บทที่3 หน้าที่ของภรรยาที่ควรทำ
บทที่3 หน้าที่ที่ภรรยาควรทำ
เสิ่นเฉียวนอนอยู่ในห้องนั้นคนเดียว เธอตื่นมาแต่เช้า เธอจัดการเอาเสื้อผ้าของเธอเก็บเข้าไปในตู้เสื้อผ้าทั้งหมด เธอจัดห้องและใช้พื้นที่ในห้องทั้งหมดคนเดียว
เมื่อคืนเธอได้พูดชัดเจนกับเย่โม่เซินแล้ว เขาไม่มีทางที่จะมาอยู่ร่วมห้องกับเธอ ดังนั้นห้องห้องนี้จึงเป็นของเธอ
ใช้สถานะว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
สำหรับเธอแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง
เสิ่นเฉียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินลงบันได เธอเห็นคนรับใช้จำนวนหนึ่งกำลังทำงานบ้านอยู่ เสิ่นเฉียวรู้สึกหิวจึงเดินเข้าไปถามพวกเธอว่าห้องครัวอยู่ทางไหน ใครจะรู้ว่าคนรับใช้เอามือปัดตัวเธอออก
“ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนนี่? อย่ามาขวางทางเดิน!”
เสิ่นเฉียวไม่ทันได้ระวังตัวจึงล้มลงไปที่พื้น
คนใช้มองเธอด้วยสายตาที่หยิ่งผยอง อยู่ๆแววตาคนใช้ก็เปลี่ยนไป เธอก้มหน้าดูเรียบร้อยในทันที
มือที่หนาใหญ่อบอุ่นคู่หนึ่งพยุงตัวเสิ่นเฉียวขึ้นมา เสิ่นเฉียวหันหน้ามามองดู เธอมองเข้าไปในดวงตาที่อ่อนโยนคู่หนึ่งพอดี
ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่งตัวเรียบร้อย รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นราวกับเป็นสายลมที่พัดมาในฤดูใบไม้ผลิ
เสิ่นเฉียวอึ้งไปสักพักแล้วค่อยๆดึงสติกลับมา เธอรีบถอยหลังไปสองก้าวเพื่อรักษาระยะห่างกับเขาเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ น้องสะใภ้”
“น้องสะใภ้?”
“ผมเป็นพี่ชายของโม่เซิน เรียกผมว่าหลิ่นหาน”
เย่หลิ่นหานยื่นมือให้กับ เสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียว ยืนอึ้งไปสักพัก ที่แท้เขาคือพี่ชาย เธอยื่นมือมาจับมือของเย่หลิ่นหาน แล้วพูด“สวัสดีค่ะ พี่ชาย”
เสียงของเธอฟังดูตื่นเต้น
“เมื่อตะกี้คนรับใช้ทำไม่ถูกต้อง ผมต้องขอโทษแทนพวกเธอด้วยนะครับ หวังว่าคุณจะไม่เก็บไปคิดหรือใส่ใจกับมัน คนของตระกูลเย่เป็นมิตรทุกคน หลังจากตรงนี้ฉันจะไปพูดกำชับกับพวกคนรับใช้ให้ชัดเจน”
เสิ่นเฉียว พยักหน้าตอบ “ขอบคุณค่ะพี่ชาย”
เย่หลิ่นหาน ยิ้มอ่อนๆออกมา ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดต่อ แต่ก็มีเสียงอันเย็นชาพูดแทรกเข้ามา
“ดูแล้วฉันน่าจะมาขัดจังหวะของพวกเธอนะ”
เสียงนี้....เสิ่นเฉียวหันหน้าไปมองต้นตอของเสียง
เซียวซู่เข็นรถเข็นเข้ามา บนรถเข็นมีเย่โม่เซินนั่งอยู่ บนตักของเขามีผ้าห่มบางๆคลุมอยู่
ถึงแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ท่าทีของเขาก็ยังคงดูเย่อหยิ่งทะนงตัว
