บทที่14 เขากำลังตามหาใคร
บทที่14 เขากำลังตามหาใคร
“ไม่เป็นไรค่ะนายท่าน หนูแค่เป็นหวัดธรรมดาเท่านั้น หนูออกไปร้านขายยาซื้อยามาทานก็พอค่ะ” เสิ่นเฉียวรีบเปล่งเสียงออกมาเพื่อทัดทาน
ดวงตาอันชาญฉลาดของนายท่านเย่จ้องไปที่เธอ เสิ่นเฉียวถูกจ้องจนทำเอาใจเต้น เธอเผลอกัดริมฝีปากล่างตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เสียงอู้อี้ขนาดนี้ ทานยาอย่างเดียวจะไปดีขึ้นได้ยังไง” ใครจะรู้ว่านายท่านเย่ถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้ง ก่อนที่จะกวักมือไปที่เธอ เป็นสัญญาณสื่อความหมายว่าให้เธอเข้ามาใกล้ๆหน่อย
เสิ่นเฉียวก้าวขึ้นหน้าไปอยู่หลายก้าว ก่อนที่เธอจะหยุดฝีเท้าลงด้วยความระมัดระวัง
“จำไว้ว่าไปซื้อยาทานซะล่ะ ทานแล้วถ้าหากว่าดีขึ้นแล้ว ก็อย่าลืมไปดูโม่เซินที่บริษัทซะหน่อย”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า “หนูทราบแล้วค่ะนายท่าน”
“อื้อ” นายท่านเย่ถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไปซะสิ”
หลังจากที่ออกมาจากตระกูลเย่ เสิ่นเฉียวก็โทรหาหานเส่โยว หานเส่โยวรับสายเธอเร็วมาก ยี่สิบนาทีหลังจากนั้นก็รีบมาถึงในทันที
หลังจากขึ้นรถ หานเส่โยวก็ถามว่า “คิดดีแล้วหรอ จะทำแท้งหรอ”
เสิ่นเฉียวไม่พูดไม่จา เธอคาดเข็มขัดนิรภัยไปอย่างนิ่งเงียบ
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
หานเส่โยวหันไปเหลือบมองเสิ่นเฉียว ก็เห็นว่าเธอยังนั่งนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ อยู่ๆก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “เธอเป็นอะไรไป เมื่อคืนกลับไปยังคิดไม่ตกอย่างนั้นรึ เธอคงไม่ได้คิดจะเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ใช่มั๊ย”
พอได้ยิน เสิ่นเฉียวก็ยื่นมือออกกุมท้องน้อยของตนเอง “แต่ว่านี่ก็เป็นชีวิตชีวิตหนึ่งนะ ถ้าหากว่าจะเอาออกซะ มันก็โหดร้ายเกินไปไม่ใช่รึไง”
“ห๊ะ เสิ่นเฉียว เธอล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหมเนี่ย ตอนที่พ่อแม่เธอให้เธอแต่งงานกับคนพิการแทนเสิ่นโย่วพวกท่านไม่โหดร้ายหรือยังไง ถ้าหากว่าเธอเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ ตระกูลเย่ไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่ ถึงตอนนั้นเธอกลับไปบ้านตัวเอง พ่อแม่เธอพวกท่านจะยังต้องการเธออยู่มั๊ย”
คำพูดของหานเส่โยวเป็นการเรียกสติเธอคืนกลับมา เสิ่นเฉียวยืดศีรษะขึ้นมองตรงไปยังเบื้องหน้า
“ฟังฉันนะ เอาเด็กออกซะเถอะ ตอนนี้ตระกูลเย่เป็นที่พึ่งเดียวของเธอแล้ว ถ้าเพิ่มเด็กที่ไม่รู้ที่มาที่ไปคนนี้เข้าไปอีก ใครจะไปรู้ว่าหลังจากคลอดออกมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หานเส่โยวก็ตัดสินใจแทนเสิ่นเฉียว
“ในฐานะเพื่อนสนิทของเธอ ฉันก็พูดได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือ เธอต้องคิดมันให้ได้ด้วยตัวเองแล้วล่ะ”
เสิ่นเฉียวหวนคิดถึงคำพูดทั้งหมดที่เย่โม่เซินพูดไว้เมื่อคืน เขาพูดออกมาจากปากว่าจะให้เวลาเธอสามวัน แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาจะให้ตามนั้นจริงๆ
ถ้าอย่างนั้น...เธอก็จะต้องไปทำแท้งอย่างนั้นรึ
ถ้าหากว่าอยากจะอยู่ตระกูลเย่ต่อไปล่ะก็
