บทที่ 2
เดือนสามในเมืองหลวง ลมวสันต์พัดผ่าน อากาศอบอุ่นจนเรียกได้ว่าร้อนยิ่ง กาลเวลาไม่เคยรั้งรอผู้ใด เพียงช่วงเวลาราวกะพริบตา อวิ๋นซือก็แต่งเข้าตระกูลหลันมาจะครบรอบเป็นปีที่สองแล้ว
นางมีความสุขตามอัตภาพ เป็นฮูหยินใหญ่ที่ดูแลทุกข์สุขของบรรดาภรรยาน้อยให้สามีตนเอง หลันชิงแสดงความรักใคร่ ห่วงใย และให้เกียรตินางเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็นแม่สามีก็มอบความเอ็นดูให้ เรียกได้ว่าอวิ๋นซือนั้นมีครบทุกสิ่งที่ภรรยาเอกคนหนึ่งควรจะได้รับ
ทั้งความรักและอำนาจในการดูแลคฤหาสน์จากสามี ทั้งความเอ็นดูและความพึงพอใจของแม่สามี เนื่องจากอวิ๋นซือมักออกงานเลี้ยงต้อนรับกับหลันชิงบ่อยครั้ง ยิ่งทำให้บรรดาฮูหยินตระกูลอื่นล้วนชื่นชมและริษยาในวาสนาของนาง แต่นางมักบอกคนเหล่านั้นในใจอย่างสงสารเสมอ
‘เชื่อเถอะว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่อยากเป็นเยี่ยงข้าหรอก เพราะมีครบทุกอย่างนั้นหมายถึงฮูหยินรองและเหล่าอนุในเรือนหลังด้วยน่ะสิ’
หลันชิงสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านจากบิดา ที่บุกเบิกเส้นทางการค้าจนตระกูลหลันก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในด้านนี้ อำนาจเงินตราบวกกับเส้นสายทางการค้าในมือ แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักยังต้องดูสีหน้า และนั่นทำให้เขามิเคยขาดสตรีอุ่นเตียง
ในคฤหาสน์นอกจากอวิ๋นซือที่เป็นฮูหยินใหญ่ ยังมีฮูหยินรอง และฮูหยินสามสี่ห้า อีกทั้งอนุที่มีมากกว่าบิดาของนางเป็นเท่าตัว ไม่รวมบรรดาสาวงามที่หลายคนส่งมาเอาใจ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธอันใด ผู้คนจึงเล่าลือกันปากต่อปากว่า เรือนหลังของนายท่านหลันเป็นแหล่งรวมสาวงามชั้นยอด ที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็ยังทาบไม่ติด
อวิ๋นซือยิ้มขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อพักสายตาจากสมุดบัญชีที่กำลังตรวจด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ริมฝีปากบางหยักยิ้มในมุมที่พอดิบพอดีอย่างที่เคยฝึกมานับครั้งไม่ถ้วน ก็เพื่อเอาใจบุรุษคนสำคัญ แน่นอนว่านางต้องเอาอกเอาใจสวมบทบาทฮูหยินใหญ่ผู้รักใคร่เทิดทูนสามีซึ่งเป็นดั่งท้องฟ้าให้แนบเนียนที่สุด และหลันชิงเองก็พอใจมากจริงๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนหวานปานสายน้ำเย็น เขาเองก็อารมณ์ดีขึ้นมา
“เหนื่อยอย่างนั้นหรือ”
นิ้วเรียวที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนลูบไล้หน้าผากมนแผ่วเบา ปัดผมปอยหนึ่งขึ้นให้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลที่แฝงแววอ่อนโยนระคนห่วงใยเอ่ยถาม
“หากเหนื่อยนักก็ให้อาเต๋อไปจัดการเถิด เจ้าจะได้ไม่ลำบาก”
อาเต๋อที่เขาพูดถึงก็คือพ่อบ้านที่คอยดูแลทุกอย่าง อวิ๋นซือยิ้มรับแต่ไม่ได้เอ่ยปากอันใด ให้คนอื่นทำแล้วนางก็ต้องมานั่งตรวจอีกรอบอยู่ดีน่ะหรือ นอกจากงานไม่ลดแล้วยังเพิ่มเติมคือต้องเสียเวลาสั่งกันไปมา
บางทีก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เหตุไฉนบางคราสามีผู้ชาญฉลาดของนางจึงใช้การกระทำที่โง่งมเช่นนี้แสดงออกถึงความห่วงหา หรือว่าบรรดาเมียคนอื่นของเขาจะชื่นชอบความห่วงใยจอมปลอมเหล่านี้ จนมองข้ามเหตุผลและความเป็นจริงไปได้
“ท่านพี่น่าจะสะสางงานอยู่ที่ลั่วหยางมิใช่หรือ” นางเงยหน้าขึ้นสบตากับฝ่ายตรงข้าม เสียงใสเอ่ยคำพูดเย้าหยอก
“ข้าเร่งทำทุกอย่างเพื่อกลับมาหาฮูหยินอย่างไรเล่า”
คนถูกเย้าหยอดคำหวานตอบกลับ ทว่าผู้เริ่มกลับนึกถึงคำพูดของบ่าวในคฤหาสน์ที่ซุบซิบกันเมื่อหลายวันก่อน อนุคนใหม่ที่ขุนนางผู้หนึ่งส่งมานั้นงดงามมาก
เร่งทำทุกอย่างเพื่อกลับมาหาฮูหยิน... คนไหนเล่า
เงาบุรุษในเรือนอนุคนใหม่ที่บังเอิญผ่านไปเห็นเมื่อสองสามวันก่อนนี้ เป็นนางเองที่ตาฝาดใช่หรือไม่
หรือเขามีพี่ชายฝาแฝด
แม้ในใจรู้เท่าทัน ทว่าอวิ๋นซือเพียงยกยิ้มอย่างยินดี ไม่คิดทำตัวฉลาด แสดงว่ารู้เรื่องที่อีกฝ่ายปกปิด เขาให้เกียรตินางสมฐานะ เช่นนั้นนางก็จะทำตัวให้สมตำแหน่งตามที่เขาว่าจ้าง
หลันชิงก้าวเข้ามารั้งร่างบางไว้หลวมๆ ประคองภรรยาให้ขยับตาม ก่อนจะก้มหน้าลงบอกนางให้กินอาหารพร้อมกัน พลางสั่งให้บ่าวจัดสำรับขึ้นโต๊ะได้เลย ยามที่มาถึงโต๊ะกินข้าว ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ ของบนนั้นล้วนเป็นของชอบของนางเสียสิ้น
“ข้าสั่งแม่ครัวให้ทำของโปรดเจ้าทั้งนั้น ซือเอ๋อร์ เจ้าผอมลงไปมากนัก ข้าเห็นแล้วให้ปวดใจ”
อา... สามีของนางช่างอ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายบริการเมียมากมายขนาดนี้ ยังสามารถเอาใจใส่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เรียกว่าหาที่ติมิได้เลย
อีกทั้งยังดีกับเมียทุกคนอย่างเท่าเทียม!
หลังอาหารมื้อเย็นจบลง อวิ๋นซือที่ตาปรือก็เอนกายพิงอกกว้าง ช่วงนี้ใกล้ถึงงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า นางที่เป็นฮูหยินใหญ่ต้องดูแลเรือน จึงงานยุ่งจนสายตัวแทบขาดเพราะความเหน็ดเหนื่อย
หลันชิงนั่งเป็นเพื่อนภรรยาเงียบๆ อดทนต่อความชาที่แขนเพราะถูกนางทับ เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้สายตา หญิงสาวก็เอื้อมมือขึ้นไปไล้ข้างแก้มสากอย่างแผ่วเบา
“หากเหนื่อยนักก็ให้อาเต๋อไปจัดการ เห็นเจ้าอ้อนล้าเช่นนี้ข้ารู้สึกเป็นห่วงยิ่ง”
อวิ๋นซือไม่สนใจคำถาม “เกือบเดือนแล้วนะท่านพี่”
ไม่ว่าจะเป็นเพราะงานรุมเร้า เพิ่งเดินทางกลับจริงหรือเท็จ แต่การที่นางไม่ได้ใกล้ชิดกับเขาเกือบเดือนนั่นคือเรื่องจริง และเมื่ออีกฝ่ายมาเพื่อมอบความสุขให้ นางก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอันใด เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าใช้บริการนายโลมมิใช่หรือ
ดวงตาคมฉายแววอ่อนโยนทอประกายแสงเข้มวูบหนึ่ง เขากับนางต่างรู้ดีถึงความหมายของประโยคเมื่อครู่ ใบหน้าหล่อเหลาลดต่ำลงมาจนริมฝีปากหยักจดไหล่บาง อาภรณ์ที่ปกคลุมลื่นหลุด แทบจะพร้อมกับฟันขาวที่กดลงบนเนื้อนวล จากนั้นจึงค่อยผ่อนแรงลง หันมาใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดตามร่องรอยที่สร้างไว้อย่างชำนาญ
...ชักจูงและเล้าโลม
อวิ๋นซือรู้สึกวูบวาบไปทั่วกาย ความเจ็บแปลบที่ไหล่กลายเป็นความรัญจวน นางเงยหน้ารับจุมพิตดุดันและโต้ตอบกลับอย่างเร่าร้อน สองร่างกอดก่ายกันตามสัญชาตญาณ ร่างบางถูกกดลงบนเตียงหนานุ่ม บทรักดุเดือดเสียจนนางเก็บเสียงครางไม่อยู่ ลมหายใจติดขัดขาดหายเป็นห้วง ภาพคนที่อยู่ข้างบนพร่าเลือน ท่ามกลางสติที่รางเลือน นางก็ปล่อยให้ตนเองจมดิ่งลงสู่ความปรารถนาอย่างเต็มใจ
เช้าวันใหม่ อวิ๋นซือตื่นขึ้นด้วยความเมื่อยล้า นางนอนลืมตาฟังเสียงลมหายใจคนข้างกายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไม่ให้มีเสียง เมื่อเห็นว่าหลันชิงไม่มีทีท่าว่าจะตื่น นางจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่วางตรงข้างเตียงขึ้นมาสวม แล้วไล่เก็บบรรดาเสื้อผ้าที่กองเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
ถุงหอมสีเดียวกับท้องฟ้าร่วงหล่นจากอาภรณ์ในมือ นางหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด เห็นด้ายถักเป็นรูปนกยวนยางคลอเคลีย อวิ๋นซืออ่านกลอนที่ถูกลงเข็มไว้อย่างพิถีพิถัน แล้วก็นิ่งงันไปชั่วครู่ใหญ่
‘วอนขอรักแท้ที่มั่นคง เพียงหนึ่งยวนยางยืนยงจนแก่เฒ่า’
กลอนตัดพ้อเช่นนี้หลันชิงยังพกติดตัว เกรงว่าอนุคนใหม่คงมีระดับชั้นที่ไม่ธรรมดาในใจนายท่านเสียแล้ว หญิงสาวครุ่นคิดเงียบๆ แล้วจึงยัดถุงหอมใบนั้นกลับเข้าไปดังเดิม จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮูหยินใหญ่”
พอเห็นนางปรากฏกาย เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหยวน สาวใช้คนสนิทก็ก้าวเข้ามาทำความเคารพ ใบหน้ามีแววหนักอกหนักใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
“อนุซิ่วกับอนุหมิ่นทะเลาะกันเจ้าค่ะ พวกนางลงไม้ลงมือกันแล้วพลาด ทำให้โดนของขวัญที่ฮูหยินใหญ่เตรียมไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าแตกเจ้าค่ะ”
ของขวัญชิ้นนั้นคือรูปสลักเทพธิดาหมากูรำอวยพร ทำจากแก้วเจียระไนล้ำค่าที่ต้องสั่งทำโดยเฉพาะ ซึ่งอวิ๋นซือทุ่มเทในการสั่งช่างฝีมือดีสลักขึ้นเป็นพิเศษเพื่อมอบให้แก่แม่สามีในวันเกิดอันใกล้นี้
ของสำคัญขนาดนั้นย่อมถูกจัดเก็บไว้อย่างดี ทว่าพวกนางก็ยังอุตส่าห์เข้าไปตบตีกันจนเกิดเรื่องได้ ต้องบอกมีความสามารถหรือดันทุรังดีเล่า แต่เกรงว่าคงจะไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่เอ่ยมาเป็นแน่
คาดว่าเรื่องที่นายท่านหลันกลับถึงคฤหาสน์แล้วตรงมาค้างอ้างแรมกับฮูหยินใหญ่ทันที คงจะเข้าหูพวกนางกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถึงได้ถ่อไปตบตีกันให้ของขวัญของตนเสียหายเล่นเช่นนี้
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ แล้วเรื่องของขวัญ...”
เสี่ยวอิงถามอย่างหนักใจ อีกไม่กี่วันจะถึงวันงานแล้ว เวลาน้อยนิดแค่นี้จะไปหาอะไรดีๆ มาทดแทนได้กัน
“ไม่ต้องวุ่นวายไป ในหีบสินเดิมของข้ามีรูปสลักพระโพธิสัตว์ที่แกะด้วยไม้จันทน์หอม เจ้าเอาไปทำความสะอาดให้ดี คราวนี้อย่าให้เกิดเหตุได้อีก”
ไม้จันทน์หอมเก่าแก่สลักรูปพระโพธิสัตว์สวยงาม นับเป็นของล้ำค่าหายากที่ไม่ธรรมดา นางแต่งเข้าสกุลหลันมาเกือบสองปี แม่สามีนับว่าปฏิบัติกับนางด้วยดี ดังนั้นอวิ๋นซือจึงมิอาจละเลยได้
ทว่าส่วนนั้นก็เป็นเรื่องของส่วนนั้น ดวงตาสีนิลฉายแววเย็นชายามที่ออกคำสั่ง “เสี่ยวหยวน เจ้าไปตามอาเต๋อมาพบข้า”
หลันชิงใช้นางเป็นโล่ดึงความสนใจจากอนุซิ่วกับอนุหมิ่น เพียงเพื่อจะปกป้องสตรีคนใหม่สินะ แน่นอนว่าเขาเป็นท้องฟ้า ย่อมไม่อาจทำสิ่งใดกับอีกฝ่ายได้ แต่ไม่ใช่ว่านางจะยอมเจ็บตัวเปล่าๆ นี่นา
เมื่อมีอำนาจก็ต้องใช้ อวิ๋นซือเรียนรู้หลักการนี้จนขึ้นใจ...
