47 ท่านพี่ นั่นนักบวชนะ
"มี่เอิน?" เสียงในความมืดตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ
เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะไปคาดคิดว่าจะเจอนางที่นี่ และสภาพเช่นนี้ มองสองคนที่ตนส่งให้ดูแลนางตลอดการเดินทางวิ่งตามมาด้านหลังไม่ไกลก็โล่งใจขึ้นมานิดหนึ่ง คิดว่านางโดนใครทำร้ายแล้ววิ่งหนีมาและเผอิญเจอเขาพอเข้าดีเสียอีก
"ฝ่าบาท!" ร่างบางพุ่งเข้ามาประชิดตัวของเหรินโยว่หลุน มือเล็กจับรอบลอยเลือดแผ่วเบา ท่าทางระแวดระวังไม่ได้สัมผัสตรงกลางรอยโดยตรงเพราะกลัวจะไปโดนแผลของเขาเข้า
ยามนี้จางเฉินและหวงตงก็มาถึงพอดี เมื่อได้รู้ว่าจูมี่เอินเรียกคนตรงหน้าว่าอะไรพวกเขาก็รีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองพระพักตร์ฮ่องเต้โดยตรง ทั้งคู่มีสีหน้ากังวลขึ้นมา ตอนได้ภารกิจนี้คิดว่าง่ายมาก รอเพียงพาท่านนักบวชหลวงกลับไปก็จะได้เลื่อนขั้นไปอีกขั้น แต่พอตอนนี้มาเจอฮ่องเต้เข้าระหว่างทางก็รู้ว่าตนนั้นได้ทำงานพลาดแล้วที่ไม่ส่งท่านนักบวชหลวงกลับให้ถึงวังตั้งแต่แรก
แต่เมื่อทหารทั้งสองสังเกตรอบกายก็คล้ายมีกลิ่นเลือดปะปนในอากาศ จึงพากันเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนั้นถึงได้เห็นเสื้อของฮ่องเต้มีรอยเลือดอยู่ พวกเขาเตรียมท่าจะเข้าไปช่วยกลับถูกฝั่งตรงข้ามยกมือขึ้นห้ามก่อน
ยามนั้นก็ได้เห็นผู้ที่เป็นนักบวชหลวงกำลังจับไปทั่วตัวของฝ่าบาทพลันตกใจจะห้าม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทันได้เห็นสายตาของฝ่าบาทจ้องมองมาอย่างเอาเรื่องพอดี ทั้งคู่ก็รีบพากันก้มหน้าลงทันที
จูมี่เอินพยายามมองดูบาดแผลของฮ่องเต้ นางลองจับไปทั่วแล้วกลับไม่พบรอยขาดของเสื้อแม้แต่น้อย หรี่ตามองในความมืดอีกครั้งพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่มี! หรือจะเป็นแผลข้างในแล้วใส่เสื้อทับมาอีกรอบกัน แต่ชุดนี่ก็ชุดเดิมกับที่เห็นในนิมิตรนี่ นางทำท่าจะดึงคอเสื้อของบุรุษตรงหน้าตน ทว่าเจ้าตัวกลับดึงมือเล็กไว้ก่อน จูมี่เอินรีบเงยหน้าถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เจอไปด้วยความกังวล
"เจ็บมากรึไม่?"
