บทที่ 1 ศัตรูคู่แค้น
หลังการล้อมเมืองอย่างยาวนานถึงสามเดือนจบลง
เมืองอวีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อทัพของแคว้นลู่ แม่ทัพหานชางเหยียนนำกำลังทหารกว่าสามหมื่นนายเข้าไปเหยียบยังที่ทำการเจ้าเมืองอย่างอาจหาญ
การรบครานี้นับว่าเสียกำลังไพร่พลของแคว้นลู่น้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ด้วยเพราะเป็นการล้อมเมืองอวีเอาไว้อย่างยาวนานจนไม่สามารถส่งเสบียงอาหารเข้าไปภายในได้จนทำให้เมืองอวีต้องยอมแพ้เพราะกำลังจะอดตาย
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เมืองอวียอมแพ้นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทแคว้นเฝินผู้ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองอวีถูกขุนนางถ่อยกล่าวหาว่าเจ้าเมืองอวีคิดคดทรยศสวามิภักดิ์แก่แคว้นลู่จึงทำให้ฝ่าบาทหลงเชื่อและมีโทสะไม่ยอมยกทัพมาช่วยเหลือ
สุดท้ายแล้วเมืองอวีจึงต้องจำยอมแพ้อย่างไร้กำลังหนุนหลัง
ฮ่องเต้แคว้นลู่มีพระราชโองการเร่งด่วนมอบสมรสพระราชทานให้หานชางเหยียนกับบุตรสาวเจ้าเมืองอวี นามเมิ่งสืออีอย่างเร่งด่วน
แม้ว่าหานชางเหยียนจะเกลียดคนสกุลเมิ่งเพียงใดเพราะในอดีตท่านปู่ของเขาได้ออกรบกับคนสกุลเมิ่ง ในสงครามอันยาวนานครานั้นได้ตกลงสงบศึกกันชั่วคราวเพราะอากาศที่หนาวจัด
แต่คนสกุลเมิ่งกลับใช้วิธีสกปรกไม่ยอมทำตามที่ตกลงยังลอบทำร้ายลับหลังฉีกสัญญากองทัพอย่างไร้ยางอายและสังหารท่านปู่จนตาย
หลังจากนั้นไม่พอคนเจ้าเล่ห์ยังตัดศีรษะของท่านปู่เสียบประจานบนกำแพงเมืองอย่างยาวนานจนศีรษะเหือดแห้งเหลือเพียงโครงกระดูก
หานชางเหยียนเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงถูกท่านปู่ท่านย่าเลี้ยงมาและคาดหวังให้เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสกุลหานคนต่อไป
หานชางเหยียนเคารพรักท่านปู่มากกว่าผู้ใดในโลกนี้ แค้นนี้เขาจึงจำฝังใจและต้องให้คนสกุลเมิ่งชดใช้คืน บัดนี้เขาทำสำเร็จแล้วแต่เขาต้องรับบุตรสาวของพวกศัตรูมาเป็นภรรยาจึงทำให้เขาไม่พอใจยิ่งนัก
ทว่าเขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้ดังนั้นสมรสพระราชทานจึงได้จัดงานมงคลขึ้นอย่างเรียบง่ายแม้ว่าเจ้าสาวของเขานั้นจะงดงามเพียงใดหานชางเหยียนก็ไม่แม้แต่คิดจะชายตาแล และในที่สุดเขาก็สืบรู้มาจนได้ว่าสมรสพระราชทานนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
แท้ที่จริงแล้วเป็นเจ้าเมืองอวีบิดาของเมิ่งสืออีที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอดไม่ให้เขาเข่นฆ่าคนสกุลเมิ่งด้วยเรื่องในอดีตที่คนสกุลเมิ่งได้ก่อเอาไว้
ดังนั้นเจ้าเมืองอวีจึงคิดเกี่ยวดองเอาไว้ให้เขากลายเป็นบุตรเขยของตนเองเพื่อลบล้างเรื่องทุกอย่างให้จบสิ้น และฮ่องเต้แคว้นลู่ก็ทรงเห็นด้วยกับเรื่องนี้
เพราะเหตุนี้จึงทำให้หานชางเหยียนยิ่งเกลียดคนสกุลเมิ่งเข้ากระดูกดำที่เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก
เมิ่งสืออีกลับไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเป็นที่รังเกียจของสามีเพียงนั้น นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอที่วัน ๆ เอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือน
ถึงสองแคว้นจะเป็นศัตรูกันแต่ชื่อเสียงการเป็นแม่ทัพผู้มีเมตตาไม่เข่นฆ่าชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องของหานชางเหยียนก็ลือกันกระฉ่อน
การศึกครานี้แม้เมืองอวีจะพ่ายแพ้ นอกจากอาหารที่ขัดสนแล้วทัพของหานชางเหยียนมิได้ทำให้ชาวบ้านได้รับความลำบากอย่างอื่น ทหารบาดเจ็บล้มตายน้อยยิ่งนักแม่ทัพหานเป็นบุรุษรูปงามแม้ภายนอกจะดูเย็นชาบ้างทว่าเขากลับมีใจที่เมตตากว่าผู้ใด
ชื่อเสียงนี้ของเขาทำให้นางยิ่งสงสัยว่าเขามีใบหน้าเป็นเช่นใดกันแน่
และเพียงได้พบหน้าเขาในวันแรก หัวใจน้อย ๆ ของสตรีที่แทบไม่ได้พบบุรุษใดเช่นคุณหนูเมิ่งสืออีก็พลันเต้นแรงขึ้น บุรุษผู้นั้นองอาจหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบเคียงได้
หลังจากนั้นนางก็ได้รับสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทแคว้นลู่ใจของเมิ่งสืออีจึงตกเป็นของว่าที่สามีได้อย่างง่ายดายนัก
ในวันแต่งงานเมิ่งสืออีอยู่ในชุดแต่งงานที่รีบเร่งจัดหาจึงมิได้งดงามและวิจิตรอย่างที่เคยฝันเอาไว้กระนั้นหัวใจของนางก็เปี่ยมสุข นางนั่งรอคอยเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัวกระทั่งครึ่งคืนผ่านไปนางจึงได้ยินเสียงประตูเปิดออก
ตั้งแต่เห็นหน้าเขาในวันที่รับสมรสพระราชทานวันนั้น นางกับเขายังไม่เคยพูดจากันเลยแม้แต่ประโยคเดียว ในคืนเข้าหอวันนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าต้องพูดคำใดเช่นกัน ดังนั้นนางจึงได้แต่นั่งรอให้เขามาเปิดผ้าคลุมหน้าด้วยหัวใจเต้นระรัว
นางได้ยินเสียงน้ำถูกรินลงในจอก เมิ่งสืออีคิดว่าเขาอาจจะกำลังรินเหล้ามงคลอยู่กระมัง มือของนางสั่นโดยไม่อาจควบคุมนั่นคงเป็นเพราะนางตื่นเต้นจนเกินไป
ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาและแดงก่ำ หญิงสาวกลั้นรอยยิ้มเอาไว้อย่างขัดเขิน ในเวลานั้นนางกลับได้ยินเสียงเย็นของหานชางเหยียนเอ่ยว่า
"หึ สุนัขสกุลเมิ่งคิดจะส่งบุตรสาวปีนขึ้นที่สูงชดใช้ความผิดหรือ ฝันไปเถิดว่าข้าจะแตะต้องเจ้า"
เมิ่งสืออีนิ่งอึ้ง นางไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองได้ยิน คนผู้นั้นได้พูดคำว่า....สุนัขสกุลเมิ่งหรือ?
