อุ๊ย!!โทษที สามีของฉันเป็นมาเฟีย

114.0K · จบแล้ว
หลงเวลา/จู้หมิง
57
บท
17.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

อลินา อารอน หรือฮาน่า ลูกครึ่งสาววัยยี่สิบปี เธอย้ายจากประเทศไทยไปอยู่กับบิดามารดาที่เมืองชิคาโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัยห้าขวบ เธอเรียนเก่งและเป็นที่รักของเพื่อนๆ และเพื่อนบ้าน วัยสิบห้าปีเธอต้องสูญเสียมารดาไปอย่างกะทันหัน ความเศร้าจากการสูญเสียมารดาทำให้เธอเงียบขรึมลง แต่ยังดีที่ผู้เป็นบิดาไม่เคยมองหาผู้หญิงคนไหนมาทดแทน เขามีมารดาของเธอเป็นภรรยาเพียงคนเดียว และมีเธอเป็นลูกเพียงคนเดียว วันสุดท้ายในชีวิตของผู้เป็นบิดาเขาขอให้เธอจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้า แต่เป็นเพราะความต้องการสุดท้ายของบิดาที่ทำเพื่อลูกสาวคนเดียวอย่างเธอมาตลอด อลินาจึงจำใจต้องจดทะเบียนสมรสโดยที่ไม่รู้ว่าสามีของเธอเป็นใคร เอเดน วินเทอร์ หรือ เดล ทายาทคนเล็กของมาเฟียรุ่นที่ห้าอย่างตระกูลวินเทอร์ มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในสามทวีปของโลก ชายหนุ่มวัยสามสิบที่ไม่มีเคยความคิดที่จะคบหาผู้หญิงคนไหนหรือแต่งงานกับผู้หญิงที่แม่หาให้เพราะเขารอคอยเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตาในมือของเธอที่เขาพบเจอในวันนั้น เขารอคอยอย่างมีความหวัง ว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้พบเธออีกครั้ง และแล้วก็เหมือนฟ้าเป็นใจจึงส่งเธอมาให้กับเขา ข้อเสนอที่เขาไม่เคยคิดที่จะมอบให้ใครกลับถูกมอบให้พ่อของเธอ จนวันที่เธอสูญเสียพ่อผู้ที่รักเธอเพียงหนึ่งเดียวไป เธอจึงกลายเป็นภรรยาขที่ถูกต้องตามกฏหมายของเขา เขาคอยเฝ้ามองเธออยู่ห่างๆโดยที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าสามีคนนี้...ต้องใช้ความอดทนมากมายขนาดไหน ในการหักห้ามใจไม่ให้ไปทำหน้าที่ของตัวเอง....

นิยายรักโรแมนติกรักแรกพบมาเฟียโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกแต่งงานก่อนรัก18+

บทนำ จู่ๆก็มีสามี

จู่ ๆ ก็มีสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะเป็นความต้องการของผู้เป็นบิดาที่เพิ่งจะสิ้นลมหายใจไปได้เพียงเจ็ดวัน ทำให้อลินา หรือ ฮาน่า อารอน ลูกครึ่งไทยอเมริกันวัยยี่สิบปีปฏิเสธไม่ได้ เธอจำใจต้องจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายที่เธอไม่รู้จัก แม้กระทั่งหน้าตาของสามีในทะเบียนเป็นอย่างไรเธอเองก็ไม่เคยเห็น วันที่จดทะเบียนสมรสก็มีเพียงทนายของเขาเท่านั้นที่นำเอกสารการจดทะเบียนสมรสมาให้เธอเซ็น ทำให้เธอตัดสินใจหนีไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศไทย ประเทศที่เป็นบ้านเกิดของเธอเองในทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อย

การจดทะเบียนสมรสในครั้งนี้เธอขอใช้สิทธิ์ในการคงสภาพการเป็นนางสาวเอาไว้ แม้ว่านามสกุลจะเปลี่ยนไปก็ตามที ที่เธอเลือกกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย เพราะเธอจากมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและที่นั่นไม่หลงเหลือคนที่รู้จักเธออีกแล้ว ผู้เป็นสามีแค่เพียงในนามไม่ได้ห้ามปราม แต่ทว่าเขากลับมอบบัตรเครดิตที่ไม่จำกัดวงเงินให้แทนการโผล่หน้ามาให้เธอเห็น จนหญิงสาวอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายแบบไหน เธอนั้นรู้เพียงแค่ชื่อของเขาเท่านั้น มิสเตอร์เอเดน วินเทอร์ เพราะแบบนี้เธอถึงได้นามสกุลวินเทอร์ติดสอยห้อยท้ายชื่อของเธอมาด้วย แต่ที่เธอพอจะโล่งใจคือเขาไม่ใช่ผู้ชายแก่หงำเหงือก แต่เป็นชายหนุ่มที่มีอายุแก่กว่าเธอสิบปี

