บทที่ 13 เธอกรีดร้องเหมือนคนบ้า
พอมาถึงหน้าประตูโรงงาน เป็นเวลาที่ใกล้จะเลิกงานแล้ว
ซ่งซานสี่ไม่เห็นลูกน้องสองคนของหวงชางหยง
ลูกน้องสองคนนั้น ได้รับคำสั่งให้กลับไปแล้ว
มิฉะนั้น เขาจะต้องระมัดระวังตัว
ไม่นาน เสียงกริ่งเลิกงานของโรงงานก็ดังขึ้น
เกิดเสียงดังไปทั่วโรงงาน
พวกคนงานเดินออกมาจากประตู ด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า
มีคนจำซ่งซานสี่ได้ และรู้สึกตกใจมาก
มีถุงเสื้อผ้าห้อยอยู่ตรงมือจับมอเตอร์ไซค์หลายถุง ล้วนแต่เป็นของแบรนด์เนม
“โอ้ สวรรค์ เจ้าหมอนี้ไปปล้นธนาคารหรือเปล่า?”
“จู่ ๆ ก็มีเงินเยอะขนาดนี้?”
“ฮึ่ม ข้าวของพวกนั้นเป็นของผู้ชายและเด็ก ไม่มีของผู้หญิง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นซูโหย่วหรงอยู่ในสายตา.......”
“……”
ซ่งซานสี่ไม่สนใจพวกเขา เขาสูบบุหรี่และรออย่างเงียบ ๆ
โจวเหวินปิงเห็นเขาในกล้องวงจรปิด และรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
เสื้อผ้าหลายถุง เขายังเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนม นี่มันอะไรกันแน่?
ส่วนซูโหย่วหรงได้รับเบี้ยขยันประจำไตรมาส 1,500 หยวนแล้ว
เธอขอให้โจวเหวินปิงส่งเธอกลับบ้าน
แต่โจวเหวินปิงถูกผู้จัดการโรงงานข่มขู่ ทำให้เขาไม่กล้าไปส่งเธอ ดังนั้นเขาเลยอ้างว่าที่บ้านมีธุระ ไม่สามารถไปส่งเธอได้
ซูโหย่วหรงเชื่อ
เธอเอาเงินให้โจวเหวินปิง และเกือบจะร้องไห้ เธอบอกว่าพี่โจวเป็นคนดี พรุ่งนี้รบกวนคุณช่วยนำเงินนี้ไปที่โรงเรียนอนุบาลซิงกวง นี่คือค่าเทอม ค่าครองชีพ และค่าชุดนักเรียนอนุบาลของเถียนเถียน เงินจำนวนพอดี รบกวนคุณด้วย!
โจวเหวินปิงรู้สึกปวดใจ และบอกโหย่วหรงว่าตนเองจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน แต่ทำไมคุณ.....ถึงได้ใช้ชีวิตที่ลำบากขนาดนี้?
ซูโหย่วหรงยิ้มอย่างเด็ดเดี่ยว แต่มีความฝืนใจเล็กน้อย และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เพื่อลูก ลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร พี่โจว ขอบคุณมาก!”
“เฮ้อ! คุณกลับบ้านเถอะ เมื่อสักครู่ผมเห็นเขามาถึงแล้ว เขากำลังรอคุณอยู่ที่นอกประตูโรงงาน แล้วก็.......”
ยังไม่ทันที่โจวเหวินปิงจะพูดจบ ซูโหย่วหรงหันหลังและเดินออกจากโรงงานไปสิบกว่าเมตรแล้ว
เขามองเธอเดินจากไป เธอก้มหน้าจนติดเป็นนิสัย ต้อยต่ำราวกับผงธุลี
โจวเหวินปิงรู้สึกทรมานใจ อยากให้เธอเงยหน้าขึ้น มีชีวิตที่สดใสและมีความสุข!
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าซ่งซานสี่......จะมีเงินแล้ว?
เขารู้สึกปวดร้าว......ทำได้เพียงจัดการเรื่องที่เธอมอบหมายให้เสร็จเรียบร้อย!
เขารู้ว่าเธอไม่อยากให้ซ่งซานสี่แย่งเงินนี้ไป
ข้างนอกอากาศค่อนข้างหนาว แต่ซูโหย่วหรงรู้สึกสบายใจขึ้น
เศษสวะ คุณอย่าคิดว่าจะได้เงินจากฉันแม้แต่หยวนเดียว!
เพียงแค่อาหารกลางวันมื้อเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอเชื่อว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว!
ไม่นาน เมื่อเธอเห็นซ่งซานสี่ เธอรู้สึกตกตะลึง จนไม่สามารถก้าวเดินได้
มอเตอร์ไซค์สับปะรังเคได้รับการซ่อมแซม และใส่เบาะรองนั่งแล้ว
ถุงแบรนด์เนมห้อยอยู่ตรงมือจับของมอเตอร์ไซค์มากมาย
เขาสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม
เสื้อโค้ตยาวสีดำ เสื้อกั๊กสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว และรองเท้าหนังมันเงา
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
เศษสวะคนนี้ มีสง่าราศี
คนงานหญิงมากมายที่เดินผ่าน ยังเหลือบมองเขา!
