บทนำ
บทนำ
มู่ซีหว่านเก็บกระดาษและพู่กันใส่กล่องไม้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า นับจากนางกับบิดาพลัดหลงกัน นางก็เลี้ยงชีพด้วยการตั้งโต๊ะข้างถนนรับตรวจโรคให้ผู้ไข้ แม้นางจะเป็นบุตรีหมอเทวดามีฝีมือการแพทย์ติดตัวไม่น้อย ทว่ามีฝีมือก็ส่วนมีฝีมือ นางไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อบะหมี่ย่อมไม่อาจเปิดโรงหมอ ทุกวันนี้จึงทำได้เพียงตรวจร่างกายให้ผู้ไข้แล้วเขียนใบยาให้อีกฝ่ายไปหาซื้อสมุนไพรรักษาตัวเอง
"แม่นาง" เสียงบุรุษผู้หนึ่งเรียกขานนางด้วยท่าทางร้อนรน มู่ซีหว่านไม่ทันเอ่ยถามอีกฝ่ายก็คุกเข่าเอ่ยทั้งน้ำตา
"ได้โปรดช่วยภรรยาข้าด้วย"
"พี่ชายรีบลุกขึ้นก่อน มีเรื่องใดก็ค่อยๆ เจรจา"
มือเล็กจับประคองชายตรงหน้าลุกขึ้น อีกฝ่ายยืนด้วยความไม่มั่นคงเอ่ยเสียงสั่น
"ภรรยาข้าล้มป่วยมาสามเดือนแล้ว ข้าหาหมอมาดูอาการนางนับสิบคนก็ไม่อาจวิเคราะห์โรคได้ วันก่อนได้ยินชาวบ้านเอ่ยถึงหมอหญิงผู้มีเมตตา จึงได้เดินทางทั้งวันทั้งคืนมาสามราตรี มาขอร้องท่านให้ช่วยไปตรวจนางสักหน่อย"
มู่ซีหว่านเห็นความรักอันลึกซึ้งของบุรุษตรงหน้าก็นึกชื่นชมยิ่งนัก เผลอพยักหน้าตอบรับโดยไม่รู้ตัว
มู่ซีหว่านนั่งรถม้าออกนอกเมืองขึ้นไปทางเหนือของแคว้นฉานอัน ใช้เวลาสามราตรีก็มาถึงบ้านของเกาเหว่ย
"ภรรยาข้าอยู่ที่เรือนตะวันตก เชิญท่านหมอ"
มู่ซีหว่านเดินตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยท่าทางรีบร้อน ก่อนที่จะหยุดเท้าที่หน้าประตูไม้
"เชิญท่านหมอ"
สิ้นคำเชิญเท้าเล็กก็ก้าวเข้าไปด้านในเรือน หากแต่ทันทีที่ร่างกายพ้นบานประตู แผ่นหลังบางก็ถูกผลักจนเซถลาล้มลง พร้อมกับประตูที่ปิดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าภายในห้องมีหญิงสาวใบหน้างดงามอยู่สามนาง
"เอ่อ...ข้ามู่ซีหว่านได้รับการไหว้วานให้มารักษาฮูหยินเกา ไม่ทราบว่าคือแม่นางคนไหนหรือ"
หลังจากเอ่ยปากถามออกไป มู่ซีหว่านก็สังเกตเห็นใบหน้าที่ตื่นตกใจระคนระอาใจของเหล่าสตรีตรงหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น
"เหตุใดพวกเจ้าจึงทำหน้าเช่นนี้ หรือว่าข้าจะมาผิดเรือนกัน"
"เจ้าถูกหลอกแล้ว"
เสียงไร้อารมณ์ของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านในสุด สตรีที่มีท่าทางนิ่งสงบผู้หนึ่งเอ่ยบอก ก่อนจะเอ่ยถามนาง
"ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหน เดินทางมาจากทิศใด ใช้เวลากี่วัน ด้วยวิธีไหนจึงมาถึงที่นี่"
มู่ซีหว่านแม้ยังสับสนแต่เอ่ยตอบคำถามอีกฝ่าย
"เจ้าเป็นหมอหรือ"
สตรีใบหน้าซีดเซียวหายใจรวยรินอยู่มุมห้องเอ่ยถาม มู่ซีหว่านพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
"เจ้าถูกสามบุปผา"
มุมปากของหญิงสาวตรงหน้ายกขึ้น ในแววตามีความชื่นชมอยู่ในที
"สามารถระบุพิษที่ข้าได้รับได้ นับว่าเป็นหมอมีฝีมือไม่น้อย"
"เจ้าอยู่นิ่งๆ ข้าจะฝังเข็มระงับพิษให้ก่อน"
เพราะไม่มีตัวยามู่ซีหว่านจึงไม่อาจรักษาสตรีตรงหน้าได้ ทำได้เพียงฝังเข็มสะกดพิษเอาไว้เท่านั้น
"บุญคุณช่วยเหลือ ภายหน้าข้าย่อมตอบแทน"
"ข้าเป็นหมอ รักษาผู้ไข้คือหน้าที่ จะนับเป็นบุญคุณได้อย่างไร"
“อย่างไรก็ไม่อาจละเลย ภายหน้าข้าจะตอบแทนเจ้าสักร้อยตำลึง”
มู่ซีหว่านกำลังจะตอบปฏิเสธ ทว่าเสียงกังวานใสที่ดูเหมือนจะระงับความตื่นเต้นไม่ไหวดังขึ้นมาเสียก่อน
"ดีจริง ซีหว่าน เจ้าก็รับเงินจากหว่านหนิงเถอะ แล้วก็นำมาลงทุนเปิดโรงหมอกับข้า"
มู่ซีหว่านขมวดคิ้วขึ้น มองสายตาเปล่งประกายของสตรีตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เหตุการณ์เช่นนี้ยังจะคิดถึงเรื่องเปิดโรงหมอได้ หาทางหนีออกไปให้ได้ก่อนดีหรือไม่
เจียงหว่านหนิงตวัดสายตามองสหายร่วมชะตากรรม ก่อนจะถอนหายใจยาว
“หลี่เฟิ่งเซียน ในหัวของเจ้ามีแต่ลูกคิดหรือไร?”
มู่ซีหว่านได้ยินคำโต้แย้งของคนทั้งสองก็ได้แต่ยิ้มอย่างขบขัน ย้อนดูแล้วคล้ายนี่จะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหนึ่งปีของนางเลยทีเดียว
“พี่เพ่ยลู่เสียน ท่านพอจะคาดเดาตำแหน่งของพวกเราได้หรือยัง”
เจียงหว่านหนิงเลิกสนใจหลี่เฟิ่งเซียน นางหันมามองหน้าเพ่ยลู่เสียนอย่างเคร่งเครียด
"เท่าที่พวกเจ้าบอกมาข้าสงสัยอยู่สองที่ คือเมืองอันฉินกับเมืองไห่หนิง"
หลี่เฟิ่งเซียนบอกเสียงเรียบดวงตาคมยังคงจดจ้องที่พื้นดินตรงหน้า เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้ง
..............................................................
“เข้าไป!”
เสียงโหดเหี้ยมดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูอีกครั้ง สตรีทั้งสี่ต่างก็หันมามองหน้ากัน
"ดูท่าจะมีหญิงสาวถูกจับมาอีกแล้ว"
มู่ซีหว่านพูดขึ้นมาด้วยความเศร้า และที่เหลือต่างก็พยักหน้าตอบรับคำพูดของนาง เสียงทอดถอนใจดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง
สามวันที่นางถูกจับตัวมาขังรวมกับเพ่ยลู่เซียนเจียงหว่านหนิง และหลี่เฟิ่งเซียน แม้จะดูเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่สำหรับมู่ซีหว่านกลับรู้สึกผูกพันกับทุกคนราวกับอยู่ด้วยกันมาร่วมสามปี
"ข้าว่าต้องใช่ หากข้าพูดถูกพวกเจ้าทั้งสามต้องจ่ายมาคนละสิบอีแปะตกลงหรือไม่"
เพ่ยลู่เซียนหันไปส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ทว่าก็ไม่ได้ห้ามอะไร เช่นเดียวกับมู่ซีหว่าน ที่อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เอาเถอะในยามที่กำลังทุกข์เช่นนี้ ให้หลี่เฟิ่งเซียนได้สร้างความสนุกให้พวกนางสักนิดก็ยังดี
"โอ๊ย!!..."
ประตูเรือนถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งที่ถูกผลักเข้ามาในเรือนตะวันตก มู่ซีหว่านเห็นร่างบอบบางคล้ายกำลังจะล้มลงกับพื้น ก็รีบลุกขึ้นอ้าแขนรับนางเอาไว้แนบอก
“เป็นอะไรหรือไม่?”
มู่ซีหว่านอ้าแขนออกโอบกอดสตรีคนใหม่เข้ามาในอ้อมออก เด็กสาวเงยหน้าขึ้นดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่าดูก็รู้ว่าพยายามอดกลั้นเอาไว้เป็นอย่างมาก
ทว่าเพียงแค่นางยกมือลงวางบนเส้นผมเงางามนั้น เด็กสาวผู้นั้นก็เหมือนจะทนไม่ไหว หยาดน้ำตาราวกับไข่มุกไหลออกมาเป็นสาย
“ซีหว่านรีบแก้มัดให้นางก่อน”
เพ่ยลู่เสียนที่ยามนี้พวกนางต่างยกตำแหน่งพี่ใหญ่เพ่ยให้กับนางออกคำสั่งขึ้นมา มู่ซีหว่านพยักหน้าและค่อยๆ แก้มัดให้เด็กสาวในอ้อมกอดอย่างเบามือ และนอกจากนี้ยังหยิบตลับยาออกมาทาที่ข้อมือเล็กให้อีกด้วย
“เจ้าชื่ออะไร ทำไมจึงถูกจับตัวมา แล้วจดจำสิ่งใดได้บ้าง?”
เจียงหว่านหนิงเอ่ยถามเสียงเข้ม สายตาคมจ้องมองเด็กสาวที่ตัวสั่นตรงหน้า เหมือนกำลังสำรวจร่องรอยการถูกทำร้าย ทว่าเมื่อเห็นว่าบนร่างกายนอกจากข้อมือแล้วไม่มีรอยบาดเจ็บอะไรอีก ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา ช่างเป็นเด็กสาวที่ดูเปราะบางเสียเหลือเกิน ยิ่งดวงตากลมที่ปริ่มน้ำคู่นี้ ต่อให้เป็นบุรุษใจเหล็กก็ยากจะต้านทานจริงๆ
“หว่านหนิง เจ้ากำลังทำให้นางกลัว!”
เป็นอีกครั้งที่พี่ใหญ่เพ่ยเอ่ยตำหนิขึ้นมา ทว่าเจียงหว่านหนิงทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก หากแต่เมื่อโดนสายตาดุส่งมาก็ยิ้มแห้งหันหน้าหลบสายตาตำหนิของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยเสียงอ่อนลง
เพ่ยลู่เสียนแม้มีอายุต่างจากพวกนางไม่มาก ทว่ากลับมีความสุขุม รอบคอบและเด็ดขาด ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกวางใจและยกให้อีกฝ่ายเป็นพี่ใหญ่ด้วยความเต็มใจ
“ข้าเพียงอยากรวบรวมข้อมูลเพื่อจะได้ใช้วางแผนหลบหนีเท่านั้น ขออภัยด้วยหากทำให้เจ้าตกใจ”
“ลู่เสียน เจ้าก็อย่าดุหว่านหนิงนักเลย นางไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรสักหน่อย เอาละสาวน้อย เจ้าก็เล่าเท่าที่เจ้ารู้ออกมาก็แล้วกัน”
หลี่เฟิ่งเซียนออกหน้าช่วยสหาย ก่อนจะเอียงตัวกระซิบเสียงเบาข้างหูเจียงหว่านหนิง
“ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้า นับว่าเจ้าติดหนี้ข้าเพิ่มเป็นยี่สิบอีแปะ”
มู่ซีหว่านมองสหายตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะกระชับอ้อมแขนปลอบโยนเด็กสาวในอ้อมอก ส่งสายตาปลอบโยนให้นางจนคนตัวเล็กคลายความหวาดหวั่นและเอ่ยเสียงสั่นเครือเบาๆ
“ข้าชื่ออู๋สือซว่านเจ้าค่ะ จำได้เพียงว่าชายที่จับตัวข้ามามีรอยสักรูปอินทรีที่อกขวา”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหน เดินทางมาจากทิศใด ใช้เวลากี่วันด้วยวิธีไหนจึงมาถึงที่นี่”
เพ่ยลู่เสียนเอ่ยถามเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดูเหมือนว่าเด็กสาวนามว่าอู๋สือซว่านจะไว้ใจพี่สาวเพ่ยอยู่ไม่น้อย อาการสั่นสะท้านของนางจึงคลายลงอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่เอ่ยตอบก็มั่นคงมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ค่ายตงหยาง เดินทางด้วยเท้าเจ็ดวันจึงมาถึงที่นี่เจ้าค่ะ แต่ทิศทางใดนั้นข้ามองไม่เห็น”
