บทที่ 7 เด็กชายแปลกหน้าที่หลงทาง [1/2]
บทที่ 7
เด็กชายแปลกหน้าที่หลงทาง [1/2]
จ้าวหว่านชิงจูงมือซูเหยาเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่คึกคัก ผู้คนมากมายต่างนั่งรับประทานอาหารดื่มสุราส่งเสียงหัวเราะครึกครื้น กลิ่นอาหารหอมกรุ่นโชยแตะจมูกจนหญิงสาวแอบกลืนน้ำลายแต่สายตากลับมุ่งไปยังเจ้าของโรงเตี๊ยมที่กำลังยืนอยู่หลังโต๊ะรับแขก
“เถ้าแก่ข้าต้องการหาห้องพักหนึ่งห้อง” จ้าวหว่านชิงเอ่ยเสียงสุภาพ
“คืนนี้มีผู้คนแน่นขนัดเพราะงานเทศกาลโคมไฟจึงเหลือห้องพักเพียงไม่กี่ห้อง หากแม่นางไม่เกี่ยงข้าจะให้เสี่ยวเอ้อพาไปดู” เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มแย้มตอบ
จ้าวหว่านชิงได้ยินเช่นนั้นก็แสร้งยิ้มบางก่อนต่อรองด้วยถ้อยคำอ่อนโยนแฝงความแน่วแน่
“วันนี้เป็นครั้งแรกที่บุตรสาวของข้าได้มาเที่ยวงานเทศกาลข้าจึงอยากได้ห้องที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามมีดอกไม้ไฟ ต่อให้ราคาสูงกว่าปกติสักหน่อยข้าก็ยอม”
“แม่นางพูดเช่นนี้ข้าก็เกรงใจนัก เช่นนั้น…ห้องชั้นสามที่หันหน้าออกถนนใหญ่ยังว่างอยู่จะเหมาะกับท่านและบุตรสาวตัวน้อยผู้นี้พอดี” เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดจบก็หัวเราะเบา ๆ
จ้าวหว่านชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะวางเงินจ่ายทันที เสี่ยวเอ้อเมื่อเห็นเงินก้อนโตที่หญิงสาววางบนโต๊ะก็กุลีกุจอตรงเข้ามาหานางทันที เขาผายมือเชื้อเชิญปฏิบัติกับจ้าวหว่านชิงและซูเหยาอย่างสุภาพ
“เชิญแม่นางกับคุณหนูตัวน้อยตามข้ามาขอรับ”
หญิงสาวยกยิ้มบาง ๆ พลางกุมมือน้อยของซูเหยาจูงขึ้นบันไดไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทีละขั้นจนถึงชั้นสาม เมื่อผลักประตูไม้เข้าไปในห้องพักกลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ ตลบอบอวลลอยโชยเข้ากระทบจมูก ภายในห้องมีโต๊ะเตี้ยกับตั่งนอนสะอาดเรียบร้อย หน้าต่างกว้างเปิดออกเห็นถนนด้านล่างที่ประดับโคมไฟเริ่มส่องแสงไหววับ
“ดีจริง ๆ” จ้าวหว่านชิงกวาดสายตามองรอบห้องอย่างพอใจ
เมื่อเข้ามาในห้องพักเรียบร้อยแล้วจ้าวหว่านชิงก็จัดข้าวของที่ตนซื้อจากตลาดวางบนโต๊ะเตี้ย พลางหันกลับมามองซูเหยาที่นั่งเงียบอยู่ขอบตั่งดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววเหม่อลอยทว่าแฝงความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย
จ้าวหว่านหนิงก้าวเข้าไปนั่งเคียงข้างเอื้อมมือแตะไหล่เล็กเบา ๆ แววตาที่มองซูเหยานั้นบ่งบอกถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“เหยาเอ๋อร์...เจ้ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่วันนี้เราเดินตลาดกันทั้งวันแล้ว”
เด็กน้อยส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด จ้าวหว่านชิงเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางหยิบขนมถั่วลิสงที่ซื้อมาเมื่อครู่ส่งให้