โอ้ สวรรค์... เขาเอาเงินมาจากไหน?
ตอนเช้า เขาอยากจะเอาเงินห้าหยวนไปจากเธอด้วยซ้ำ!
“ขึ้นรถเถอะ โหย่วหรง พวกเราไปกินเกี๊ยวน้ำด้วยกันเถอะ ให้ร่างกายอบอุ่นก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”
รอยยิ้มของซ่งซานสี่ยังคงอ่อนโยน น้ำเสียงอบอุ่นและมีเสน่ห์
หลังจากพูดจบ เขาถอดเสื้อโค้ตออก แล้วบังคับสวมใส่ให้เธอ
อบอุ่น กลิ่นของเสื้อผ้าใหม่
ซูโหย่วหรงแอบยิ้มด้วยความขมขื่น : เสแสร้งทำไม?
ดูเหมือนว่าเขาจะซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าให้ตนเอง
แล้วยังซื้อเสื้อผ้าเด็กให้เถียนเถียนอีกด้วย
แล้วฉันล่ะ?
หืม! เขาไม่เคยมีใจคิดถึงภรรยาอย่างฉันเลยเหรอ?
ช่างมันเถอะ แค่มีใจคิดถึงลูกก็ดีแล้ว
เพียงแต่……
ซูโหย่วหรงนั่งอยู่บนรถ ไม่หนาวแม้แต่น้อย
เบาะนุ่มราวกับโซฟาและสบายมาก แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกลัว
เขาดีกับเถียนเถียนขนาดนี้ เขาคิดจะทำอะไร?
เขาคงไม่คิดจะขายลูกสาวใช่ไหม?
เมื่อก่อนเขาเมาเหล้ากลับมาบ้าน และดุด่าเถียนเถียน
เขาบอกว่า: วันหนึ่งกูจะขายตัวถ่วงให้คนรวย เปลี่ยนเป็นเงินทุนในการเล่นพนัน! เด็กผู้หญิง? เลี้ยงไปก็ไร้ประโยชน์ ตระกูลซ่งต้องการลูกชายเพื่อสืบตระกูล!
“ไม่ได้! ต้องป้องกันไม่ให้เขาได้เห็นหน้าเถียนเถียน!”
ซูโหย่วหรงรู้สึกกังวล และคิดหาวิธี
ไม่นาน ซ่งซานสี่ก็จอดรถอยู่หน้าร้านอาหารพื้นบ้าน
ซูโหย่วหรงเงยหน้าขึ้น เธอรู้สึกว่ามันเป็นร้านอาหารที่หรู เธอไม่อยากเข้าไป เพราะเธอไม่อยากใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ซ่งซานสี่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาจับมือเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณไม่หิวเหรอ? วางใจเถอะ ผมมีเงิน ผมไม่เอาเงินเบี้ยขยันประจำไตรมาสของคุณหรอก”
หลังจากพูดจบ เขาตบกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลัง กระซิบข้างหู แล้วสูดกลิ่นหอมที่ทำให้คนรู้สึกลุ่มหลง “กระเป๋าใบนี้เต็มไปด้วยเงิน”
ซูโหย่วหรงรู้สึกจักจี้หู และหน้าแดงระรื่น
เธอยื่นหน้าไปมองตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นกระเป๋าตุง ทำให้เธอรู้สึกตกใจ
มีเงินอยู่ในกระเป๋ามากแค่ไหน?
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร ซ่งซานสี่ก็พูดว่า “อย่าถามอะไรมาก ผมรักษาคำสาบานที่ผมพูดตอนกินข้าวเช้า พูดคำไหนคำนั้น”
ซูโหย่วหรงรู้สึกเหมือนเป็นความฝัน
และตกอยู่ในภวังค์ตลอด
หลังจากทานเสร็จ เธอยังคงสวมเสื้อโค้ตของเขา และซ้อนมอเตอร์ แล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน
ตอนที่ซ่งซานสี่จ่ายเงิน เธอสังเกตเห็นในกระเป๋าเต็มไปด้วยธนบัตร
ตอนนั้น เธอเกือบจะเป็นบ้า
เงินมาจากไหน?
ปล้นธนาคารเหรอ?
หรือเขาเอาโฉนดบ้านไปกู้เงิน แล้วเอาเงินไปเล่นการพนัน?
การพนัน เป็นการกระตุ้นต่อมโมโหของซูโหย่วหรง แค่คิดถึงคำนี้ เธอก็รู้สึกปวดหัว
เธอสงสัยมาตลอดทาง และตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งไม่เข้าใจสามีคนนี้มากขึ้น
ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย...
เขาอ่อนโยน สุภาพและมีมารยาท แถมยังมีเงินมากขนาดนี้ และ.....หล่อเหลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อไปถึงชุมชน เขาจอดรถอยู่หน้าร้านไพ่นกกระจอกตรงชั้นล่างของตึก
ที่นั่นแสงไฟสลัว
จางหงเหม่ยกับอันธพาลเจ็ดแปดคนนั่งรอพวกเขาอยู่ที่ประตู!