น้ำเสียงในท้ายประโยคของอู๋สือซว่านแผ่วเบาลงเมื่อไม่สามารถตอบคำถามของเพ่ยลู่เสียนได้ครบทุกประโยค มู่ซีหว่านเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูและเห็นใจ จึงกระชับมือเล็กแล้วตบที่หลังมือของนางเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลไป พี่ลู่เสียนเพียงถามดูเพื่อจะได้หาตำแหน่งที่ตั้งของพวกเราเท่านั้น”
เจียงหว่านหนิงที่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันมาเอ่ยกับอู๋ซือสว่านเช่นกัน
"ข้าเองก็เพิ่งมาจากค่ายตงหยางเช่นกัน ข้าพามารดาหลบหนีสงคราม แต่ทว่าน่าเสียดายบิดามารดาข้าจากไปทั้งคู่แล้ว"
อู๋สือซว่านไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงมองเจียงหว่านหนิงอย่างเห็นใจ ล้วนถูกจับมาเช่นกัน ยามนี้คงต้องปลอบใจกันไปก่อน นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่พวกนางจะทำได้ในยามนี้แล้ว
เพ่ยลู่เสียนขยับตัวไปหยิบกิ่งไม้มาขีดบางสิ่งลงบนพื้นดินกลางเรือน คิ้วเรียวของนางขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าเอ่ยบอก
“ชานเมืองอันฉิน”
ยามนี้สตรีห้านางเดินล้อมเข้ามาเป็นวง และเริ่มวางแผนที่จะหลบหนีออกจากที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้นพวกนางก็ไม่รู้ว่า จะถูกพวกค้ามนุษย์เหล่านี้จัดการอย่างไร
“พี่ลู่เสียน ท่านเก่งขนาดนี้สนใจร่วมลงทุนวาดแผนผังเมืองขายกับข้าหรือไม่”
“หลี่เฟิ่งเซียน เจ้าหยุดคิดเรื่องเงินก่อนได้หรือไม่” มู่ซีหว่านเอ่ยพลางตีไปบนไหล่ของสหาย หลี่เฟิ่งเซียนยู่ปากขึ้นพลางลูบท่อนแขนตนเองเหมือนจะเจ็บ แต่เมื่อเห็นสายตาของพี่ใหญ่เพ่ยลู่เสียนก็ก้มหน้าลง แอบแลบลิ้นออกมา
“เท่าที่ข้าได้แอบฟังมาอีกสามวันพวกมันจะขายเราเข้าหอนางโลม พี่ลู่เสียน ท่านวางแผนหลบหนีไว้อย่างไร”
ถึงแม้เจียงหว่านหนิงจะบาดเจ็บจากพิษสามบุปผา แต่ทว่าทักษะในการแอบฟังของนางหาได้ถดถอยลงเลยแม้แต่น้อย
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด คนพวกนี้คงขายเราให้กับหอวารีแคว้นต้าโจว เพราะเป็นเขตที่ใกล้เมืองอันฉินที่สุด เส้นทางจากเมืองอันฉินไปยังแคว้นต้าโจวเป็นดินภูเขาไม่อาจใช้รถม้าและไม่มีแม่น้ำตัดผ่านต้องเดินเท้าเท่านั้น มีเพียงโอกาสนี้ที่พวกเราจะหลบหนีได้”
“เช่นนั้นข้าจะรั้งท้ายสกัดพวกมันเอาไว้เอง พวกท่านเร่งหนีให้เร็วที่สุดก็พอ”
เจียงหว่านหนิงเอ่ยอาสาด้วยท่าทางจริงจังหนักแน่น นางพอจะมีทักษะการต่อสู้ที่ดีไม่น้อย เนื่องจากบิดาที่เป็นทหารรักษาชายแดนคอยสอนทักษะการต่อสู้เอาไว้ให้นางใช้ป้องกันตัว เดิมทีนางเพียงเรียนเพื่อความสนุก ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งมันกลับได้ใช้ต่อสู้กับเหล่าทหารกบฏในยามสงคราม
กลับเป็นมู่ซีหว่านที่ขมวดคิ้วจ้องสตรีด้านข้างด้วยสายตาเป็นกังวล เดิมทีที่ได้พบเจอเจียงหว่านหนิงในคราแรก นางเห็นว่าเจียงหว่านหนิงงดงามอ่อนหวาน อีกทั้งยังบอบบาง ไม่น่าเชื่อว่านางจะมีวรยุทธ์ด้วย อีกทั้งทักษะยังดีไม่น้อยเลย
“หว่านหนิง ตอนนี้ร่างกายของเจ้าไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้ มิเช่นนั้น...”
