4
Chapter 4
“แต่เย็นนี้นำทัพจะให้คนมารับนะลูก”
“ก็ได้ค่ะ หนูรับปากแล้วว่าจะไป โอเคนะคะ ตอนนี้หนูเหนื่อย อยากอาบน้ำและนอนพักเต็มที” อรุณจันทร์หันมาพูดกับมารดาอย่างเซ็งๆ
“จ้ะๆ พักก่อนนะ”
“นังข้าวหอมไปไหนคะ ให้มันไปดูแลรับใช้หนูด้วย เร็วๆ นะคะ” ข้าวหอมที่อรุณจันทร์เรียกหาคือรัตนปาตี ปทมาศวรรย์ เธอเป็นเด็กที่ถูกคุณอรุณเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ท่านให้ความเอ็นดูกับรัตนปาตีเหมือนลูกหลาน แต่คุณนพมาศไม่ชอบใจนัก พอคุณอรุณเสียชีวิต รัตนปาตีก็ถูกเนรเทศไปอยู่เรือนคนใช้ และทำงานทุกอย่างในบ้าน
“ผสมน้ำให้ฉันด้วย ฉันร้อนอยากนอนแช่น้ำ” อรุณจันทร์สั่งรัตนปาตีทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง ที่นี่มีรัตนปาตีคนเดียวเป็นคนดูแลบ้านและรับใช้ทุกอย่าง เพราะคุณนพมาศไม่มีเงินที่จะจ้างคนใช้เหมือนก่อน ก็เลยให้ออกไปจนหมด รัตนปาตีนั้นสำนึกในบุญคุณของคุณอรุณจึงไม่อยากทิ้งสองแม่ลูกไป อีกอย่างอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องเช่าบ้าน แต่เธอรับงานฟรีแลนซ์มาทำ จึงมีรายได้เหลือเก็บบ้างโดยที่สองแม่ลูกไม่รู้ เธอคอยรับใช้ทำงานบ้านและทำขนมส่งขาย นพมาศกับอรุณจันทร์ไม่เคยสนใจรัตนปาตีมากไปกว่าเรียกใช้งานเท่านั้น เรียกได้ว่าหญิงสาวทำได้ทุกอย่าง
“รู้ไหมข้าวหอม วันนี้อีตาคู่หมั้นบ้านนอกคอกนาจะให้คนมารับฉันไปกินข้าว” อรุณจันทร์อายุแก่กว่ารัตนปาตีหนึ่งปี ซึ่งตอนนี้เธอมีอายุยี่สิบเจ็ดปี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงาน เนื่องจากพอจะแต่งกับคนไหน ก็มีอันต้องเลิกกันไป อาจเพราะจับได้ว่าอรุณจันทร์มีแต่ตัว ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนก่อนอีก
“คู่หมั้นเหรอคะ” รัตนปาตีมักเป็นเพื่อน เป็นคนใช้ เป็นคนรับฟังปัญหาต่างๆ นานา ของอรุณจันทร์ ซึ่งหญิงสาวมีอะไรก็จะเล่าให้รัตนปาตีฟังอย่างไม่ปิดบัง หรืออยากอวดอะไรก็อวด ซึ่งรัตนปาตีมีนิสัยเงียบๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยพูด นั่นทำให้อรุณจันทร์ชอบนัก เพราะไม่เคยขัดคอหรือพูดจาขัดคอ รู้ทันหรือลามปามเล่นหัวเลย อย่างที่เค้าว่ากันว่า ขัดอะไรก็ขัดได้ แต่อย่าขัดคอคนก็แล้วกัน เพราะมันจะหงุดหงิดเหลือเกิน
“สงสัยน่ะสิว่าฉันมีคู่หมั้นได้ยังไง ก็คุณพ่อนั่นแหละ จับหมั้นกันตั้งแต่ฉันยังเด็กๆ เรียกว่าคลุมถุงชนชัดๆ”
“เขาหน้าตาเป็นอย่างไรคะ นิสัยใจคอล่ะ”
“จะไปรู้หรือไง ไม่เคยติดต่อกันเลย บ้านเขาย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ไปทำอะไรอยู่แถวทะเลก็ไม่รู้ ออกเรือหาปลารึเปล่าฉันยังไม่รู้เลย”
