บทที่ 5 หีบที่ถูกทิ้งไว้
“ท่านแม่ ซื้อเครื่องเขียนให้ข้าสักชุดได้หรือไม่?” เผยมู่ซีมองเห็นร้านเครื่องเขียนที่อยู่เบื้องหน้า ในยามที่นางรู้สึกเสียใจ โมโหหรือเศร้าใจนางมักจะวาดภาพอยู่เงียบๆ ในห้องนอน
จังฮูหยินตะลึงอยู่ครู่ “เจ้าอยากจะเขียนอักษรหรือ? ที่เรือนก็พอมีกระดาษเหลือนี่? เจ้ายังเขียนไม่หมดเยอะแยะ”
“มิได้ๆ ข้าอยากได้กระดาษสำหรับวาดภาพต่างหาก”
แม้จะรู้สึกแปลกใจเพียงใดแต่จังฮูหยินก็ตามใจบุตรสาว จึงนำหน้านางเข้าไปยังร้านเครื่องเขียน เจ้าของร้านเห็นจังฮูหยินก็จำได้ แม้นางจะมิค่อยมาอุดหนุนร้านเขานักแต่ก็พอจะรู้ว่านางเป็นช่างปักฝีมือดีของร้านสกุลจาง
“ฮูหยิน ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ?”
“บุตรสาวของข้าต้องการกระดาษสำหรับวาดภาพท่านโปรดแนะนำด้วยเถิด เพียงแต่....”
“เพียงแต่ท่านมีเงินจำกัดใช่หรือไม่?” เถ้าแก่เนี่ยยิ้มด้วยความเมตตา ดูจากการแต่งกายของนางที่เดินผ่านร้านเขามานานปีก็พอจะรู้ว่าความเป็นอยู่ของนางเป็นอย่างใด? ยิ่งเคยได้ยินเถ้าแก่เนี้ยสกุลจางเอ่ยชื่นชมฝีมือและสงสารในชะตาของสองแม่ลูกสกุลชิง เถ้าแก่เนี้ยก็ยิ่งเห็นใจ “ไม่เป็นไรฮูหยิน สิ่งใดที่ข้าพอจะลดราคาให้ข้าก็ไม่ตระหนี่หรอก”
“ขอบคุณเถ้าแก่”
เถ้าแก่เนี่ยหยิบเอากระดาษพอใช้ราคาไม่แพงออกมาหลายแผ่น รวมทั้งพู่กันที่เหมาะกับการการวาดภาพหนึ่งชุด แท่นฝนหมึกและหมึกอีกหนึ่งชุด
“คุณหนู ข้าจะคิดเพียงค่ากระดาษกับพู่กัน ส่วนแท่นฝนหมึกและหมึกพวกนี้ถือว่าข้าให้ยืม เอาไว้เจ้าวาดภาพแล้วนำเอามามอบให้ข้าสักภาพหนึ่งแทนราคาของพวกนี้ดีหรือไม่?”
เผยมู่ซีเห็นของที่เถ้าแก่เนี่ยเอาออกมากองทีแรกกำลังคิดจะปฏิเสธเพราะเกรงจังฮูหยินจะนึกเสียดายเงิน แต่เมื่อได้ยินเถ้าแก่ยื่นข้อเสนอเช่นนั้นก็ดีใจยิ่ง
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะวาดรูปเอามาใช้หนี้ค่าหมึกและแท่นฝนหมึก” เผยมู่ซีมองดูของทั้งสองอย่างที่เถ้าแก่หยิบยื่นให้ แม้ของสองอย่างนี้มิได้สูงค่าอย่างเช่น เครื่องเขียนที่นางเคยมีในชาติที่แล้ว แต่ในสภาพเช่นนี้ก็นับว่าพอแก้ขัดไปได้
จังฮูหยินได้ยินเถ้าแก่เนี่ยมีเมตตากับบุตรสาวของตนก็ก้มขอบคุณหลายครา
“อย่าได้เกรงใจไปเลยฮูหยิน ข้าก็บอกแล้วว่าให้คุณหนูวาดรูปมาให้ข้า เช่นนั้นก็มิได้ถือว่าเป็นการให้เปล่าแต่อย่างใด”
คนทั้งสามหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังกลับบ้าน ข้าวสารที่ซื้อไว้เป็นกระสอบนั้นร้านค้าจะให้คนตามมาส่งที่จวน เหล่าลู่เห็นจังฮูหยินสีหน้าเบิกบานกลับมาถึงเรือนก็สบายใจ แสดงว่าวันนี้ฮูหยินคงจะได้เงินค่ามัดจำงานมาแน่!