เจียงหว่านหนิงกระดกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ข้ามีสหายเป็นหมอเทวดา ยังจะต้องกังวลเรื่องใดอีก”
หากบาดเจ็บก็ให้มู่ซีหว่านรักษาให้อีกก็สิ้นเรื่อง หาใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
“ซีหว่าน ข้าพูดจริงนะ เจ้าสนใจร่วมเปิดโรงหมอกับข้าหรือไม่”
มู่ซีหว่านถอนหายใจออกมา หลี่เฟิ่งเซียนเจ้าช่วยคิดเรื่องหลบหนีก่อนได้หรือไม่...
อีกสามวันต่อมา ในขณะที่หญิงสาวทั้งห้ากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ประตูไม้ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออกมา พ่อค้าทาสหน้าตาเหี้ยมโหดผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างใน และจับพวกนางทั้งห้าผูกมัดมืออีกครั้ง ก่อนจะใช้เชือกเส้นยาวร้อยรัดมัดโยงพวกนางต่อกันเป็นแถวตอนเดียว
“เดินตามมาดีๆ อย่าได้คิดตุกติก ไม่เช่นนั้นกระบี่ในมือข้าอาจจะพลาดไปถูกคอพวกเจ้าได้”
มู่ซีหว่านพลันรู้สึกว่าชายเสื้อด้านหลังของตนเองถูกกระตุก แรงสั่นเทาน้อยๆ ที่ส่งผ่านทางชายเสื้อ ทำให้นางรับรู้ว่าเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
"มีพี่สาวคนนี้อยู่ไม่ต้องกังวล"
นางเอียงใบหน้าหันกลับไปมองด้านหลัง ก่อนจะกระซิบปลอบใจอู๋สือซว่านอย่างอ่อนโยน ครั้นเมื่อเด็กสาวได้ยินคำพูดของนาง ก็ก้มหน้าพยักขึ้นเบา ๆ มู่ซีหว่านรู้ดีว่านางคงจะกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“รีบพาพวกนางออกมารวมกับพวกด้านหน้า”
เสียงเข้มตวาดขึ้นมาจากชายชุดดำ คนที่กำลังพาพวกนางออกไปตอบรับอย่างนอบน้อม ดูท่าแล้วชายผู้นั้นคงจะเป็นหัวหน้าโจรค้ามนุษย์อย่างแน่นอน
“ขอรับ”
สิ้นเสียงตอบรับพวกนางทั้งห้าก็ถูกพาตัวมายังด้านหน้ากลางลานบ้าน มู่ซีหว่านกวาดตามองไปยังรอบๆ ก็พบว่ามีสตรีไม่ต่ำกว่าสามสิบนางต่างก็ถูกมัดเรียงกันเช่นเดียวกับพวกนางทั้งห้า
“พวกเรือนตะวันตกพาไปส่งที่หอวารีแคว้นต้าโจว เรือนตะวันออกส่งไปหอสราญรมย์ เรือนหลังนั่นส่งไปที่โรงบำเรอทาส”
มู่ซีหว่านเบิกตาขึ้น นางกำมือตนเองแน่น เหงื่อที่ไรผมไหลย้อย พวกมันจะส่งนางและสหายทั้งห้าไปยังหอวารีแคว้นต้าโจ้วอย่างนั้นหรือ ต่อให้นางจะอาศัยอยู่บนเขา ทว่านางก็หาใช่หญิงสาวในห้องหอ ที่ไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก นางเคยได้ยินผู้ไข้ที่มารักษากับบิดาพูดถึงหอนางโลมเหล่านี้ หอวารีแคว้นต้าโจวเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งของต้าโจวเลื่องลือขึ้นชื่อเรื่องหญิงงาม เป็นที่นิยมมาหาความสำราญของบุรุษชนชั้นสูง ส่วนหอสราญรมย์เป็นหอคณิกาสามัญ ในขณะที่โรงบำเรอทาสคือหอนางโลมชั้นต่ำรองรับลูกค้าที่มีรสนิยมดิบเถื่อน
"ดูแล้วสิ่งที่พี่ลู่เสียนคาดเดาคงไม่ผิดนัก เจ้าไม่ต้องกลัวไป"
“พี่ซีหว่าน แต่ข้ากลัว...”