“ออกเรือหาปลา หรือมีเรือเป็นของตัวเองก็คงมีฐานะนะคะ” รัตนปาตีแสดงความคิดเห็น
“โอ๊ย! เหม็นคาวจะตายไป ใครจะอยากไปเป็นเมียเขากันล่ะ” อรุณจันทร์นอนสบายอยู่ในอ่าง ให้รัตนปาตีคอยขัดหลังให้ แล้วก็พูดปรึกษาพร้อมๆ กับระบายอารมณ์ไปด้วย
“ยังไม่ได้เจอกันเหรอคะ”
“เจออะไรกันล่ะ หน้าตายังไม่เคยเห็น แต่บ้านนอกแบบนั้น ฉันไม่เอาหรอกนะ”
“เขาอาจจะหน้าตาดีก็ได้นะคะ ตอนเย็นเขาจะมารับไปกินข้าว คุณจันทร์เจ้าก็จะได้เจอตัวจริงแล้ว”
“โอ๊ย! ยัยโง่ พูดเหมือนฉันตื่นเต้น ฉันไม่ตื่นเต้นสักนิดเดียว แต่ขยะแขยง คุณแม่นั่นแหละคะยั้นคะยอให้ไปเจอ ไปอยู่ทะเลเป็นลูกน้ำเค็มแบบนั้น ผิวคงดำไหม้เกรียม เขาบอกว่าคนใต้นี่เถื่อนๆ ห่ามๆ ไม่ไหวหรอกนะ ฉันชอบผู้ชายขาว สะอาด หล่อเหลา มีชาติตระกูล ไม่ชอบคนเถื่อนๆ แบบนั้นหรอก”
อรุณจันทร์ชอบพูดเหยียดคนอื่นเสมอ และชอบมองคนอื่นที่ภายนอก รัตนปาตีแค่รับรู้แต่ไม่เคยวิจารณ์ นิสัยของอรุณจันทร์แตกต่างจากบิดาอย่างชัดเจน แตกต่างจนเธอเคยคิดเล่นๆ ว่าไม่น่าเป็นพ่อลูกกันเลย เพราะคุณอรุณนั้นเป็นคนดี ใจเย็นแถมยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอด้วย
“เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้นะคะ” รัตนปาตีคิดว่าอรุณจันทร์พูดเกินไป ยังไม่เคยเห็นหน้าก็จินตนาการไปเสียไกล
“แกรู้รึว่าใช่หรือไม่ใช่ พูดเข้าข้างกัน ยังกับเคยเห็นหน้า”
“ไม่เคยเห็นหรอกค่ะ แต่ถ้าจะวิจารณ์ก็น่าจะเจอก่อน อันนี้คุณจันทร์เจ้าคิดไปเองล้วนๆ”
“วันนี้แกเป็นอะไรของแกนังข้าวหอม พูดจาขัดฉันตลอด” อรุณจันทร์ตวาดอย่างโกรธๆ
“ข้าวหอมขอโทษค่ะ”
“ฉันไม่อยากไปกินข้าวกับมันเลย แต่คุณแม่จะให้ไป แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน ไปเจอกันก็บอกเลิกการหมั้นหมายไปซะ จะได้ไม่มาตอแยกันอีก”
“ค่ะ” รัตนปาตีรับคำเฉยเสีย เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเริ่มโกรธ ถ้าพูดหรือแสดงความคิดเห็นมากจะยิ่งโกรธอาละวาดเสียยกใหญ่ เพราะเวลาอรุณจันทร์โกรธ ใครก็เข้าหน้าไม่ติด แม้แต่คุณนพมาศซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ อรุณจันทร์ก็ไม่เคยคิดเกรงใจ
“นี่พอเห็นฉันคงจะอยากกระโจนใส่ แต่ฉันไม่เอาหรอกนะ คนอย่างฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ ฐานะดีๆ มีการศึกษา ฉันไม่ชอบไปอยู่ต่างจังหวัด สิ่งอำนวยความสะดวกก็ไม่ค่อยมี เสื้อผ้าสวยๆ หรืออะไรที่อยากได้ก็ไม่มี เห็นว่าคนต่างจังหวัด พอหัวค่ำก็ปิดไฟนอน โอ๊ย! ฉันคงอกแตกตาย”
“ค่ะ” อรุณจันทร์ก็พูดถูก รัตนปาตีคิดว่าอรุณจันทร์ไม่เหมาะกับต่างจังหวัด เธอเหมาะกับแสงสีในเมืองกรุงอันศิวิไลซ์ ใครได้อรุณจันทร์ไปเป็นเมียถือว่าโชคร้ายนักแล