ไม่นานอาเต๋อก็ก้าวเข้ามาในห้อง เขายืนค้อมกายพร้อมกับเอ่ยถามจุดประสงค์ของคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม แม้ต่อหน้านายท่านและฮูหยินผู้เฒ่า อีกฝ่ายจะสวมบทบาทเป็นสตรีอ่อนหวานก็ตาม แต่พ่อบ้านรู้ดีว่าตัวตนของนางนั้นซับซ้อนไม่แพ้เจ้านายของเขาสักนิด
“อย่างที่ข้าบอก พ่อบ้านเต๋อคิดว่าควรลงโทษพวกนางอย่างไร”
เมื่อฟังความจบอาเต๋อก็พลันเหงื่อซึม เขาเป็นเพียงพ่อบ้าน ไหนเลยจะกล้าล่วงเกินสตรีของเจ้านาย แต่ถ้าบ่ายเบี่ยง คนตรงหน้าย่อมมีโทสะเป็นแน่ แม้ว่าเกือบสองปีที่ผ่านมาอวิ๋นซือจะไม่เคยแสดงอาการมีโทสะให้เห็น แต่พ่อบ้านก็ไม่ปรารถนาจะเห็นมันอยู่ดี
“ตามกฎตระกูล อนุตบตีกันสร้างความวุ่นวาย ต้องถูกโบยหลังยี่สิบทีขอรับ”
ใบหน้างดงามนิ่วลงอย่างไม่เห็นชอบ “นางเป็นอนุของท่านพี่ จะให้ลงโทษเยี่ยงนั้นก็น่าสงสารแย่ ผู้หญิงเปรียบเสมือนดอกไม้ ชอกช้ำง่าย” เสียงใสกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
อาเต๋อก้มหน้าพลางลอบกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่ของฮูหยินใหญ่คล้ายไม่จริงใจเอาเสียเลยล่ะ
“เอาแบบนี้แล้วกัน ลงโทษโบยตีคงจะหนักเกินไป ใกล้งานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วแท้ๆ พวกนางยังกล้าก่อความวุ่นวาย อีกทั้งการทำลายของขวัญย่อมเป็นลางไม่ดี ประกาศออกไปว่าอนุซิ่วกับอนุหมิ่นกระทำตนไม่เหมาะสม ทำของขวัญวันเกิดเสียหายถือเป็นเรื่องใหญ่ ให้พวกนางไปถือศีลกินเจที่วัดสองเดือนเพื่อสร้างกุศลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการชดเชย”
อาเต๋อฟังแล้วรู้สึกหนาวเยือก เขารับคำพลางถอยออกมา ฮูหยินใหญ่ช่างร้ายกาจ แม้การลงโทษโบยยี่สิบทีอาจจะหนัก แต่ถ้าให้เลือก สองคนนั้นต้องยอมถูกโบยมากกว่าเป็นแน่ เพราะสองเดือนผ่านไป นายท่านจะยังจำพวกนางได้หรือไม่ก็มิอาจรู้ได้ แต่สองอนุนั่นจะไม่รับคำก็คงไม่ได้ ด้วยอีกฝ่ายยกมาทั้งเรื่องโชคลางและสร้างบุญให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าขนาดนี้ ต่อให้เป็นนายท่านก็ยังไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านด้วยซ้ำไป
แต่จะไปโทษใครได้เล่า ก็ต้องโทษพวกนางเองนั่นละที่หาญกล้าท้าทายคนที่ไม่ควร ก็จงสำนึกผิดกับตนเองไปเถอะ
เพียงแต่เกรงว่าคงจะไม่ทันเสียแล้ว...
พวกนางไม่ควรลืมไปเลยจริงๆ ว่าคนที่ตัวเองคิดเล่นงานนั้นเป็นฮูหยินใหญ่