เสียงสั่นสะอื้นของอู๋สือซว่านเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา มู่ซีหวานหันไปยิ้มปลอบใจเด็กสาว
“ไม่ต้องกลัว พี่ลู่เสียนไม่เคยคาดการณ์สิ่งใดพลาด”
ครั้นเห็นอู๋สือซว่านพยักหน้าหงึกๆ ซีหว่านก็เดินตามเจียงหว่านหนิงที่อยู่ข้างหน้าออกไป ชายฉกรรจ์เหล่านั้นพาพวกนางเดินเท้าโดยไม่หยุดพัก ตั้งแต่ยามตะวันขึ้นจวบจนกระทั่งดวงตะวันเลื่อนขึ้นมาอยู่ตรงกลางศีรษะ คนเหล่านั้นจึงยอมหยุดให้พวกนางได้พัก
“พี่รอง...จะว่าไปแล้วพวกนางก็งดงามกันไม่น้อย ตอนนี้นายใหญ่ไม่อยู่ ข้าว่าพวกเราหาเรื่องสนุกทำกันดีหรือไม่”
มู่ซีหว่านได้ยินชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงหื่นกาม ในสายตาเต็มไปด้วยไฟปรารถนาจดจ้องมองหญิงสาวทั้งห้า ในใจของนางก็เกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าคนที่หวาดกลัวยิ่งกว่ากลับเป็นอู๋สือซว่าน เด็กสาวตัวสั่นเทาเงยหน้ามองซีหว่านด้วยความหวาดกลัว เห็นอย่างนี้หญิงสาวจึงต้องแสร้งเข้มแข็ง เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับเด็กสาวด้านข้าง
“นั่นสิพี่รอง ท่านเองก็พอใจเด็กสาวผู้นั้นมิใช่หรือ อย่างไรพวกนางก็ต้องไปเป็นหญิงนางโลมที่หอวารี พวกเราเล่นสนุกกับพวกนางคนละรอบสองรอบคงไม่เสียหายอะไร”
เมื่อถูกบรรดาสหายชั่วยั่วยุ ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าพี่รองก็เริ่มไขว้เขว ยิ่งได้เห็นท่าทางตื่นกลัวของอู๋สือซว่านที่มันหมายตา ในใจที่ต่ำช้าก็ฮึกเหิมเร่าร้อน หากได้ครอบครองนางสักครั้งสองครั้งคงสุขสมไม่น้อย
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็เบามือหน่อย และอย่าได้ทิ้งร่องรอยชัดเจนจนเกินไป”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้มีอำนาจที่สุด เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหกก็พุ่งตรงไปหาหญิงงามทั้งห้า ทว่าในจังหวะที่ชายคนแรกถึงตัวเจียงหว่านหนิงเชือกที่ข้อมือนางก็หลุดออก เศษถ้วยแตกที่ซ่อนเอาไว้ในปลอกแขนปาดเข้าที่ลำคอของชายตรงหน้าทันที การหนีตายจากสงครามทำให้นางค่อยๆ รู้วิธีเอาตัวรอดได้ดี
“สารเลว ต่ำช้า! บุรุษเช่นพวกเจ้าสมควรตายให้หมด”
เจียงหว่านหนิงตวาดเสียงกร้าว ดวงตาเรียวจ้องมองเหล่าเดนมนุษย์แดงฉาน
ทันทีที่ร่างของบุรุษคนแรกล้มลง คนที่เหลือก็ถอยไปตั้งหลักหยิบกระบี่ขึ้นมาในทันที
"สตรีแพศยา เจ้ากล้าลงมือกับอาฉาย ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายดี"