มือบางจ้องมองพาสปอตในมือก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองชิคาโก เมืองที่เติบโตและใช้ชีวิตมานานนับยี่สิบปี ดีที่ว่าเธอนั้นถือพาสปอตสองสัญชาติทำให้เธอไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยุ่งยากในประเทศไทย ร่างระหงผิวขาวเนียนที่มีส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเดินผ่านจุดตรวจตั๋วไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของใครบางคนที่คอยจับจ้องอยู่

“จะปล่อยนายหญิงไปแบบนั้นจริงๆ หรือครับท่านเอเดน”

บุ๊ชเอ่ยถามนายหนุ่มออกมา เขารู้ดีว่านายของเขานั้นสนใจในตัวนายหญิงมากขนาดไหน และเขาก็รู้ดีว่านายของเขานั้นไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเหมือนกับภรรยาที่กำลังจะเดินทางออกจากเมืองชิคาโกไปในไม่ช้า

“อือ...ให้เธอได้ใช้ชีวิตอิสระไปอีกสักหน่อย นายก็รู้นี่ว่าเรายังมีงานที่ยังต้องจัดการอยู่อีกเยอะ ให้เธอสนุกกับชีวิตอิสระไปอีกสักพัก ก่อนที่ฉันจะได้ไปใช้สิทธิ์ของฉัน ตอนนี้ก็ส่งพวกที่อยู่ที่นั่นไปคอยสอดส่องดูแลเธอแทนฉันไปก่อนก็แล้วกัน ย้ำว่า...อย่าให้มีแมลงไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่มาไต่ตอมเธอเด็ดขาด เข้าใจไหม!!!”

เสียงทุ้มเย็นชาดังออกมาจากริมฝีปากหนาสีกุหลาบ แว่นตาสีดำที่ปกปิดดวงตาคมกล้าและค้ำอยู่บนสันจมูกโด่งของเขานั้นชวนให้สาวๆ เหลียวมอง แต่ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่ได้รับไมตรีกลับไป

“เข้าใจครับเจ้านาย ผมจะสั่งให้ลูกน้องที่นั่นคอยดูแลนายหญิงอย่างดีเลย” บุ๊ซรับคำสั่งก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินตามนายเล็กไป

เอเดน วินเทอร์ ทายาทมาเฟียลำดับที่สามรุ่นที่ห้าของตระกูลวินเทอร์ ตระกูลของเขาทำธุรกิจสีเทามากมายในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอนตาร์กติกา เขามีพี่ชายสองคนที่ดูแลธุรกิจของตระกูลซึ่งอยู่ทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอนตาร์กติกา ส่วนตัวเขานั้นเพิ่งจะขึ้นมารับหน้าที่ดูแลธุรกิจของครอบครัวแทนบิดาที่อายุมากขึ้นในทวีปอเมริกาเหนืออย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้เขาทำธุรกิจส่งออกกับทวีปเอเชียอยู่และหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย

ดวงตาคู่สวยจ้องมองวิวทางด้านนอกหน้าต่างของเครื่องบินลำใหญ่ ที่กำลังจะพาเธอเดินทางไปยังประเทศเป็นบ้านเกิด ดีที่ตัวเธอนั้นไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ภาษาไทยเลย หรือแม้แต่ภาษาจีน ฝรั่งเศส และเยอรมัน เธอนั้นก็ถือว่าพูดได้อย่างเชี่ยวชาญ ผลการเรียนของเธอก็ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองชิคาโก แต่เธอนั้นไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่าสุดท้ายแล้วอนาคตของเธอจะต้องมาจบลงด้วยการเป็นภรรยาของผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้า แม้จะเป็นภรรยาของเขาเพียงแค่ในนามก็ตามที

หญิงสาวยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อนึกถึงความเป็นมิตรของผู้คนในประเทศไทย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอก็ไม่เคยลืม แต่รอยยิ้มที่เธอได้รับในวันนั้น ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่อเมริกาแต่ทว่ากลับไม่ใช่รอยยิ้มของคนไทย ดูจากใบหน้าที่ส่อแววหล่อเหลาก็พอจะเดาออกว่าเขาเป็นฝรั่ง คงจะเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญช่วยเหลือเธอโดยบังเอิญ หากวันนั้นไม่ได้พบกับเขา...เธอก็คงจะไม่ได้มีโอกาสเติบโตขึ้นมาอย่างงดงามในวันนี้

“อลินา...หนูรอแม่อยู่ตรงนี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ไปโหลดกระเป๋ากับเช็กอินก่อน เข้าใจไหมคะ”

อารีญามารดาของอลินาในวัยห้าขวบเอ่ยขึ้น เด็กหญิงลูกครึ่งที่มีหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตาพยักหน้าขึ้นลงอย่างรู้ความ ผู้เป็นมารดาจึงเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าอยู่ถึงสามใบเดินไปยังเคาน์เตอร์

เด็กหญิงเหลียวซ้ายทีขวาทีก่อนที่จะมองเห็นตุ๊กตาตัวเล็กของใครบางคนตกอยู่ ด้วยความเป็นเด็กเห็นอะไรน่ารักก็มักจะวิ่งเข้าหา เด็กหญิงที่สวมเสื้อโค้ตและรองเท้าผ้าใบสีขาวจึงวิ่งไปหาเจ้าตุ๊กตามอมแมมที่ตกอยู่ทันทีโดยที่ไม่ทันได้ระวัง รถเข็นที่เข็นกระเป๋ากำลังจะถูกเข็นผ่านโดยที่พนักงานมองไม่เห็นเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น แต่แล้วร่างเล็กก็ถูกร่างที่โตกว่าคว้าเข้าไปในอ้อมกอด ทั้งคู่ล้มลงไปบนพื้นแต่ดีที่เด็กหญิงไม่ได้รับบาดเจ็บ และคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเช่นกัน

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

สำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนดังขึ้นจากเด็กชายที่โตกว่าคนตัวเล็กที่ในมือยังมีตุ๊กตาต้นเรื่อง เด็กหญิงส่ายใบหน้าไปมา เด็กชายจึงยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

“นายน้อย... ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” ฝรั่งที่สวมสูทหลายคนวิ่งเข้ามาดูแลเด็กชาย

“ฉันไม่เป็นอะไร อืม... ระวังหน่อยนะตัวเล็ก ที่ไหนที่มีคนเยอะๆ มันไม่ค่อยปลอดภัยหรอก” เขาประคองเด็กหญิงให้ลุกขึ้นก่อนที่จะส่งยิ้มให้อีกครั้งแล้วเดินจากไปพร้อมกับฝรั่งที่สวมสูทสองคน

อารีญาไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์แต่ได้ยินคนคุยกันว่ามีเด็กหญิงลูกครึ่งเกือบถูกรถเข็นกระเป๋าชน เธอที่โหลดกระเป๋าและเช็กอินเสร็จพอดี เธอจึงรีบเดินตามหาบุตรสาวของตนจนได้พบเด็กหญิงยืนโบกมือหย็อยๆ ให้กับใครบางคนที่น่าจะเดินจากไปได้ไม่นาน มือเล็กข้างหนึ่งกอดตุ๊กตาเอาไว้ อารีญาตกใจรีบวิ่งเข้าไปรวบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด

“ฮาน่า หนูไม่เป็นไรใช่ไหมคะลูก” เธอผละอ้อมแขนออกก่อนที่จะสำรวจร่างเล็กของบุตรสาวแล้วผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

“พี่ชายเขาช่วยหนูไว้ค่ะแม่ เขายิ้มสวย ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาสวยมากเลยค่ะ” เด็กหญิงชมเด็กหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สักวันหนูจะได้พบเขาอีกไหมคะแม่ญา” เธอเอ่ยถามมารดาออกมาด้วยความไร้เดียงสา

“ถ้ามีวาสนาต่อกันสักวันหนูกับพี่เขาก็คงมีโอกาสได้เจอกันอีกแน่จ๊ะ ไปกันเถอะนะลูก ไปหาอะไรกินกันก่อนที่เราจะไปหาแด๊ดนะ” เด็กหญิงยิ้มร่า

อลินายังจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี แม้เรื่องราวจะผ่านมานานเกือบสิบห้าปีแล้วก็ตาม เธอยังแอบคาดหวังว่าสักวันหนึ่ง เธอจะได้เอ่ยคำขอบคุณเขา ที่เขาเคยช่วยชีวิตน้อยๆ ของเธอเอาไว้ แม้สถานะของเธอในตอนนี้จะไม่เหมาะที่จะคิดถึงผู้ชายคนอื่นแล้วก็ตามที

เปลือกตาบางปิดลงเมื่อเครื่องทะยานสูงขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองชิคาโก หญิงสาวเลือกนั่งชั้นธุรกิจเพราะสามีที่ดูท่าจะร่ำรวยของเธอให้บัตรเครดิตติดตัวมา แม้เธอจะเกรงใจที่ต้องใช้เงินของเขาในเรื่องส่วนตัว แต่เธอก็ไม่อาจทนที่จะต้องนั่งชั้นประหยัดให้ปวดเนื้อปวดตัว เพราะการเดินทางไปยังประเทศไทยนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน ชีวิตใหม่ที่สงบสุขของเธอหลังจากนี้คือชีวิตที่เธอต้องการ