เหรินโยว่หลุนเข้าใจทันทีที่ว่าทำไมนางถึงพยายามลวนลามเขาต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ นางคงคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บนี่เอง ในตอนนั้นความคิดไม่ดีก็แว็บเข้ามาในหัว 'ได้จังหวะพอดี' เขาซ่อนแววตาที่ผิดปกติลงไปในความมืด ตอบนางออกไปว่า
"เจ็บมาก" ไม่พูดเปล่าซ้ำยังแสดงละครอีกด้วย จงใจบีบคิ้วเข้าหากัน ทำสีหน้าอ่อนแรงและน้ำเสียงสั่นเครือ ท่าทางเหมือนจะยืนไม่อยู่
"หม่อมฉันจะประคองพระองค์กลับไป ทนไหวหรือไม่เพคะ" จูมี่เอินเบี่ยงตัวไปด้านข้างของเหรินโยว่หลุน นางทาบมือเล็กไว้ที่อกข้างหนึ่งที่ไม่เปื้อนเลือดเพราะคิดว่าส่วนนั้นไม่มีแผลน่าจะไม่ทำให้เขาเจ็บ ดันเขาไว้เบาๆ ช่วยพยุงเขาอีกแรง
"อื้ม" เหรินโยว่หลุนแทนที่จะวางมือที่ไหล่นางแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงไปให้นางช่วยประคองกลับวางมือไปที่เอวของนางแทน แถมดึงนางเข้ามาใกล้ตนมากกว่าเดิม ยามที่กำลังจะซบหน้าลงบนไหล่ของนางก็ต้องชะงักมองบุคคลที่สี่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อครู่
เหรินเยว่เทียน? แค่เห็นเงาเขาก็จำน้องชายตนได้ทันที ยิ่งฝ่ายตรงข้ามมาหยุดยืนตรงหน้าขนาดนี้ก็ยิ่งแน่ใจ
เหรินเยว่เทียนเองก็มองเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างจูมี่เอินคือใคร เขาเลิกคิ้วขึ้น มองมือของพี่ชายตนที่วางลงบนเอวของท่านนักบวชหลวง ร่างสูงของพี่ชายที่ย่อตัวค้างอยู่จนใบหน้าใกล้จะชนกับคนตัวเล็กท่าทางคล้ายกำลังจะกอดนาง ท่านพี่ของเขามีสนมมากกว่ายี่สิบคนในวังหลังแต่ไม่เคยสนใจ ยามนี้กลับทำท่าทางไม่สุภาพกับนักบวชหลวงเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่?
ทว่าเมื่อทอดสายตาขึ้นมองใบหน้าของพี่ชายก็ได้เห็นแววตาไม่พอใจ เหรินเยว่เทียนคล้ายจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันที นี่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด พี่ชายเขาจงใจทำ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาไปส่งจูมี่เอินท่าทีของพี่ชายตนก็เปลี่ยนไป ยามนี้เห็นเขามากับนางก็มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอีก
เหรินเยว่เทียนซ้อนรอยยิ้มในความมืด พยายามกดมุมปากลงเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น นี่เขาได้รู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เข้าเสียแล้ว ไม่ใช่เข้าทางเขาหรือไร
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง...ท่านพี่ นั่นนักบวชนะ ต่อให้ตลอดเวลาที่ผ่านมารู้ว่าท่านไม่เคยชมชอบสตรีนางใดสักคน แต่คนที่ท่านชมชอบตอนนี้ก็หาสมควรไม่
เหรินเยว่เทียนเองแม้จะชอบตามติดจูมี่เอินแต่ก็เพียงเพราะอยู่กับนางแล้วสบายใจเท่านั้น ไม่ได้คิดว่านางเป็นสตรีนางหนึ่ง เพราะจากสถาณะของจูมี่เอินที่เป็นนักบวชแล้วเขาก็วางตัวได้เหมาะสมมาตลอด ไม่คิดเกินเลยอะไร
เมื่อได้เห็นพี่ชายของตนมีท่าทางหวงแหนนางเช่นนี้กลับทำให้เขานึกสนุกขึ้นมา บัลลังก์ของพี่ชายนะเขาไม่สนหรอก แต่หากได้แหย่ให้โกรธเล่นสักทีสองทีคงสะใจไม่ใช่น้อย ตั้งแต่เด็กจนโตก็ได้เห็นเพียงสีหน้าเดียวของเหรินโยว่หลุนมาตลอด 'เรียบเฉย' จนคิดว่าไร้ความรู้สึก ยามนี้เล่า มองดูแล้ว ช่าง...น่าสนุกยิ่งนัก