ถ้าหากว่าเธอไปจากตระกูลเย่ แต่ว่าเธอก็กลับไปที่ตระกูลเสิ่นไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็หลับตาลงอย่างยากลำบาก “ไปกันเถอะ”
“คิดดีแล้วใช่มั๊ย ถ้างั้นฉันไปส่งเธอที่โรงพยาบาลนะ” หานเส่โยวเปลี่ยนทิศทาง พลางพูดไปด้วย “ถ้าหากว่าเด็กคนนี้เป็นของคนรักของเธอ เธออยากเลี้ยงเอาไว้ฉันก็ไม่ขัดข้อง แต่ว่านี่เป็นของใครก็ไม่รู้ เก็บเอาไว้ก็ไม่รู้จะลูกผีลูกคน ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องเอาออกซะ”
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลยตลอดทางไปโรงพยาบาล
รับบัตรคิดต่อแถว จิตใจของเสิ่นเฉียวหดหู่มาก หานเส่โยวอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอด คอยพูดปลอบประโลมเธอ
จนในที่สุดเมื่อถึงคิวของเธอ หลังจากที่หมอตรวจดูให้เธอเรียบร้อยแล้ว หมอก็ขมวดคิ้ว
“คุณหนูเสิ่น ตามที่หมอได้ตรวจดูแล้ว ผนังมดลูกด้านในของคุณบางมาก การทำแท้งอาจทำให้มีการตกเลือดเป็นจำนวนมาก พวกเราจึงไม่แนะนำให้คุณทำแท้ง”
เมื่อได้ยิน เสิ่นเฉียวก็ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น หานเส่โยวซึ่งอยู่ข้างๆเมื่อได้ยินก็ตกใจไปด้วยเช่นกัน “ทำแท้งไม่ได้อย่างนั้นหรอ”
“ใช่ครับ ไม่แนะนำ” แพทย์ถอนหายใจเบาๆ “พวกคุณลองไปคิดทบทวนให้ดีดูก็แล้วกัน การตกเลือดมากๆนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กเลย กลับไปปรึกษากันให้ดีก่อนแล้วค่อยกลับมาจะดีกว่า”
หลังจากออกจากโรงพยาบาล คิ้วของหานเส่โยวก็ผูกเป็นปม “ทำแท้งไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเธอจะทำยังไงล่ะ พระเจ้าช่วย นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย!”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันส่งเธอกลับไปก่อนก็แล้วกันนะ”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า เสร็จแล้วก็ส่ายหัว
“ไม่ได้ ฉันต้องไปบริษัท เธอไปส่งฉันที่บริษัทนะ”
หานเส่โยวไม่ได้พูดอะไร หล่อนว่าตามเธอโดยไปส่งเธอที่บริษัท ตอนที่พวกเธอเห็นอาคารบริษัทตระกูลเย่ หานเส่โยวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ฉันคิดว่าครอบครัวของพวกเราก็ร่ำรวยแล้วซะอีก ไม่คิดเลยว่าบริษัทตระกูลเย่ล้ำเหนือจินตนาการของฉันไปมาก”
“เส่โยว วันนี้ขอบคุณเธอมากนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
หานเส่โยวโบกมือให้เธอ “เธอไปก่อนเถอะ ฉันจะไปลองติดต่อถามหมอให้เธอดู”
เพราะว่าครั้งก่อนที่มา พนักงานหลายคนบริเวณแผนกต้อนรับจำเสิ่นเฉียวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากว่ารองประธานเย่เป็นคนพาเธอมาด้วยตนเอง ดังนั้นเมื่อพวกเธอเห็นเสิ่นเฉียว พวกเธอจึงมีทัศนคติที่ดีต่อเธอเป็นอย่างมาก
เสิ่นเฉียวขึ้นลิฟต์ไปอย่างราบรื่น ขึ้นไปถึงยังชั้นห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง
เธอค่อยๆก้าวย่างไปยังเบื้องหน้า แต่ก็พบว่าวันนี้ประตูห้องสำนักงานนั้นไม่ได้ปิดอยู่ ขณะที่เสิ่นเฉียวกำลังคิดที่จะเดินเข้าไป
“ครั้งที่แล้วผมให้คุณไปตามหาคน ปรากฏว่าคุณกลับพาผู้หญิงคนนั้นกลับมา ครั้งนี้ยังพาผู้หญิงที่เป็นแม่คนมาอีก เซียวซู่ ผมคงจะใจดีกับคุณมากเกินไป หรือว่าเดี๋ยวนี้คุณทำงานแบบไม่ได้พกสมองมาด้วยห๊ะ”