“แม่งฉิบหาย ซ่งซานสี่ไอ้คนล้างผลาญ! นี่ก็ดึกแล้ว เงินของฉันล่ะ?”
“ถ้าไม่คืนเงิน! ลูกน้องของฉันพวกนี้ จะตีขาของแกหัก ตีฟันของแกให้ร่วง! เพื่อให้แกรู้ว่าการคุยโวโอ้อวดนั้น ต้องรักษาคำพูดด้วย!”
“แกยังทำร้ายเจ้าหมากับเจ้าลิงอีก แม่งฉิบหาย แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?”
จางหงเหม่ยรู้สึกโกรธมาก และด่าอย่างดุเดือด
พวกอันธพาลเดินเข้ามาด้วยสายตาดุดัน
ซูโหย่วหรงไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เธอหดตัวหลบอยู่หลังซ่งซานสี่
ซ่งซานสี่ไม่พูดอะไร ดึงเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า นับเจ็ดใบ แล้วโยนลงบนพื้น
แล้วนับอีกยี่สิบใบ โยนลงบนพื้น
สุดท้ายหยิบเหรียญออกมาหนึ่งหยวน โยนลงบนพื้น
การกระทำนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง
จากนั้นซ่งซานสี่กล่าวเบา ๆ ว่า “หกร้อย คืนให้เถ้าแก่จาง”
“ส่วนสองพัน หนึ่งพันเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาสำหรับลูกน้องพวกนี้ ส่วนอีกหนึ่งพันเป็นค่ารักษาพยาบาลของเจ้าหมากับเจ้าลิง!”
“ส่วนหนึ่งเหรียญนั้น ผมไม่แน่ใจว่ายืมมาจากเจ้าหมาหรือเจ้าลิง ยืมเงินแล้วคืนเงิน เป็นหนี้ไม่เบี้ยวหนี้”
“รบกวนเปิดประตูให้ด้วย ลาก่อน!”
หลังจากพูดจบ เขาบีบคันเร่งมอเตอร์ไซค์ และขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ซูโหย่วหรงนั่งอยู่บนรถ เธอรู้สึกตัวเบาหวิว แล้วเธอก็กอดเอวของเขาตามสัญชาตญาณ
“คุณฟุ่มเฟือยอีกแล้ว! ประหยัดหน่อยไม่ได้เหรอ?”
ซ่งซานสี่ยิ้มแต่ไม่สนใจเธอ
จางหงเหม่ยและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเป็นเวลานาน ถึงได้มีสติกลับมา
แน่นอนว่าพวกเขาต่างเก็บเงินของตนเองขึ้นมาจากพื้น
เหรียญหนึ่งหยวน ก็เก็บขึ้นมาเช่นกัน
จางหงเหม่ยยิ้มแหย ๆ และกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าไอ้คนล้างผลาญจะมีเงิน มันไร้เหตุผลสิ้นดี?”
อันธพาลคนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าหมอนี้เริ่มมีความคิดแล้ว เขาเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ?”
“ตรงไปตรงมาเหี้ยอะไร! รีบขึ้นไปเปิดประตู วันนี้ปล่อยพวกเขาไปก่อน คราวหน้ามันจะไม่ง่ายแบบนี้”
หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งซานสี่ก็พาซูโหย่วหรงกลับมาถึง พร้อมถือถุงข้าวของมากมาย และกำลังจะขึ้นไปชั้นบน
จางหงเหม่ยปิดประตูร้านไพ่นกกระจอก และจากไปแล้ว
ซูโหย่วหรงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “จะเปิดประตูได้จริง ๆ เหรอ?”
“ใช้เงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถเรียกใช้คนพวกนั้นได้ มีเงินสามารถทำได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ?”
“เงินนั้นเป็นเงินเล็กน้อยเหรอ?”
“อืม……”
ซูโหย่วหรงรู้สึกจำใจ
เมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงชั้นบน ท่อเหล็กที่ตรึงอยู่ด้านนอกประตูหายไปแล้ว กุญแจที่ล็อกไว้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
เข้าไปในบ้าน อุ่นมาก
จากนั้น ซูโหย่วหรงตกใจจนสติแตก และกรีดร้องเหมือนคนบ้า
“ซ่งซานสี่ ถ้าคุณไม่อธิบายว่าเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน? ฉันจะไม่เอาโทรศัพท์มือถือของคุณ และไม่ไปซื้อเสื้อผ้า!”
“คุณไปทำอะไรมาแน่? ก่ออาชญากรรมหรือเปล่า?”
“เถียนเถียนไม่ต้องการพ่อขี้คุก! เธอเป็นเด็กน่าสงสัยที่มีพ่อก็เหมือนไม่มี! คุณปล่อยเธอไปได้ไหม?”
“คุณไปทำอาหารให้เธอที่โรงเรียนอนุบาล? แล้วยังซื้อเสื้อผ้าให้เธอด้วย คุณคิดจะทำอะไรเธอ?”
“คุณพูดความจริงได้ไหม? ฉันขอร้องคุณล่ะ!”