2.บุพเพทะลุเกี้ยว 2
ตั้งแต่บ่ายเติ้งไห่หลงร่ำสุรา จนเมามายถึงกับประคองตัวแทบไม่ไหว แต่เขามิวายอยากชมแสงสีของค่ำคืนในเทศกาลชมโคมไฟ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ปีในคืนแรกของปีใหม่ที่มองเห็นพระจันทร์เต็มดวง เติ้งไห่หลงไม่อยากอยู่เพียงลำพังในเรือนใหญ่ติดภูเขาและมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่มารดาเคยปลูกเอาไว้
ชายหนุ่มผู้สง่างามสั่งเฉิง บ่าวรับใช้ให้พาออกมาด้านนอก แต่คืนนี้ดูจะเอิกเกริกไปสักนิด เพราะเขาแทบจะครองสติไม่ไหว
“หอใดมีของสวยงาม จงนำทางข้า” เติ้งไห่หลงประกาศเสียงดัง
ยามนี้เฉิงเหนื่อยใจเป็นที่สุด เมื่อครู่เขาจอดเกี้ยวที่หอคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เพราะมีผู้คนมากมาย จึงต้องพาเติ้งไห่หลงหลบเลี่ยงออกมา
“ไปหอทางใต้ดีไหมขอรับ ที่นั่นคงยังพอมีหญิงงามอยู่บ้าง” เฉิงบอกเจ้านาย ตอนนี้อีกฝ่ายส่งเสียงอ้อแอ้
“คืนนี้ข้าอยากได้คนร่วมดื่มสุรา และพูดคุยถึงเรื่องราวที่สุมอยู่ในอก” เติ้งไห่หลงแจ้งความประสงค์
“ผู้น้อยจะรีบพาองค์ชายไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” สิ้นคำนั้นเฉิงสั่งการให้คนเร่งนำเกี้ยวออกเดินทางทันที แต่ช่วงเวลานั้นท้องฟ้าแปรปรวนหนัก มีสายลมวูบใหญ่พัดผ่าน ลานการแสดงกลางแจ้งจึงประสบกับความโกลาหล
กระนั้นพลุไฟที่ถูกจุดยังส่องสว่างบนท้องฟ้า เสียงพลุ เสียงตบมือ เสียงโห่ร้อง ดังไปทั่วพื้นที่กว้าง เติ้งไห่หลงสั่งให้หยุดเกี้ยว และเปิดม่านออกเพื่อรับชมความงามรอบๆ ตัว
ดวงตาคมดุจพญาอินทรีมองไปยังท้องฟ้า แล้วก็ไพล่คิดถึงภาพความหลังอันแสนหวาน
เขาชอบชมแสงสีสวยงามเช่นนี้กับมารดา บนฟ้ามีพลุไฟ ด้านล่างตามจุดต่างๆ ประดับด้วยโคมที่สร้างเลียนแบบสัตว์ของเทพเจ้า และบนผืนน้ำมีโคมไฟลอยส่องแสงสวยงามจับตา
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนโบกมือให้เคลื่อนเกี้ยวไปข้างหน้า ความจริงเขาไม่ได้อยากร่ำสุรากับเหล่านางโลมแม้แต่น้อย ทว่าความสับสนในใจที่เกิดขึ้นยากเกินอธิบายให้ใครล่วงรู้ กระทั่งเกี้ยวหลังใหญ่เคลื่อนไปถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกว้าง ห้วงเวลานั้นเกิดปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้า