“เหล่าลู่มาดูสิ พวกเราได้ของกินมาเยอะแยะ วันนี้พวกเรามากินกันให้อิ่มหนำสำราญกันเถอะ ข้าจะเข้าครัวทำอาหารอร่อยๆ ท่านรอได้เลย”
เหล่าลู่ยิ้มกว้าง มองดูเสี่ยวลิ่งที่ร่าเริงแจ่มใสด้วยความดีใจ เขามองเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ หลายปีก่อนเขาได้รับความกรุณาจากนายท่านชิงให้ออกจากจวนไปได้ แต่เพราะเห็นสภาพของคนทั้งสามที่ถูกขับมาอยู่ยังเรือนแห่งนี้จึงได้อาสาอยู่ต่อ ปีหลังๆ ที่ฮูหยินใหญ่ควบคุมบัญชีในครัวเรือน เงินเบี้ยหวัดของเขาก็ถูกลดจำนวนลงแต่เหล่าลู่ก็ยังคงยืนกรานจะทำงานที่นี่ต่อไป เขาประหยัดเก็บหอมรอมริบเงินเอาไว้ ในยามที่รู้ว่าจังฮูหยินสิ้นหนทางก็เอาเงินพวกนั้นออกมามอบให้นางเพื่อนำไปรักษาบุตรสาว ความรู้สึกของเหล่าลู่ที่มีต่อคนทั้งสามตรงหน้าไม่ต่างไปจากครอบครัวที่เขาต้องปกปักษ์ดูแล หลังจากที่เขามาอยู่จวนสกุลชิงได้ห้าปี คนในครอบครัวของเขาก็เสียชีวิตไปในอุทกภัยครั้งใหญ่ เหล่าลู่จึงไม่รู้ว่าหากออกจากสกุลชิงแล้วตนเองควรจะไปที่ใด?
“คุณหนูได้เครื่องเขียนมาเยอะเลยนะขอรับ”
“อืม...ข้าอยากวาดภาพน่ะ”
“คุณหนูวาดเป็นด้วยหรือขอรับ?” เหล่าลู่รู้ว่าคุณหนูของตนอ่านออกเขียนได้แต่ไม่เคยเห็นนางวาดรูปเลยสักครั้ง
“ข้าแค่อยากลองดูแค่นั้นเอง ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้สวยก็ได้นะ”
“หากคุณหนูวาดได้จริงๆ วาดให้ข้าด้วยนะขอรับ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยมีรูปวาดแม้สักรูป”
เผยมู่ซีได้ยินก็ยิ้มกว้าง “ได้สิ! ข้าจะวาดรูปให้เหล่าลู่เยอะๆ เอง”
เหล่าลู่รีบช่วยคุณหนูผู้บอบบางของตนถือของแล้วเดินเข้าไปในเรือน ตั้งแต่คุณหนูหายป่วยกลับมาจากเมืองหลวงก็ไม่เก็บตัวอยู่ในแต่ห้องนอนเหมือนแต่ก่อน ห้องหนังสือเดิมที่อยู่อีกฟากของเรือนใหญ่ได้ถูกเปิดออก ชิงหลานให้เหล่าลู่และเสี่ยวลิ่งช่วยทำความสะอาดและนางก็เข้าไปยึดครอง จังฮูหยินเห็นบุตรสาวอยู่ในห้องนั้นอย่างมีความสุขก็ไม่เข้าไปรบกวน
“ถ้าเจ้าชอบห้องนี้ต่อไป แม่ก็ยกให้เป็นห้องของเจ้า”
“ขอบคุณท่านแม่”
เรือนใหญ่มีห้องกลางเป็นโถงใหญ่ด้านซ้ายเป็นห้องหนังสือส่วนด้านขวาเป็นห้องที่จังฮูหยินใช้ในการเย็บปักผ้ากับเสี่ยวลิ่ง เผยมู่ซีเคยลองไปเดินดูเรือนหลังอื่นพบว่าสภาพไม่อาจจะเข้าไปอยู่อาศัยได้ ตั้งแต่พายุเข้าครั้งใหญ่เรือนบางหลังก็หลังคารั่ว บางหลังก็ผนังถูกพายุซัดพัง จังฮูหยินให้เหล่าลู่แจ้งไปยังจวนใหญ่สกุลชิงแล้วแต่พวกเขาก็เพิกเฉยไม่ยอมส่งคนมาซ่อมแซม เสี่ยวลิ่งเห็นคุณหนูเดินออกมาดูเรือนโย้ๆ พังๆ พวกนั้นก็เดินเข้ามาใกล้และเฉลยให้นางได้รู้
“เห็นทีฮูหยินใหญ่คงไม่อยากให้พวกเราอยู่สุขสบายเกินไปกระมังเจ้าคะ? ยังดีที่เรือนใหญ่กับเรือนนอนพวกเราไม่เป็นอันใดมากแค่หน้าต่างพังไปไม่กี่บาน เหล่าลู่ช่วยซ่อมให้เรียบร้อยแล้ว เรือนพวกนั้นมิได้จำเป็นสำหรับพวกเราอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินไปซ่อมหรอกเจ้าค่ะ”
จริงอย่างที่เสี่ยวลิ่งพูด ในเมื่อพวกนางก็มิได้เงินทองเหลือเฟือและเรือนพวกนั้นก็มิได้ใช้การจะไปซ่อมด้วยเหตุใด? เผยมู่ซีเดินสำรวจไปรอบๆ จวนสกุลชิงด้วยความสนใจ....ในเมื่อนางก็ไม่มีหนทางจะกลับสู่ร่างเก่าแล้ว สู้ใช้หาหนทางใช้ชีวิตในร่างใหม่ให้ดีจะดีกว่า....