แววตาของเขาดูเย็นชา ราวกับเป็นมีดอันแหลมคมทิ่มแทงไปที่หน้าของเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียว ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดด้วย? เธอแค่ทักทายกับคนในครอบครัวของเขาเท่านั้นเอง
“โม่เซิน นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เจอนายในบ้านหลังนี้” เย่หลิ่นหานหันมาพูดกับน้องชายของตัวเอง ใบหน้าของเขายังคงยิ้มแย้ม แต่ใบหน้าของเย่โม่เซินกลับแตกต่างจากเขา สีหน้าของเขาช่างดูนิ่งไร้ความรู้สึก เขาพยักหน้าเบาๆ
“พี่ชาย”
“อืม งั้นพี่ก็ไม่รบกวนเวลาของนายกับน้องสะใภ้แล้วล่ะ”
เสิ่นเฉียวพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นมองดูเย่หลิ่นหาน เดินจากไป เธอกำลังจะละสายตากลับมานั้นก็ได้ยินเสียงของเย่โม่เซิน ที่อยู่ด้านข้างเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหน็บแนมเธอว่า “ผู้หญิงที่เคยหย่ามันหิวกระหายผู้ชายขนาดนี้เลยหรอ? ไม่ทันไรก็เริ่มอยากจับผู้ชายอีกล่ะสิ? ”
เมื่อเขาพูดจบ เสิ่นเฉียวหันมาพูดกับเขา “คุณพูดอะไรนะ?”
ดวงตาของเธอจ้องไปที่เขา แววตานั้นแลดูมืดมน เสิ่นเฉียวรับรู้ถึงจิตใจอันชั่วร้ายอำมหิตของเขาได้
เสิ่นเฉียวกัดฟันพูด “ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสกปรกสำส่อนอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ”
“จริงหรอ?” เย่โม่เซิน ยิ้มเยาะเย้ยและดูถูกเธอที่มุมปาก เขาไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย “ผู้หญิงที่พึ่งหย่ากับสามีแล้วร้อนตัววิ่งเต้นจับผู้ชายคนใหม่ทันที แบบนี้ไม่เรียกว่าสกปรก สำส่อนอย่างนั้นหรอ? ”
เสิ่นเฉียวกำหมัดในมือแน่น เธอเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา
คิดว่าเธออยากจะแต่งงานใหม่อย่างนั้นหรอ? เธอเองก็โดนบังคับให้แต่งเช่นกัน
แต่ทว่า เธอบอกเรื่องนี้ให้เขารู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะยังไงเธอต้องอดทนเพื่ออยู่ที่นี่ต่อให้ได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว เสิ่นเฉียวก็ค่อยๆคลายหมัดในมือออก
“ทางที่ดีเธอรักษาสัญญาที่ให้เอาไว้ดีดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของตระกูลเย่ ถ้าฉันพบเจอว่าเธอเอาชื่อเสียงของตระกูลเย่ไปทำอะไรไม่ดีข้างนอก หรือมีจุดประสงค์อะไรกับคนของตระกูลเย่ละก็ ฉันจะทำให้เธอเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น”
“เซียวซู่”
เซียวซู่เข็นรถเข็นพา เย่โม่เซินออกไป
หลังจากที่ เย่โม่เซินและ เซียวซู่ออกไป คนรับใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพูดกับเธอ
“คุณนายน้อยสอง นายท่านของพวกเราต้องการจะพบคุณค่ะ”
นายท่าน? หมายถึงคุณปู่ของตระกูลเย่ ใช่มั้ย?