เจียงหว่านหนิงยกมุมปากขึ้นเย้ยหยันกับคำข่มขู่ที่ได้ยิน เท้าเล็กสะกิดกระบี่บนเอวของร่างชายไร้ลมหายใจขึ้นมาถือ แล้วขยับเท้าเข้าหา ยามที่นางพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ลมหายใจของบุรุษชั่วก็ดับลงไปอีกหนึ่งคน มู่ซีหว่านมองสหายปลิดชีพเดนมนุษย์เหล่านั้นอย่างตกตะลึง นางยกมือขึ้นปิดไปที่ดวงตาของอู๋สือซว่าน
"หากเจ้ากลัว ก็หลบหลังข้าเสีย อย่าได้มองภาพเหล่านั้นเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่หว่านหนิงเถอะ"
อู๋สือซว่านตอบรับออกมา และขยับไปอยู่ด้านหลัง มู่ซีหว่านกวาดตามองภาพตรงหน้า เพื่อหาจังหวะหลบหนี
ในขณะที่เจียงหว่านหนิงก้าวเท้าสังหารพ่อค้าทาสต่ำช้า หลี่เฟิ่งเซียนก็รีบทรุดตัวลงนั่งวางมือบนร่างที่ไร้ลมหายใจ นางเร่งสอดส่ายมือควานหาถุงเงินของอีกฝ่าย ยามที่จับได้ถุงเงินใบโตดวงตาของนางก็เปล่งประกาย หากแต่ในจังหวะที่นางกำลังจะปลดถุงเงินสีดำบนเอวหนา แขนเล็กก็ถูกดึงรั้งจนถุงเงินใบโตหลุดมือ
"พี่ลู่เสียนถุงเงินของข้า"
“รักษาชีวิตของเจ้าก่อนดีหรือไม่”
เป็นเพ่ยลู่เสียนกลอกสายตาขึ้นเอ่ยตำหนิเสียงก้อง พร้อมกับออกแรงฉุดดึง หลี่เฟิ่งเซียนได้แต่มองถุงเงินด้วยสายตาอาลัย หากแต่ก็จำใจต้องทอดทิ้งลาภก้อนใหญ่ของตนไป
ตอนแรกพวกนางทั้งห้าวางแผนกันเอาไว้ เจียงหว่านหนิงผู้เป็นวรยุทธ์จะเป็นผู้ขัดขวางพวกนั้นเอาไว้ และให้อีกสี่คนที่เหลือได้หลบหนีไปเสียก่อน ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ ยิ่งมาเห็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ใครเลยจะกล้าทิ้งนางเอาไว้ได้ เมื่อเห็นว่าเจียงหว่านหนิงยิ่งสู้ ใบหน้าก็ยิ่งซีด มู่ซีหว่านก็ยิ่งหวาดกลัวพิษในร่างของเจียงหว่านหนิงยังไม่ได้ถูกขับ เพียงแค่ยับยั้งเอาไว้เท่านั้น หญิงสาวรู้ดีว่าสหายไม่อาจฝืนต่อสู้ได้นานนัก และทันทีที่กระบี่ในมือของเจียงหว่านหนิงปลิดลมหายใจของชายต่ำช้าคนสุดท้ายลง มู่ซีหว่านก็รีบลุกขึ้นมือหนึ่งยังคงจับอู๋สือซว่านที่ตื่นกลัว ขณะที่อีกมือหนึ่งเร่งวางลงตรวจชีพจรของเจียงหว่านหนิง
“หว่านหนิง เจ้าปลอดภัยหรือไม่”
มู่ซีหว่านเอ่ยถามด้วยความห่วงใย พลางจับร่างของเจียงหว่านหนิงหมุนไปมา เพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ นอกจากใบหน้าที่ซีดแล้ว อย่างอื่นหาได้เป็นอะไรไม่ ในใจที่หนักอึ้งด้วยความห่วงใยก็พลันเบาบางลง
ปัง!