ป่านนี้ศพของคุณหนูเผยคงจะถูกฝังไปเรียบร้อยแล้ว นางรู้ว่าท่านย่าคงจะโสมนัสต่อการจากไปของนางยิ่งกว่าผู้ใด? แม่ของเผยมู่ซีเป็นฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ... ป้ายศพของนางคงจะได้ตั้งอยู่เคียงข้างท่านแม่ในศาลบรรพชน ยังเหลือคนที่นางห่วงอยู่อีกผู้หนึ่ง....เผยสือถงบุตรชายของอนุฉิวที่อยู่เรือนหลังสุดของจวน เสี่ยวถงน้องชายผู้น่าสงสารต่อไปไม่มีนางคอยให้ความช่วยเหลือไม่รู้จะเป็นอย่างไร? นางจะพยายามหาโอกาสเข้าไปเมืองหลวงในวันหน้าเพื่อไปดูพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ยามนี้คงต้องช่วยพยุงครอบครัวของชิงหลานผู้น่าสงสารนี้ก่อน นึกๆ ไปนางก็โมโหให้ตัวเองที่ชาติก่อนมิได้ตั้งใจร่ำเรียนศิลปะหลากแขนงที่ท่านย่าว่าจ้างอาจารย์มาสอน มีเพียงการวาดภาพเท่านั้นที่นางทำได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ...สำนึกเสียใจได้ก็สายไปเสียแล้ว...
เผยมู่ซีระงับความคิดฟุ้งซ่านแล้วหันไปคลี่กระดาษและเตรียมอุปกรณ์วาดภาพไว้บนโต๊ะ นับว่าคนตระกูลชิงให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างยิ่ง ห้องนี้แม้จะเหลือทิ้งไว้เพียงหนังสือเก่าๆ แต่ก็ยังนับว่ามีประโยชน์ต่อนางมิใช่น้อยเพราะล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือล้ำค่า ในชาติก่อนยามที่ถูกท่านอาจารย์บังคับให้อ่าน นางเองก็อ่านอย่างขอไปที เมื่อมาเห็นหนังสือพวกนั้นถูกทิ้งไว้ในห้องนี้จึงได้รู้ว่าตนเองพลาดสิ่งดีๆ ไปมากเพียงใด? หากตั้งใจฟังที่ท่านอาจารย์สั่งสอนนางคงจะอ่านหนังสือพวกนี้ได้อย่างเข้าใจ เผยมู่ซีสำรวจหนังสือที่ถูกทิ้งไว้จนทั่วห้องนางพบหีบใบหนึ่งถูกตั้งทิ้งไว้โดยมีผ้าม่านเก่าๆ คลุมอยู่
“เสี่ยวลิ่งเจ้าดูสิ! มีทั้งหนังสือวาดภาพและภาพวาดเยอะแยะเลย”
“จริงด้วยสิเจ้าคะ สงสัยตอนย้ายจวนพวกบ่าวจะมองไม่เห็นเพราะผ้าพวกนี้คลุมอยู่เจ้าค่ะ”
ภาพพวกนี้ตอนที่นางยังเป็นคุณหนูเผยเคยเห็นในร้านขายภาพวาดใน เมืองหลวง การวาดเลียนแบบภาพของจิตรกรมีชื่อเสียงกำลังเป็นที่นิยมในยุคนี้ แคว้นหมิงในยุคที่สงบจากสงครามรอบด้าน หมิงฮ่องเต้นทรงส่งเสริมด้านการค้าทำให้ราษฏรอยู่ดีกินดีจึงมีสุนทรียะพอที่จะหันไปสนใจดนตรี งานประพันธ์ และงานศิลปะมากขึ้น ภาพวาดที่โด่งดังจากแคว้นผิงและแคว้นเหลียนถูกนำเข้ามายังแคว้นหมิงเพิ่มมากขึ้น เกิดชุมนุมจิตรกรขึ้นในเมืองหลวงแคว้นหมิง นอกจากร้านขายภาพแล้วโรงน้ำชาหลายแห่งเริ่มแขวนภาพเพื่อจำหน่าย
เผยมู่ซีจึงพอจะนึกออกว่าแต่ก่อนตระกูลชิงก็คงเหมือนครอบครัวขุนนางระดับล่างที่พยายามซื้อภาพวาดเลียนแบบจิตรกรชื่อดังเพื่อตกแต่งจวนให้ดูเหมือนตระกูลบัณฑิตทั้งหลาย หากภายหลังมีอำนาจวาสนามากแล้วจึงค่อยหาซื้อภาพจริงมาทดแทน ภาพเลียนแบบพวกนี้จึงถูกเก็บลงหีบและทิ้งไว้ที่นี่!
***************