำทาง วิทยาลัยเฉพาะช่างMDL
“ฝนตกไม่หยุดแบบนี้ มานั่งคุยกับพวกพี่ฆ่าเวลาก่อนสิ ยืนให้ละอองฝนกระเด็นใส่ขาสวย ๆ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ” เขาว่า สายตาหยาบโลนที่มองไล่ขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงพลีท ทำให้ฉันรู้สึกไม่โอเคสุด ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ พลางยกกระเป๋าขึ้นมากอดอกไว้ เพราะเห็นว่าคนพูดเอาแต่จ้องมองไม่วางตา
บอกเลยว่าการทนยืนอยู่ตรงนี้ ทำฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยสุด ๆ
“เสียงน่ารักจังวะ มึงรีบพามานั่งเลย น้องเมื่อยขาตายห่าแล้ว” คนที่นั่งอยู่ตะโกนบอก พร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮาชอบใจ ทำฉันหน้าเสีย เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ต่างกับการคุกคามฉันด้วยคำพูดเลย
“ป่ะ! พี่เช็ดเก้าอี้ให้น้องคนสวยจนสะอาดเอี่ยมแล้ว พี่พูดด้วยดี ๆ น้องก็อย่าดื้อกับพี่สิ” เขาว่าและพยายามจะดึงข้อมือฉันให้เดินตามไป แต่ฉันก็ขืนไว้สุดแรงที่มี
“ไม่! ปล่อยนะ นี่พวกพี่กำลัง…” ฉันร้องเสียงลั่น ดึงขืนข้อมือจนขึ้นเป็นรอยแดง นี่มันเข้าข่ายฉุดคร่าในที่สาธารณะแล้ว
พลั่ก!
ยังพูดไม่ทันจบประโยคเสียงของแรงปะทะที่ดังขึ้นครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ก็ทำเจ้าของมือใหญ่ ที่ฉุดกระชากฉันถลาล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น ตามด้วยใครบางคนที่ตรงเข้าไปเตะอัดหน้าของผู้ชายคนนั้นแบบนับครั้งไม่ถ้วน
พลั่ก!
พลั่ก!
ไร้ซึ่งเสียงพูดจา มีแต่คำว่า ‘ป่าเถื่อน’
เสี้ยววินาทีที่เห็นว่าเส้นผมของเขามีสีเทาควันบุหรี่โดดเด่น แถมยังสวมแมสก์สีดำปิดบังใบหน้า ก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันที ว่าเขาคือผู้ชายที่ลากฉันวิ่งหนีตายจากพวกวิทยาลัยฝั่งตะวันตกวันนั้น
‘ทำไมถึงเป็นเขาอีกแล้ว?’
“เหี้ยแล้วไง! เฮียพอเถอะ ไอ้ต๊อดมันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ มันไม่รู้ว่าน้องคนนี้เป็นเด็กเฮีย” เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนโดนเตะอัดไม่ยั้งจนนอนเลือดอาบแน่นิ่งไป กลุ่มนิสิตช่างที่เหลือก็รีบลุกขึ้นมาห้าม ทว่าเพียงแค่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก็โดนผู้ชายคนนี้ซัดกลับไปแล้ว
พลั่ก!