เฉิงและคนหามเกี้ยว รวมถึงชาวบ้าน ต่างชี้ชวนกันมองดูแสงสว่างที่พุ่งลงมาราวกับฝนดาวตก แต่มันมีขนาดใหญ่จนพวกเขาพรั่นพรึง
แสงสว่างจัดจ้าทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องยกมือปิดหน้าปิดตา พวกเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวน และมิอาจมองเห็นสิ่งใดนานเกือบชั่วอึดใจ ก่อนจะมีเสียงดังโครมใหญ่ เสียงนั้นเกิดจากแรงปะทะที่พุ่งตกลงมาใส่หลังคาเกี้ยวขององค์ชายแปด
เติ้งไห่หลงจุกเจ็บในตอนแรก เพราะร่างเล็กบอบบางตกลงมากระแทกตักเขา ก่อนจะนอนนิ่งๆ ราวกับเห็นเขาเป็นเบาะรองรับชั้นเยี่ยม
จวบจนเติ้งไห่หลงรู้แน่ชัดว่ามีคนตกทะลุเกี้ยว ซึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย หาใช่มือสังหารหวังปลิดชีพเขา ยามนั้นดวงตาคมเพ่งพิศอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ร่างบอบบางนี้มีผิวขาวเนียนละเอียด ดวงหน้านับว่างามล่มเมืองยากหาผู้ใดเทียบเคียง
จากนั้นนิ้วเรียวยาวและแข็งแกร่งจึงช่วยจัดเส้นผมยาวสลวยของอีกฝ่ายให้เข้าที่ และเช็ดเลือดที่แผลเหนือคิ้วซ้ายของคนงาม
เติ้งไห่หลงมองดวงตาที่หลับพริ้ม เขาเห็นแพขนตายาวงอน คิ้วโก่งรับกับใบหน้า ปากอิ่มสวย และคางเรียวได้รูป คนที่นอนบนตักนี้งดงามประหนึ่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์
“เจ้าเป็นคนของผู้ใด คิดลอบทำร้ายข้าเช่นนี้ อยากรับโทษประหารใช่หรือไม่” เขาแกล้งทำเสียงดุดัน แต่แววตาเจือความอ่อนโยน มิได้อยากกระทำรุนแรงตามที่กล่าวออกไปสักนิด
คนร่างเล็กตัวหอมในชุดสีขาวแสดงท่าทีแปลกประหลาด ราวกับเพิ่งออกมาจากท้องมารดาเป็นครั้งแรก หลังจากลืมตาแล้วก็อ้าปากกว้าง แล้วหุบ หุบแล้วอ้าขึ้นใหม่ พอคลำหาเสียงตนเองพบก็ร้องเสียงใส
“อะ อุ๊ยๆ อ๊ายๆ ทะ ทำไม มะ มัน อุ่นและแข็งโป๊กอย่างกับศิลาเยี่ยงนี้”
น้ำเสียงนั้นหวานอยู่มาก แต่กิริยาบ่งบอกว่าร่างที่อยู่บนตักเขาหาใช่ดรุณี
“วาจาเจ้าช่างประหลาดล้ำ และยังฉวยโอกาสสัมผัสเนื้อตัวข้า ระวังจะถูกตัดนิ้วทั้งสิบ อีกทั้งยังจ้องใบหน้าผู้อื่นอย่างจาบจ้วง เช่นนี้คงไม่แคล้วถูกควักลูกตาด้วย” เติ้งไห่หลงแกล้งขู่อีกนิด แต่ปฏิกิริยาอีกฝ่ายดูไม่ได้หวาดกลัวเขา
ดวงหน้าเรียวเล็กแสดงความฉงนฉงาย ก่อนดีดตัวลุกขึ้นนั่ง และนั่งอยู่บนตักชายหนุ่มราวกับสนิทสนมกัน
“แน่แล้ว ย่อมเป็นผู้อื่นมิได้ อ๋องแปดคนชีกอจากตำหนักบุปผามิรู้โรย!”