ดูเหมือนว่าหานชางเหยียนคงจะเมาสุราอย่างหนัก เขาคงดื่มไปไม่น้อยจึงได้กล่าวเพ้อเจ้อ
เมิ่งสืออีได้แต่ปลอบใจตนเองเช่นนั้น กระทั่งนางได้ยินเสียงข้าวของหล่นแตกกระจายพร้อมกับเสียงของหนัก ๆ หล่นกระแทกพื้น เมิ่งสืออีสะดุ้งครั้งแล้วครั้งเล่าแต่นางก็ไม่กล้าที่จะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกมาดู
นางไม่อาจทำผิดประเพณีได้ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวนี้สมควรเป็นเจ้าบ่าวที่ต้องเปิดออก
เมิ่งสืออีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นนางจึงเอ่ยถามเสียงสั่น
"ท่านพี่เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ"
นางได้ยินเสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้นมา หานชางเหยียนจ้องมองนางที่ยังนั่งอยู่บนเตียงนอนเพื่อรอคอยเขา
ในใจคิดว่านางคงหาทางเสวยสุขโดยการเป็นฮูหยินของเขาและใช้ความงามเข้าหลอกล่อ
ฉับพลันหานชางเหยียนก็บังเกิดความรู้สึกชิงชังขึ้นมาทันใด เขาจ้องนางดวงตาแข็งกร้าวยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดแล้วเขวี้ยงลงบนพื้นจนจอกสุราหยกแตกกระจาย
เมิ่งสืออีได้ยินพลันสะดุ้งโหยงอีกคราจู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเย็นเยียบทำให้ร่างของนางสั่นเล็กน้อย หากว่านางเปิดผ้าคลุมหน้าออกและเห็นหน้าเขาในยามนี้คงหวาดกลัวจนวิ่งหนีไปเป็นแน่
หานชางเหยียนเห็นท่าทางของนางเช่นนั้นพลันแสยะยิ้ม
"สตรีแพศยา ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะวางท่าเป็นสตรีผู้อ่อนแอได้สักกี่น้ำ"
พูดจบเขาก็ถีบเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ จนล้มลงไปเพื่อข่มขวัญคน เมิ่งสืออีตกใจกับเสียงโครมครามและคำพูดกล่าวหาของเขาจนร่างกายแข็งค้างไปแล้ว
นางนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานโดยไม่รู้ว่าหานชางเหยียนออกจากห้องหอไปตั้งแต่เมื่อใด
บัดนี้ในห้องหอเงียบสงบนัก หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วยามเมิ่งสืออีจึงตัดสินใจเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก
เมิ่งสืออีตะลึงงัน!
เมื่อเห็นว่าห้องหอที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามด้วยเครื่องประดับสีแดงบัดนี้ได้พังเสียหายยับเยิน กระทั่งโต๊ะกลางห้องก็พังลงไปกองที่พื้น
เมิ่งสืออีได้รับความตกใจจนแทบสิ้นสติกว่าที่นางจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่มีคนของนางสักคนที่เข้ามาใกล้บริเวณนี้ นางคิดจะออกจากเรือนหอแต่กลับถูกทหารของหานชางเหยียนเฝ้าเอาไว้
และในยามนั้นนั่นเองที่นางเห็นหานชางเหยียนกำลังโอบกอดสตรีนางหนึ่งอยู่ที่สวนด้านหน้า ท่าทางของเขาเมามายอย่างหนัก ใบหน้าของเขาซุกไซร้ที่ลำคอของสตรีนางนั้น และนางผู้นั้นก็ทำท่าเอียงอายส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
เมิ่งสืออีมองสามีด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เขาไม่หันมามองนางเลยแม้แต่น้อยขณะที่พาสตรีนางนั้นเดินผ่านหน้าของนางไป
เข่าของเมิ่งสืออีอ่อนลงทันใด กระทั่งนางทรุดฮวบนั่งลงกับพื้น ทหารที่เฝ้านางเอ่ยเบา ๆ ว่า
"ฮูหยินสตรีนางนั้นเป็นแค่นางโลม ท่านอย่าถือสาท่านแม่ทัพเลยนะขอรับ"