“ลองกินดูสิ ขนมนี้ข้าเคยชอบนักรสหวานกรอบกำลังดี”
ซูเหยารับไปอย่างลังเลก่อนจะกัดเบา ๆ หนึ่งคำ เมื่อได้ลิ้มรสสัมผัสแววตาของเด็กหญิงเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย รสหวานละมุนแพร่กระจายบนลิ้นแต่แทนที่จะยิ้มนางกลับก้มหน้าลงเหมือนไม่อยากแสดงความรู้สึกออกมา
จ้าวหว่านชิงเห็นเช่นนั้นก็เอื้อมโอบร่างเล็กเข้ามากอดแนบอกพลางลูบศีรษะช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนโยนราวสายลม
“ไม่เป็นไร…ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าไม่จำเป็นต้องอดทนเงียบ ๆ อีกแล้ว อะไรที่อยากได้ข้าจะหามาให้ อะไรที่เจ้าอยากพูดก็พูดกับข้าได้เสมอ”
ซูเหยานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางริมฝีปากขยับเหมือนอยากเอ่ยบางคำ แต่สุดท้ายก็เพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วซุกหน้ากลับลงสู่อ้อมอกอย่างเงียบงัน
บรรยากาศในห้องพักเงียบสงบมีเพียงเสียงหายใจประสานของสองร่างที่นั่งเคียงกัน ข้างนอกหน้าต่างแสงโคมไฟเริ่มถูกจุดขึ้นทีละดวงไหววูบดุจดวงดาวบนพื้นดินราวกับบอกเป็นนัยว่าคืนนี้จะเป็นคืนแรกที่ความสัมพันธ์เล็ก ๆ นี้เริ่มหยั่งรากลง
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนพลบค่ำแสงโคมไฟเริ่มสว่างไสวทั่วทั้งตลาด ถนนหนทางถูกประดับประดาด้วยโคมหลากสีทั้งโคมกลม โคมยาว และโคมรูปสัตว์มงคลแขวนเรียงรายส่องแสงอุ่นสลัวท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้คนบรรยากาศครึกครื้นชวนให้ผู้มาเยือนยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
จ้าวหว่านชิงสวมเสื้อคลุมบางให้ซูเหยาก่อนจะก้มลงผูกสายรัดรองเท้าให้แน่นพลางเอ่ยเสียงอ่อน
“อย่าเดินห่างจากข้านะเหยาเอ๋อร์” เด็กน้อยเพียงพยักหน้ารับขณะจับมือของนางแน่นขึ้น
รอบตัวมีทั้งซุ้มขายขนม ขนมตังกุย ขนมเปี๊ยะ กลิ่นหอมหวานโชยมายั่วใจเสียงกลองและขลุ่ยลอยมาตามสายลม บางแห่งมีการเชิดสิงโตและการแสดงกายกรรมที่เรียกเสียงโห่ร้องชื่นชมจากฝูงชน เด็กเล็กวิ่งเล่นถือโคมเล็กในมือส่งเสียงหัวเราะร่า จ้าวหว่านชิงเองพลันรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นางยิ้มตาเป็นประกายพลางก้มลงถามเด็กหญิงวัยแปดขวบที่อยู่ข้างกายเบา ๆ
“เจ้าชอบหรือไม่?”
ซูเหยาที่โดยปกติมักมีใบหน้านิ่งเฉยครานี้กลับเผลอมองโคมรูปกระต่ายที่เด็ก ๆ ถือเดินผ่านมา ดวงตาคู่น้อยฉายแววสั่นไหวก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเบา
“ข้า…ชอบ”
คำตอบเพียงสั้น ๆ กลับทำให้หัวใจของจ้าวหว่านชิงอบอุ่นจนเผลอกุมมือน้อยแน่นกว่าเดิม พลางลูบผมเบา ๆ อย่างเอ็นดู รู้สึกว่าการตัดสินใจพาเด็กน้อยมาเที่ยวชมงานคืนนี้ช่างเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเสียจริง