บทที่ 38 ตามเฉาอวิ๋นจือ
“คดีดอกท้อของเจ้านี่! ดูท่าจะไม่จบง่ายๆ”
“อย่าล้อข้าเลยพี่เก้า แค่นี้ข้าก็ยังไม่หายปวดหัวหรอกนะ”
“ดูท่า ถังฮูหยินกับใต้เท้าเผยจะไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่...พวกเขารู้ว่าพันธะของเจ้ากับตระกูลเผยเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะยัดเยียดบุตรีให้เป็นชายารองของเจ้า”
“ฐานะใดข้าก็ไม่อยากได้คนสกุลเผยมาร่วมวงศ์วาน ท่านก็น่าจะดูออกว่าอย่างสองสามีภรรยาคู่นี้ หากได้เป็นญาติกับคนสกุลหมิงคงจะขี้โอ่ยิ่งกว่าเดิมนัก”
อ๋องเก้าพยักหน้ารับ เขาเองก็ได้ยินคำซุบซิบของใต้เท้าเผยมาไม่น้อย “เกรงว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นสุนัขอ้างบารมีพยัคฆ์*น่ะสิ!”
สองพี่น้องสบตากันอย่างมาดหมาย พวกเขาต่างใคร่ครวญว่าจะต้องสกัดสกุลเผยมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ให้จงได้!
องค์ชายหมิงเฉิงอวี่ออกสืบข่าวเรื่องของเกาสงคนขับรถม้าของตระกูลเผยในทางลับ ท่าทีของใต้เท้าเผยและถังฮูหยินดูเหมือนไม่อยากจะให้รื้อฟื้นคดีของเผยมู่ซีขึ้นมากล่าวถึง จินวั่งซู่ผู้ไร้ครอบครัวจึงได้ขันอาสาช่วยเหลือองค์ชายสิบห้าอย่างเต็มที่
“องค์ชายยามนี้พระเชษฐาของพระองค์ล้วนมีบุตรธิดาให้ยุบยับจะเอาเวลาใดมาสนใจช่วยเหลือพระองค์ได้เท่าหม่อมฉันเล่าพะยะค่ะ?”
จริงอย่างที่จินวั่งซู่พูด ฮ่องเต้ยามนี้ทรงมีพระโอรสและพระธิดาองค์น้อยให้คอยดูแล ทรงมีทายาทที่เกิดจากฮองเฮาพระองค์ใหม่หลายพระองค์ทำให้ทรงต้องคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ส่วนชินอ๋องก็มีทายาทตัวน้อยๆ ไม่น้อยหน้า แม้แต่ท่านอ๋องเก้าเองก็มีทั้งโอรสและธิดาให้ต้องเอาใจใส่ ส่วนพี่น้องผู้อื่นก็มิค่อยได้สานสัมพันธ์กันนัก องค์ชายทั้งสิบห้าคนในราชวงศ์หมิงที่เกิดจากอดีตฮ่องเต้ ล้วนเกิดจากมารดาคนละคน บัดนี้ที่เสียชีวิตไปก็มีท่านอ๋องสี่ที่ก่อกบฏเมื่อหลายปีก่อน
“ข้าอยากให้ฮ่องเต้ไปวุ่นวายกับเจ้าสิบสามกับเจ้าสิบสี่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะทรงสนพระทัย” หมิงเฉิงอวี่ส่ายพระพักตร์เบาๆ
“ก็ทรงทำตัวเสเพลเหมือนทั้งสองพระองค์นั่นสิพะยะค่ะ จะได้ไม่ต้องทรงรับผิดชอบเรื่องยากลำบาก งานก็ไม่ต้องรับ ราชกิจก็ไม่ต้องใส่พระทัย”
“หึ! ข้าจะทำเหมือนพวกเขาได้อย่างไร? ท่านดูเสด็จแม่ข้าสิ! เมื่อใดที่ข้าไปเข้าเฝ้าก็รำพันน้ำหูน้ำตาไหลพร่ำพูดแต่ข้าจะต้องทดแทนพระคุณฮ่องเต้ที่ช่วยให้รอดชีวิต”
จินวั่งซู่อมยิ้ม พระสนมจูเป็นสตรีซื่อๆ ที่เปิดเผยความรู้สึกและมิได้มีเล่ห์เหลี่ยมหรือฉลาดล้ำเช่นสตรีวังหลังผู้อื่น นางเคยถูกกลั่นแกล้งจนเกือบสิ้นชีพในวังหลังแต่เพราะองค์ชายสามหรือฮ่องเต้ในคราวนั้นได้ช่วยชีวิตพระสนมจูและองค์ชายสิบห้าเอาไว้ หมิงเฉิงอวี่จึงต้องถวายชีวิตในการสนองพระคุณของฮ่องเต้
“องค์ชาย พระองค์มีฮ่องเต้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรถึงเพียงนี้ อนาคตในราชสำนักเรืองรองผ่องใสนะพะยะค่ะ”
“ท่านพูดยังกับไม่รู้จักเสด็จพี่ของข้า! มังกรขาวเจ้าเล่ห์ยามนี้กำลังสนุกกับเรื่องจับคู่ของข้าน่ะสิ! ยิ่งเห็นข้าดิ้นรนหนีการแต่งงานก็ยิ่งสนุก นี่ยังไปรับเอาภาพสาวงามตระกูลต่างๆ มาคอยผลักดันให้ข้าเลือกอยู่เรื่อยๆ เมื่อเช้าก็ส่งมาอีกห้าภาพ ท่านคิดว่าตกลงฮ่องเต้ยังหวังพี่กับข้าจริงหรือ?”
จินวั่งซู่หัวเราะหึๆ ในลำคอ อุปนิสัยของหมิงเฟยหลงฮ่องเต้พระองค์นี้ ขุนนางทุกคนต้องระวังให้มากเพราะทรงเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก กับพี่น้องก็มักจะกลั่นแกล้งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากแต่จวนตัวก็อาจจะยอมออกตัวช่วยในจังหวะสุดท้าย ทว่าก็ทำคนใจหายใจคว่ำไปแล้ว!
องครักษ์กังส่งคนไปติดตามหัวหน้ามือปราบหน่วยที่สามแห่งเมืองหลวง เฉาอวิ๋นจือที่ถูกระบุไว้ในจดหมายของเกาสงคนขับรถม้าสกุลเผยว่าเป็นผู้ตามล่าสังหารตน แม้เกาสงจะมิได้ระบุสาเหตุเอาไว้ทว่าหมิงเฉิงอวี่กับจินวั่งซู่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะเป็นเพราะการตายของเผยมู่ซี!
“ข้าต้องการพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเผยมู่ซีถูกคนพวกใดประสงค์เอาชีวิตกันแน่?”
จินวั่งซู่มองผังผู้ต้องสงสัยที่องค์ชายสิบห้าเขียนเอาไว้ “โอกาสที่เป็นไปได้มากก็น่าจะเป็นแม่เลี้ยงคิดฆ่าลูกเลี้ยงเพื่อหาโอกาสให้ลูกสาวของตนได้เป็นพระชายาเอกแทน”
“นั่นเป็นข้อแรกที่ข้าสงสัย แต่ยามนี้ตระกูลจื้อก็อ้างว่ามีสัญญาเช่นกัน หากว่าพวกเขาที่พบสัญญาก่อนหน้านี้แล้วเกิดคิดกำจัดเผยมู่ซีเล่า?”
“ก็เป็นไปได้นะพะยะค่ะ? ในเมื่อพบสัญญาภายหลังจากตระกูลเผยได้ทำการยื่นขอสมรสพระราชทานไปแล้ว หากอยากได้ตำแหน่งพระชายาเอกถือโอกาสฆ่านางในตอนที่ยังไม่อภิเษกสมรสก็เหมาะยิ่ง”
หมิงเฉิงอวี่ผงกศีรษะ “อีกอย่าง...หากทำให้นางตายก่อนที่จะแต่งงาน ผู้ต้องสงสัยก็สามารถรวมเอาข้าไปด้วยอีกหนึ่งคน เหล่ามือปราบก็ไม่กล้าแตะต้องเรื่องนี้มากพยายามกลบเกลื่อนว่าเป็นอุบัติเหตุ...ข้าว่า...บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าข้าเป็นคนลงมือ”
“ในเมื่อองค์ชายประกาศเสียคนรู้กันทั่วว่ารังเกียจตระกูลเผย การคิดจะกำจัดว่าที่เจ้าสาวก็มีโอกาสเป็นไปได้นี่พะยะค่ะ”
องค์ชายสิบห้าถอนพระปัสสาสะอย่างแรง “นั่นเป็นเพราะข้าคิดน้อยเกินไป! หากข้าไม่แสดงตัวว่ารังเกียจใต้เท้าเผยซึ่งหน้าขนาดนั้นก็คงไม่ถูกเพ่งเล็งจากผู้คนเช่นนี้ ทำให้คนผู้นั้นฉวยโอกาสใส่ร้ายข้าได้ด้วย!”
“ในเมื่อพระองค์พบต้วนเจี้ยนแล้ว ย่อมถือเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์มิใช่ฆาตรกรฆ่าเจ้าสาว แต่เฉาอวิ๋นจือผู้นี้ หม่อมฉันเคยได้ยินคนซุบซิบกันว่ามักจะเรียกรับส่วยจากบ่อนและหอโคมเขียวเล็กๆ อยู่เรื่อยนะพะยะค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราไปหอนางโลมสักหน่อยดีหรือไม่?”
“แต่องค์ชายควรต้องแต่งกายและแปลงโฉมสักหน่อยนะพะยะค่ะ”
“ได้!”
ตามธรรมเนียมของแคว้นหมิงบุรุษในราชวงศ์มักจะไม่เสด็จตามหอคณิกาหรือหอโคมเขียวให้เป็นที่ครหา เนื่องจากสามารถมีทั้งสนม ชายา และพระชายาได้หลายนาง หากองค์ชายผู้ใดคิดจะเข้าสถานที่ต้องห้ามก็มักจะแปลงโฉมเข้ามา
คืนนั้นองค์ชายสิบห้าในรูปลักษณ์สหายหนวดงามของคุณชายจินก็ ย่างเหยียบไปยังหอคณิกาแห่งใหม่ชานเมืองหลวง “หอมานเยว่” เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงครึ่งปี ที่นี่มีสาวงามกว่าสามร้อยนาง ในหอแห่งนี้มีเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมแขกเหรื่ออย่างสนุกสนาน สาวงามเดินกรีดกรายในชุดวาบหวามชวนให้อยากขึ้นห้องอยู่ตลอดเวลา
จินวั่งซู่ที่แปลงโฉมมาเช่นกันไม่ยอมพกพัดงูดำเพราะเกรงจะเป็นที่สังเกต พวกเขาทั้งสองแต่งกายอย่างพ่อค้าต่างแดนฝั่งตะวันตกซึ่งมีที่รัดศีรษะและชุดหนังทะมัดทะแมง
มามาใหญ่ของหอมานเยว่แลเห็นบุรุษรูปร่างดีใบหน้างดงามทั้งสองก็รีบกรากเข้ามาทักทาย แม้จะดูมีหนวดเคราสักหน่อยกลับไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาบนใบหน้าของบุรุษทั้งสองได้เลย ท่วงท่าการเดินก็งามสง่าเห็นทีคงจะมีฐานะไม่น้อย นางรีบหันไปกระซิบสาวงามสองสามคน
“พวกเจ้ารีบเอาใจเร็วเข้า ลักษณะดีเช่นนี้ฐานะคงไม่ธรรมดา ท่าทางกระเป๋าหนักเสียด้วย ไปเอาสุราอย่างดีมาบริการเร็วเข้า!”
“นายท่านไม่ทราบว่าชอบสตรีลักษณะใดเป็นพิเศษ ข้าน้อยจะได้เชิญมาปรนนิบัติท่านได้ถูกเจ้าค่ะ”
“ข้าขอเลือกสักครู่ได้หรือไม่? สาวๆ ของท่านล้วนแต่งดงามละลานตา ข้าเดินเข้ามายังแยกไม่ถูกเลยว่าจะเลือกคนใดดี?” จินวั่งซู่ช่ำชองเรื่องการเข้าหอคณิกายิ่งนัก ไม่ว่าที่ใดเขาก็ไปเยือนมาแทบทั้งหมด
หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งนั่งดีดพิณด้วยท่วงท่าอันงดงามดึงดูดใจคุณชายจินยิ่งนัก โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากเวทีที่นางนั่งดีดพิณอยู่มีชายหนุ่มในชุดคุณชายงดงามนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใกล้ๆ
กังเฉินที่ตามมาสมทบด้วยเครื่องแต่งกายแบบเดียวกันกับบุรุษทั้งสองมองเห็นแล้วก็ชะโงกหน้าไปกระซิบ “นั่นคือเฉาอวิ๋นจือพะยะค่ะ กำลังติดพันอยู่กับ นักดนตรีคนงามนามซางหลี แต่นางผู้นี้มิได้ขายเรือนร่างกลับตระเวนเล่นดนตรีตามหอโคมเขียวละแวกนี้อีกสองแห่งพะยะค่ะ”
***********************