คนที่ทะลุมิติมายังโลกในนิยายกล่าวอย่างล่วงรู้ เพราะเขาเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ ‘กุนซือน้อยประดับใจ’
แต่คำเรียกขานนั้นส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาของเติ้งไห่หลงแต้มสีแดงเข้ม ก่อนที่เขาจะคำรามออกมาหนึ่งหน เมื่อครู่ยังนึกนิยมอยู่มาก แต่เด็กน้อยผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาสามหาวกับเขา
“บังอาจ! ปากของเจ้าควรถูกข้าสั่งสอนให้เข็ดหลาบ” เติ้งไห่หลงคำรามฮึ่มๆ ใส่คนร่างบอบบาง แต่อีกฝ่ายหาได้ใส่ใจ กลับพนมมือไว้กึ่งกลางอกและทำหน้าราวกับกำลังได้รับผลบุญ
“โอ้ เทพธิดาบนดวงจันทร์ช่างศักดิ์สิทธิ์นัก ผู้น้อยจะถวายของหวานและผลไม้ 7 ชนิดให้ท่าน”
นอกจากไม่ใส่ใจคำพูดเติ้งไห่หลงแล้ว เด็กน้อยยังกล่าวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง จากนั้นสองมือเรียวก็จับเนื้อตัวเติ้งไห่หลง บีบนวดประหนึ่งอยากรู้ว่าชายหนุ่มมีเลือดเนื้อจริงหรือไม่
“หยุด! หยุดแสดงกิริยาอย่างคนเสียสติ จงบอกความจริงแก่ข้า ใครส่งเจ้ามา”
“ฮ่าๆ ๆ ผม เอ๊ย ผู้น้อยรับรองว่าไม่มีจิตคิดร้ายอันใด และยังมีความลับสุดยอดที่จะแจ้งให้องค์ชายรู้ด้วย” ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“คนอย่างเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าเชื่อถือ” เติ้งไห่หลงมองอีกฝ่ายอย่างจับพิรุธ
“หึ อย่างหนึ่งที่ท่านต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ อย่าได้คิดดูถูกผู้น้อยด้วยคนงามจะเป็นผู้ช่วยเหลือท่านในยามคับขัน และจะอยู่เคียงข้างท่านไปจนแก่เฒ่า กล่าวได้ว่า ‘ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร’ เลยทีเดียว” คำอวดอ้างนั้นมาพร้อมสีหน้าสีตาที่ชวนให้ชายหนุ่มอยากบีบปลายจมูกสวยเชิดรั้นเหลือเกิน
“หวังสูงเกินวาสนาตนกระมัง อย่างเจ้านั่นหรือจะเป็นนางเล็กๆ ของข้า”
ได้ยินอย่างนั้นเด็กน้อยจึงถลึงตาใส่เติ้งไห่หลง ก่อนเอ่ยเสียงสูงอย่างกราดเกรี้ยว
“ผู้น้อยประเสริฐยิ่งกว่านั้น ไยต้องเป็นสนมของผู้ชายที่แสร้งอวดอ้างว่าตนบ้ากาม” เด็กน้อยว่าอย่างเล่นลิ้น
เติ้งไห่หลงลอบมองดวงตากลมโตยามตวัดค้อนใส่เขา ช่างบาดหัวใจยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงจะอยู่เคียงข้างข้าได้ ลองไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง ก่อนที่ข้าจะสั่งให้คนจับเจ้าส่งศาลและตัดหัวด้วยเครื่องประหารหัวสุนัข!”
เด็กน้อยลูบลำคอตัวเอง สีหน้าซีดสลดลงไปมากโข เขาคิดถึงศาลของแคว้นเป่าที่ยึดถือความถูกต้องเป็นที่ตั้ง และสั่งตัดหัวคนชั่วเอาไปเสียบประจานไว้ ณ ลานกลางเมือง
“ผู้น้อยมาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งจากสวรรค์ให้ทำหน้าที่กุนซือ และในภายภาคหน้าจักอยู่เคียงข้างองค์ชายแปด”
เติ้งไห่หลงหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ ก่อนรั้งร่างเล็กบอบบางมาชิดกายแกร่ง เขาพ่นลมหายใจร้อนผ่าวรินรดหน้าสวยจัดของคนที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“แต่สิ่งที่ข้าปรารถนาในตอนนี้ คืออยากให้เจ้าเป็นนางเล็กๆ ช่วยอุ่นเตียง ดูแล้วคงมอบความสำราญใจให้ข้ามิน้อย” เติ้งไห่หลงยิ้มกรุ้มกริ่มแสดงความเจ้าชู้
ดวงตาของอี้เหรินเบิกกว้าง เขาไม่คาดคิดว่าอ๋องรูปงามที่เมาหัวราน้ำทุกวันจะมีรสนิยมตัดแขนเสื้อ หรือว่าเขาหลุดเข้ามาในนิยายคนละเรื่อง
นิ้วยาวแข็งแกร่งของอ๋องแปดวาดไปมาบนกลีบปากบางๆ สีแดงสด ซึ่งเด็กน้อยเผยอปากตอบรับแรงสิเน่หาอย่างเผลอไผล
เติ้งไห่หลงเอ่ยเสียงแหบพร่าข้างหูคนงาม ซึ่งยามนี้เริ่มนั่งไม่เป็นสุขบนตักแข็งแรงและอุ่นจัด
“กลีบปากยังสวยฉ่ำเยี่ยงนี้ แล้วกลีบดอกเบญจมาศนั้นเล่า จะงดงามชวนให้ข้าสัมผัสมากกว่านี้เพียงใด...เจ้าเด็กน้อย!”