เย่โม่เซินนั่งอยู่ที่หน้าออฟฟิศ นิ้วอันเรียวยาวเคาะไปที่โต๊ะตรงหน้าเบาๆ แววตาอันปราดเปรื่องของเขาปรากฏขึ้น ลมหายใจอันแข็งแกร่งไหลท่วมท้นทั้งร่าง
เซียวซู่กำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน กำลังหดหัวหลบตาอยู่ ราวกับเป็นลูกสุนัขตัวน้อยที่กำลังหัวตกหางห้อย
เมื่อเห็นฉากนั้น เสิ่นเฉียวก็รีบซ่อนตัวที่หลังประตูโดยสัญชาตญาณ
ตอนนี้เย่โม่เซินโมโหออกขนาดนั้น ถ้าเธอเข้าไปตอนนี้มีหวังโดนหางเลขเข้าแน่ ทางที่ดีหลบไปก่อนจะดีกว่า
“คุณชายเย่ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆครับ เป็นเพราะข้อมูลที่คุณให้มานั้นน้อยมากจริงๆ เพราะอย่างนั้นผมเลยยอมใช้วิธีที่จะจับผิดตัว ดีกว่าที่จะปล่อยให้เล็ดลอดไป” เซียวซู่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เขาอยู่กับเย่โม่เซินมานานขนาดนี้ ปกติแล้วก็จัดการแต่เรื่องการงานเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องลำบากยากเข็ญ เขาก็จัดการจนเอาอยู่ได้ในเวลาอันสั้น
แต่ว่าภาระหน้าที่ตอนนี้คือการตามหาตัวผู้หญิง และยังเป็นผู้หญิงซึ่งไม่ได้ทราบข้อมูลอะไรเลย
จะไปสถานที่เช่นโรงพยาบาลเพื่อที่จะถามหาหญิงตั้งครรภ์ นั่นมันเรื่องง่ายที่ไหน
“ข้อมูลที่ผมให้น้อยไปอย่างนั้นรึ คุณเองไม่สามารถรวบรวมข้อมูลเอาเองได้รึยังไงกัน” เย่โม่เซินเสียงแข็ง ดวงตาปราดเปรื่องนั้นมืดมิดลง การเคลื่อนไหวบนโต๊ะนั้นก็ได้นิ่งสงัด “หรือจะบอกว่า คุณจะโทษผม”
เสียงเย็นเยือกนั้นทำให้เซียวซู่ยืนตรงแน่นิ่ง เขารีบส่ายหัวปฏิเสธในทันที
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! คุณชายเย่ ต่อไปผมจะจัดการให้คนไปตรวจสอบเพิ่มมากขึ้นอีก ครั้งหน้าผมจะต้องสอบถามและพาตัวบุคคลนั้นมาอยู่ตรงหน้าคุณให้ได้”
“สอบถามอย่างนั้นรึ”
“คุณวางใจเถอะ ถ้าหากว่าเป็นบุคคลนั้น ผมจะไม่ทำร้ายเธอแน่”
“ไปซะ” เย่โม่เซินได้รับคำตอบที่พอใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาขยับเนคไทบนหน้าอกด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ให้เซียวซู่ไสหัวไปซะ
เซียวซู่แทบอยากจะขอร้องให้เจ้านายช่วยไล่เขาไปที เขาทนอยู่ในบรรยากาศอันเย็นยะเยือกเช่นนี้ในห้องไม่ไหวแล้ว
“ครับ!”
หลังจากที่เซียวซู่ออกมาแล้ว เขาก็เอื้อมมือจะไปปิดประตูห้องให้ นั่นทำให้เขาได้เห็นว่าเสิ่นเฉียวกำลังยืนอยู่ที่กำแพง
หลังจากที่ทั้งสองจ้องหน้ากัน ขณะที่เสิ่นเฉียวกำลังคิดที่จะเอ่ยพูด เธอกลับถูกเซียวซู่ลากไปที่มุมที่ด้านข้าง
“คุณอยากตายหรือยังไง ถึงได้มาแอบฟังผมคุยกับคุณชายเย่น่ะ”
เมื่อพูดจบ เสิ่นเฉียวก็ส่ายหัว “ฉันแค่บังเอิญผ่านมาพอดีน่ะ ว่าแต่ คนที่คุณต้องการหาคือใครหรอ”
คนมักจะชอบอยากรู้อยากเห็นกันทั้งนั้น
อีกอย่างเสิ่นเฉียวก็เป็นภรรยาของเขา ก็ย่อมต้องอยากรู้เรื่องของเขาเป็นธรรมดา
เมื่อพูดจบ เซียวซู่ก็หรี่ตาลง “คุณหนูเสิ่น สิ่งที่ไม่ควรถามผมขอแนะนำว่าให้คุณอย่าได้ถาม ที่จริงคุณแต่งงานเข้าตระกูลเย่มาเป็นตัวแทน ไม่ได้นับว่าเป็นภรรยาที่แท้จริงของคุณชายเย่ ถ้าหากว่าทำตัวยุ่งวุ่นวายอีกล่ะก็ แม้แต่คุณนายน้อยก็คงจะไม่ได้เป็น”