เสียงพลุดังก้องก่อนที่บนน่านฟ้าจะปรากฏกลุ่มควันสีแดงคละคลุ้งในอากาศ หญิงสาวทั้งห้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียง
“พลุสัญญาณ พวกเราต้องเร่งหนีแล้ว”
เพ่ยลู่เสียนเอ่ยเสียงตื่นตระหนกพร้อมกับขบกรามแน่นด้วยความโมโห ทั้งที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว กลับพลาดท่าให้อีกฝ่ายเรียกกำลังเสริมเสียได้
"บัดซบ"
เจียงหว่านหนิงเอ่ยลอดไรฟัน นางซัดกระบี่ในมือใส่ชายชุดดำตัดเส้นลมหายใจของอีกฝ่ายในกระบวนท่าเดียว ทว่าเมื่อซัดออกไปแล้ว ร่างอรชรกลับเซถอยหลัง กระอักเลือดคำโตออกมา อู๋สือซว่านรีบปล่อยมือมู่ซีหวานออก และวิ่งเข้าไปรับร่างเจียงหว่านหนิงเอาไว้ไม่ให้นางได้ล้มลงไปกองที่พื้น ขณะที่มู่ซีหว่านเองก็รีบล้วงเอาเข็มเงินที่บิดามอบให้ออกมาฝังลงไปตามจุดชีพจรเพื่อยับยั้งพิษ
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามใช้ลมปราณ”
มู่ซีหว่านเอ่ยดุไม่จริงจังนัก ในใจห่วงใยสหายตรงหน้า จนใบหน้าซีดเผือด แต่ปากคนเป็นหมอ ก็อดจะต่อว่าคนป่วยที่ฝืนใช้ร่างกายตนเองจนเกินขอบเขตไม่ได้ ทว่าเมื่อได้สตินางก็พลันหน้าสลดลง หากไม่ใช่เพราะต้องการจะกำจัดคนเหล่านั้น เพื่อช่วยพวกนางหรอกหรือ เจียงหว่านหนิงจึงได้ฝืนร่างกายตนเอง
“ขออภัยด้วย เป็นข้าที่ผิดเอง”
เจียงหว่านหนิงนิ่วหน้า มือกุมหน้าอก
“เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า ข้าไม่สมควรต่อว่าเจ้า ทั้งที่เจ้าทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือและปกป้องพวกเรา”
"ข้ารู้ว่าเป็นเรื่องยากลำบาก แต่พวกเราไม่อาจชักช้าได้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกจับตัวไปอีกครั้ง"
เพ่ยลู่เสียนมองสตรีทั้งสองที่ต่างพร่ำขอโทษกันไปมา ก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นบอกด้วยท่าทางกังวลแม้รู้ว่าอาการของเจียงหว่านหนิงตอนนี้ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายเดินทาง ทว่านางก็ไม่อาจให้ทุกคนรอความตายอยู่ที่นี่
"หว่านหนิง เจ้าพอจะเดินไหวหรือไม่"
เจียงหว่านหนิงย่อมเข้าใจเจตนาของเพ่ยลู่เสียน หากแต่ร่างกายนางเวลานี้ไม่เพียงไม่อาจก้าวเดิน แม้แต่ขยับลุกขึ้นก็ยังยากจะทำ หากยามนี้ไม่ใช่เพราะฝีมือการฝังเข็มของมู่ซีหว่าน เกรงว่าเจียงหว่านหนิงคงจะล้มลงไปแล้ว ถึงแม้ร่างกายเจียงหว่านหนิงจะไม่ไหว ทว่าหัวใจนางเด็ดเดี่ยวนัก เสียงห้าวเอ่ยออกมาอย่างตั้งใจ
“พวกท่านไปเถิด ข้าจะอยู่สกัดพวกมันเอง”
“เหลวไหล สภาพเจ้าลุกยืนยังไม่ได้ จะเอาแรงที่ไหนไปสกัดพวกมัน”
มู่ซีหว่านตวัดสายตามองน้ำเสียงดุดันตำหนิคนดื้อรั้นตรงหน้าอีกครั้ง ทุกคนรู้ถึงเจตนาดีของเจียงหว่านหนิง แต่เพราะเป็นอย่างนั้นจะปล่อยให้นางรับหน้าได้อย่างไร ดูเอาเถิดขนาดอู๋สือซว่านจะหวาดกลัวเพียงใด แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับมู่ซีหว่าน
"เช่นนั้นข้าจะแบกท่านดีหรือไม่เจ้าคะ"
อู๋สือซว่านขยับไปยืนจับมือเจียงหว่านหนิงเอาไว้ ริมฝีปากบางเม้มขึ้นอย่างประหม่า
"ตัวเจ้าบอบบางเช่นนี้ จะเอาแรงที่ไหนมาแบกข้ากันหืม..."
เจียงหว่านหนิงหัวเราะออกมาเสียงเบา ในสายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูหญิงสาวตัวน้อยตรงหน้า พลางยกมือขึ้นหยิกแก้มนิ่มของเด็กสาวเบาๆ ทว่าเมื่อหัวเราะออกมาแล้ว ร่างกายก็คล้ายมีบางสิ่งตีตื้นจนต้องโก่งคอไอออกมาอีกครั้ง