เสิ่นเฉียว รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แม่เคยบอกว่าคนของตระกูลเย่ ไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าของเสิ่นโย่ว ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่ให้เธอมาแต่งงานแทนตัวเสิ่นโย่ว
เมื่อเธอได้ยินว่านายท่านต้องการจะพบเธอ เสิ่นเฉียวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“คุณนายน้อยสอง เชิญทางนี้ค่ะ”
คนรับใช้คนนี้ค่อนข้างมีอายุ เมื่อเห็นเธอยืนอยู่กับที่มีท่าทีที่ดูลังเลใจอยู่นั้น คนรับใช้จึงเรียกให้เธอเดินตามมา
เสิ่นเฉียวตั้งสติแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเธอจึงเดินตามคนรับใช้ไป
ห้องต่างๆของตระกูลเย่ ค่อนข้างจะใหญ่โต ถึงแม้ว่าจะมีคนรับใช้เดินนำทางไป เสิ่นเฉียวก็ยังคงเดินตามอย่างงุนงง
เธอเดินมาถึงห้องสมุด ท่าทางของคนรับใช้ดูอ่อนน้อมถ่อมตน
“คุณนายน้อยสอง เชิญเข้าไปข้างในค่ะ”
เสิ่นเฉียว พูดขอบคุณคนรับใช้แล้วเดินเข้าไปในห้องสมุด
บรรยากาศของห้องสมุดนี้เป็นไปอย่างที่เธอคิดไว้ มันให้ความรู้สึกที่เคร่งขรึมบางอย่าง ชั้นวางหนังสือและการตกแต่งต่างๆค่อนข้างดูคลาสสิค บนชั้นวางเต็มไปด้วยภาพวาดลายพู่กันต่างๆมากมายหลากหลายรูปแบบ
เธอกวาดตามองไปรอบๆห้อง จนกระทั่งสายตาของเธอสะดุดเข้ากับคนที่อยู่กลางห้อง
“นายท่าน สะ สวัสดีค่ะ”
เสิ่นเฉียวมองเข้าไปในแววตาของ ตระกูลเย่นายท่าน สายตาคู่นั้นของเขาได้สะกดเธอเอาไว้
นายท่านเย่จ้องมองและสังเกตมาที่ตัวเธอ
เมื่อเสิ่นเฉียว นึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว อยู่ๆเธอก็ตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วก้มหน้าลง กลัวว่านายท่านเย่ จะดูออกว่าเธอนั้นกำลังรู้สึกผิด
เธอสามารถตกลงกับเย่โม่เซินได้สำเร็จ แต่หากว่านายท่านเย่ จับได้ว่าเธอไม่ใช่เสิ่นโย่วขึ้นมา เธอเองก็ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นจะทำเช่นไรดี?
“เสิ่นโย่ว!”
“คะ?”
เสิ่นเฉียวสะดุ้งแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองไปในตาของ นายท่านเพียงชั่วครู่ จากนั้นเธอรีบก้มหน้าลงไปเหมือนเดิม
แววตาของนายท่านเย่ ช่างน่ายำเกรง
“ตั้งแต่เด็กโม่เซิน สุขภาพก็ไม่ค่อยแข็งแรง เธอแต่งงานเข้ามาเป็นภรรยาของเขาแล้ว จากนี้เป็นต้นไปก็ดูแลเขาดีดี ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาแล้ว อะไรควรจะทำคงไม่ต้องให้ฉันบอกกล่าวใช่มั้ย?”
“หนูเข้าใจดีค่ะ”
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอไปทำงานกับโม่เซิน ไปเป็นผู้ช่วยของเขา”
เมื่อฟังจบ เสิ่นเฉียวก็รีบเงยหน้าขึ้นแล้วพูด “คือว่า นายท่านคะ หนูมีงาน....”