“ข้าวหอม แกว่าฉันแต่งตัวยังไงดี” อรุณจันทร์เอ่ยถาม นั่นทำให้ข้าวหอมเลิกคิ้วอย่างสงสัย ปกติอรุณจันทร์เป็นคนทันสมัยกว่าเธอเสียอีก เสื้อผ้าหน้าผมครบเซต สวยตลอดเวลา เธอเสียอีก แต่งตัวเชยๆ ไม่คิดว่าอรุณจันทร์จะมาปรึกษาเธอเรื่องแต่งตัว
“คุณจันทร์เจ้าแต่งตัวเก่งกว่าข้าวหอมอีกนะคะ ข้าวหอมแนะนำไม่ถูกหรอกค่ะ คุณจันทร์เจ้าน่าจะรู้ดีว่าไปดินเนอร์ควรแต่งตัวยังไง”
“โอ๊ย! โง่อีกแล้ว” อรุณจันทร์พูดอย่างเกรี้ยวกราด รัตนปาตีชินเสียแล้ว เพราะอรุณจันทร์มักจะเกรี้ยวกราดหรือระบายอารมณ์เอากับเธอหรือคนใกล้ตัว กับคนอื่นต้องวางตัวให้ดูดีเสมอๆ ซึ่งข้อนี้เธอรู้ดี
“ข้าวหอมไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
“ฉันน่ะจะแต่งตัวเหมือนแกไง”
“ทำไมต้องแต่งตัวเหมือนข้าวหอมคะ” รัตนปาตีถามอย่างงุนงง
“โง่อีกแล้ว ฉันก็จะให้มันเห็นฉันสภาพโทรมๆ ยังไงล่ะ”
“อ้อ...ค่ะ” รัตนปาตีรับคำอย่างเข้าใจ
“ฉันขอยืมเสื้อผ้าแกด้วย เอาที่เชยที่สุดล่ะนะ” อรุณจันทร์สั่งความ เพราะรูปร่างใกล้เคียงกัน แต่รัตนปาตีมักจะใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ซึ่งถึงเธอจะอ้วนขึ้นหรือผอมลงก็คงใส่ได้ไม่ต้องยัดมาก
พออาบน้ำเสร็จ อรุณจันทร์ก็นั่งรอเลือกเสื้อผ้าของรัตนปาตี ซึ่งหญิงสาวก็ลงไปหอบหิ้วขึ้นมาให้จนถึงห้องนอน
“ข้าวหอม...” อรุณจันทร์เรียกรัตนปาตีเสียงเนือยๆ
“คะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองหน้าหงิกๆ ของอีกฝ่ายแล้วใจเสีย
“มีชุดที่มันสภาพดีกว่านี้ไหม มีแต่เก่าๆ เชยๆ”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“โอ๊ย! ฉันไม่กล้าใส่หรอกนะ” อรุณจันทร์โยนทิ้งอย่างรังเกียจ
“คุณจันทร์เจ้าบอกว่าอยากได้เชยๆ เขาจะได้ไม่ชอบ ถอนหมั้นเร็วๆ”
“ฉันมาคิดดูแล้ว เอาเสื้อผ้าที่ฉันไม่ใส่แล้วดีกว่า ให้ใส่แบบนี้ออกไป อายคนเขาแย่” อรุณจันทร์ว่าอย่างเหยียดๆ แต่ก็ชอบอยู่อย่าง รัตนปาตีไม่เคยแต่งตัวเด่นหรือแข่งกับตน ออกจะเชยๆ เฉิ่มๆ นั่นทำให้ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเธอไม่ชอบให้ใครมาเด่นหรือสวยเกินหน้าเกินตา เวลาเพื่อนฝูงมาที่บ้าน สมัยก่อนเธอก็จะไล่รัตนปาตีไปทำงานก้นครัว เพราะไม่อยากให้ใครดึงความสนใจจากเธอไป ไม่ใช่ไม่รู้ว่ารัตนปาตีนั้นเป็นคนสวย เธอเลยกดให้อีกฝ่ายต่ำต้อย แต่งตัวเชยๆ ซ่อมซ่อเข้าไว้
“ถึงคุณจันทร์เจ้าจะใส่เสื้อผ้าเชยๆ แต่คุณจันทร์เจ้าก็สวยค่ะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ไม่เหมือนแกนังข้าวหอม ถ้าไม่แต่งตัวดูไม่ได้เลย สำหรับฉันถึงไม่แต่งอะไรก็ยังดูสวย” ได้ทีอรุณจันทร์ก็พูดจากดอีกฝ่ายทันที