“เสือก!” เสียงทุ้มห้าวสบถสั้น ๆ
แรงหมัดหนัก ๆ ที่ปะทะเข้าใบหน้าทำอีกฝ่ายถึงกับปากแตกเลือดอาบจมูก จนต้องสะบัดหน้าไล่อาการมึนงง ฉันได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ไม่กล้าห้ามปรามใครทั้งนั้น นี่มันไม่ต่างกับวันนั้นเลย
“พวกมึงไม่ดูดี ๆ ก่อนวะ เสือกไปยุ่งกับเด็กเฮียเขา ฉิบหายแล้วไง” เสียงนิสิตช่างกระซิบกระซาบกัน แต่ว่าฉันได้ยินเต็มสองรูหู และที่สำคัญฉันไม่ใช่เด็กของใครแถวนี้แน่นอน
“มึงเงียบปาก!” เขาหันไปพูดกับรุ่นน้องที่ยืนกระซิบกันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น และน่าแปลก…เพียงแค่คำพูดเดียวของเขา ก็สามารถข่มขู่คนอื่นให้ยืนตัวสั่นงันงก ถึงกับยกมือปิดปากกันเอง ราวกับว่าถ้าขืนยังเสนอหน้าหรือยื่นปากมาสอดอีก สภาพของตัวเองก็คงไม่ต่างจากเพื่อนที่โดนอัดจนนอนนิ่งไป
“หะ…เฮีย…พวกผมไม่ได้ตั้งใจ” ใครบางคนเสี่ยงตายยื่นปากเข้าอธิบาย ขณะที่เขากำลังถอดเสื้อช็อปออก
“สามวัน…อย่าเสือกโผล่หัวมาให้กูเห็น” เจ้าของเส้นผมสีเทาพูดขึ้น ทำนิสิตช่างยืนหน้าเสียกันทั้งกลุ่ม เมื่อได้ยินประโยคนั้น
น้ำเสียงราบเรียบทว่าสายตาที่มองอีกฝ่ายทั้งดุดันและทรงพลังสุด ๆ ดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะเป็นที่ยำเกรงของรุ่นน้องไม่น้อยเลย
แต่ว่า…เขามาได้ยังไง?
พรึ่บ!
“อ๊ะ! นี่นาย…” ฉันเบิกตาโตร้องอุทานอย่างตกใจ เพียงแค่คิดทุกอย่างก็ต้องหยุดลง เมื่อเสื้อช็อปสีกรมท่าตัวใหญ่ถูกเขาคลุมลงบนหัวฉัน ก่อนที่ข้อมือจะถูกลากรั้งให้เดินตามเขาไปยังลานจอดรถ
“จอดอยู่ไหน” เจ้าของร่างสูงโปร่งที่ถูกน้ำฝนเย็นจัดซัดชะโลมจนโชกชุ่มหันมาถามเสียงห้วน เสื้อยืดสีเข้มเปียกลู่แนบเนื้อจนเห็นว่าภายใต้ผืนผ้านั้นมีลอนกล้ามท้องแน่นขนัดซุกซ่อนอยู่
“...” หูย…เขาหุ่นดีจัง
“ไม่ใช่เวลา” เขาพูดขัดความคิดฉัน ทำเอาฉันหน้าเหวอ
ให้ตาย! เวลาแบบนี้แต่ฉันดันเผลอจ้องหน้าท้องเขาอยู่ได้ และที่สำคัญมันชัดเจนขนาดที่เขามองออกอีกแล้วเหรอ
“เอ่อ…ตรงนั้นค่ะ รถอยู่ตรงนั้น” ฉันชี้นิ้วไปยังรถของฉัน ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อรู้ตำแหน่งเขาก็ลากฉันให้เดินเร็ว ๆ มาที่รถ เสื้อช็อปตัวใหญ่ที่คลุมหัวฉันอยู่เปียกฝนหมดแล้ว แต่มันก็ช่วยให้เสื้อนักศึกษาตัวบางของฉันยังอยู่รอดปลอดภัยดี ฉันจึงรีบกดรีโมทปลดล็อกประตูเพื่อเข้าไปนั่งในรถ
“รอเดี๋ยวนะคะจำได้ว่าหลังเบาะมีร่มพับอยู่” ฉันรีบบอกคนที่ยืนอยู่นอกรถ ก่อนจะหันกลับไปหาร่มพับที่วางไว้บนเบาะหลัง
“...”
“อ่าว…” แต่พอหันกลับมา อีกทีก็เจอเพียงความว่างเปล่าเสียแล้ว เขาคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้