“ผู้หญิงของตระกูลเย่ห้ามออกไปทำงานข้างนอกให้ใครเห็น ถ้าจะทำงานก็ต้องทำงานอยู่เคียงข้างสามีตัวเอง”
อะไรนะ? ตระกูลเย่ใช้ระบบศักดินาเช่นนี้ในครอบครัวงั้นหรอ? คำพูดเหล่านี้ของเขา เสิ่นเฉียวไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้า ตระกูลเย่นายท่าน นายท่านเย่เองก็ไม่ได้เปิดโอกาสอะไรให้เธอพูดต่อ เมื่อพูดจบเขาก็ให้เธอออกจากห้องไป
หลังจากที่ออกมาจากห้องสมุดแล้ว เสิ่นเฉียวก็กลับเข้าไปให้ห้องของเธอ ความรู้สึกของเธอนั้นอึดอัดเป็นอย่างมาก
นายท่านเย่ ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน เสิ่นเฉียวรู้ดีว่าหากเธอไม่ไปลาออกจากงานละก็ นายท่านไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่
สุดท้ายเสิ่นเฉียวจึงต้องเดินทางไปทำเรื่องลาออกจากที่ทำงาน
งานที่เธอทำเป็นงานที่เรียบง่ายทั่วๆไป หลังจากที่เธอแต่งงานกับหลินเจียง เพื่อให้ทุกวันเธอสามารถกลับถึงบ้านก่อนแล้วทำอาหารเสร็จก่อนที่เขาจะกลับมาถึงบ้าน เธอได้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่แถวบ้านเธอ
เสิ่นเฉียวยื่นจดหมายลาออก แต่ไม่ทันไรก็มีคนมารับช่วงทำงานของเธอต่อทันที
เมื่อเสิ่นเฉียว รู้เรื่องนี้ มันทำให้เธอรู้สึกอึ้งไปสักพัก
เธอพึ่งจะเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือความรัก มักจะมีคนมาแทนที่เธออย่างรวดเร็วและง่ายดาย
เสิ่นเฉียวยิ้มอย่างขมขื่น
วันที่สองหลังจากที่เธอลาออกจากงาน นายท่านเย่ได้บอกให้ เย่โม่เซินพาเธอไปบริษัทด้วยกัน
“หลานไม่ยอมหาผู้ช่วย ปู่รู้ว่าหลานกังวลใจอะไร แต่จากวันนี้เป็นต้นไปเสิ่นโย่ว ก็คือภรรยาของหลาน ให้เธออยู่เคียงข้างคอยดูแลหลานนะ”
น้ำเสียงเวลาที่นายท่านเย่พูดกับเย่โม่เซินก็คือน้ำเสียงเดียวกันกับที่พูดกับเธอ เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่มันยังไงกัน เธอนึกว่าปู่หลานคู่นี้จะสนิทกันซะอีก
ตอนที่เธอครุ่นคิดอยู่นั้น เสิ่นเฉียวก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาอันแหลมคมอันหนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าสายตานั้นจะเป็นของใคร
เย่โม่เซิน จ้องมองมาที่เธอแล้วตอบ “ได้ครับ”
เสิ่นเฉียว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอนึกว่า.... เขาจะปฏิเสธ
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง
“อืม ไปกันเถอะ” สีหน้าของนายท่านเย่ดูอ่อนโยนขึ้นมา
เย่โม่เซินนั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย เซียวซู่พยักหน้าให้กับ นายท่าน “นายท่านเย่ งั้นพวกเราไปที่บริษัทก่อนนะครับ”
“พาเสิ่นโย่วไปด้วย”
เสิ่นเฉียวทำได้เพียงเดินตามหลัง เย่โม่เซิน
เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ เดินมาถึงสวนดอกไม้ เย่โม่เซินหันมาพูดเหน็บแนมเธอ “เผลอแป๊บเดียวตีสนิทกับคนแก่สำเร็จแล้วสินะ? อยากจะมาสังเกตการณ์ฉันงั้นหรอ? ”
เสิ่นเฉียว หยุดฝีเท้าของเธอ คิ้วขมวดขึ้นมา
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”
“หึ” เย่โม่เซินหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “จะดีมากถ้าเธอไม่เข้าใจไปตลอด ไม่งั้นละก็--”